
กองทุนรวม TESG (Thailand ESG Fund) หรือ กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีอีกตัวเลือกหนึ่งที่มีเน้นที่การลงทุนในธุรกิจ ESG (Environment, Social, และ Governance) และการเปลี่ยนแปลงเพื่อกลายเป็นบริษัท ESG โดยกองทุนรวม TESG และ Thai ESG ถูกสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) ในประเทศไทย

โดยกองทุนรวม TESG จะต้องนำเงินไปลงทุนในกิจการของไทยเท่านั้น และจะต้องเป็นกิจการธุรกิจ สินทรัพย์ หุ้น หรือตราสารหนี้เกี่ยวกับ ESG ประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, and Governance หรือ ESG) อาทิเช่น
- หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ที่ได้รับการคัดเลือกจาก SET ว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (environment) หรือด้านความยั่งยืน (ESG)
- หุ้นที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET และ mai ที่มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ตราสารหนี้ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การเสนอขายตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืน
- โทเคนดิจิทัลเพื่อการระดมทุนที่เกี่ยวข้องด้านความยั่งยืนที่มีมาตรฐานในทำนองเดียวกันกับตราสารหนี้
เงื่อนไขของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน
เป็นกองทุนที่เอาไว้ลดหย่อนภาษีเหมือนกับกองทุนรวมเพื่อการส่งเสริมการออมระยะยาว SSF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF ที่เราคนทำงานก็คงคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ซึ่งกองทุน TESG จะทำการเปิดขายในเดือน ธ.ค. 2566 นี้เป็นต้นไป แต่ก่อนที่จะสนใจลงทุนในกองทุนนี้ เราต้องทำความเข้าใจกับเงื่อนไขที่สำคัญดังต่อไปนี้
- ต้องเป็น บุคคลธรรมดา เท่านั้น คนทำงาน มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราคือ กลุ่มเป้าหมาย
- ได้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท หมายถึงซื้อได้สูงสุดไม่เกิด 100,000 บาท นั่นเอง หากเกินกว่านั้นจะเอามาลดหย่อนเพิ่มไม่ได้
- กรณีถ้ามีการลงทุนในกองทุนนี้มากกว่า 1 กองทุน ให้รวมกันได้ไม่เกิน 100,000 บาท
- ต้องถือหน่วยลงทุนในกองทุนนี้ไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน (แต่ไม่รวมถึงกรณีทุพพลภาพหรือตาย ซึ่งหากเป็นเงื่อนไขนี้ ก็ขายออกได้)
- ไม่มีขั้นต่ำ ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปี ซื้อปีไหนก็จะได้ลดหย่อนภาษีปีนั้นๆ
- สามารถซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 2566 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2575
- ไม่ต้องเสียภาษี ในกรณีที่ขายหน่วยลงทุนคืนแล้วได้กำไร โดยไม่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อมูลสำคัญ: สำหรับวงเงินลงทุนของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน TESG จะเป็นส่วนเพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษี โดยจะไม่ถูกนับรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ อาทิเช่น กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และ เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมกันเอาไว้ว่าได้ไม่เกิน 500,000 บาท เท่ากับว่า หากเราเลือกที่จะลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน เราจะได้วงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีก 100,000 บาท และหากเมื่อนับรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุตัวอื่นๆ จะสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 600,000 บาท
กองทุนนี้เหมาะกับใครบ้าง?
- บุคคลธรรมดามีรายได้สุทธิมากกว่า 150,000 บาท ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี และต้องการลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน
- เหมาะกับผู้มีฐานภาษีสูง ฐานภาษียิ่งสูงยิ่งได้ประโยชน์จากการประหยัดภาษี โดยต้องการวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่ลงทุน SSF กับ RMF และกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ที่ใช้จนเต็มสิทธิ 500,000 บาทแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อหน่วยลงทุน TESG สูงสุดที่ 100,000 บาทเท่ากัน
- บุคคลธรรมดาที่มีฐานภาษี 5% จะช่วยประหยัดทางภาษี ( 5% x 100,000) ได้เพียง 5,000 บาท
- บุคคลธรรมดาที่มีฐานภาษี 10% ช่วยประหยัดภาษี (10% x 100,000) ได้ 10,000 บาท
- บุคคลธรรมดาที่มีฐานภาษี 20% (20% x 100,000) ช่วยประหยัดภาษีได้ 20,000 บาท
- บุคคลธรรมดาที่มีฐานภาษี 35% จะช่วยประหยัดภาษีได้มากถึง 35,000 บาท
ดังนั้น กองทุนรวม TESG หรือ กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ได้ทั้งลดภาระภาษีของผู้ลงทุนโดยตรง และในทางอ้อมจะสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ ESG ในประเทศไทยได้อีกด้วย
อย่าลืมทำการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
Reference:
กองทุน TESG ลดหย่อนภาษี และ รู้จักกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ ‘Thai ESG’
บทความแนะนำ:
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ – Provident Fund มีประโยชน์กับคนทำงานอย่างไร?
SSFX และ SSF คืออะไร ทั้งสองตัวแตกต่างกันอย่างไร?
กองทุน RMF ปี 2563 มีอะไรใหม่ เงื่อนไขเป็นอย่างไร ดีกว่าเดิมไหม?