
การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องจริงๆ ก็ตามโดยเฉพาะกับการใช้ชีวิตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนี้
ในบทความนี้เราจะมาพูดคุยและทำความเข้าใจกันมากขึ้น ในเรื่องของความสำคัญที่ว่า การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นอย่างไร? จากมุมมองของ คุณโรสซาลีน่า อเล็กซานเดอร์ แม็คเคย์
เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ อย่างไม่มีข้อจำกัด
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ คุณโรสซาลีน่า อเล็กซานเดอร์ แม็คเคย์ ต้องดูแลลูกที่อยู่ในภาวะที่มีความต้องการพิเศษ เธอจึงเห็นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนความรู้ การได้รับกำลังใจ และการแบ่งปันประสบการณ์เพื่อเป็นแนวทางในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นอย่างมีพัฒนาการที่น่าพอใจ
ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงร่วมมือกับเพื่อนๆ ก่อตั้งมูลนิธิ The rainbow room ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างความตระหนักในเชิงบวกเกี่ยวกับเด็กที่มีภาวะความต้องการพิเศษ โดยตลอดระยะเวลาการทำงานกว่า 10 ปีที่ผ่านมา คุณโรสซาลีน่า และเพื่อนๆ ในมูลนิธิ ก็ยังคงมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อพ่อแม่และเด็กๆ อยู่เสมอ โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเด็กๆ ได้อย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการสังเกต สังเคราะห์ วิเคราะห์เด็กๆ แต่ละคนเพื่อให้เห็นความแตกต่างและจัดสรรวิธีการดูแลพวกเขาแต่ละคนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างเต็มศักยภาพและออกไปใช้ชีวิตร่วมกับสังคมได้อย่างกลมกลืนต่อไปในอนาคต
ลงมือสร้างกำลังใจให้กับผู้อื่น
มูลนิธิ The rainbow room เป็นชุมชนที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานสร้างความตระหนักเชิงบวกเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ในภาวะความต้องการพิเศษในสังคมไทย โดยมี คุณโรสซาลีน่า และเพื่อนๆ ร่วมกันเป็นผู้ก่อตั้ง
คุณโรสซาลีน่า เล่าให้เราฟังว่า “จริงๆ แล้วงาน Full-Time คือการเป็นแม่ค่ะ งานอดิเรกก็คือทำมูลนิธิแต่ก็ทำเกือบทั้งวันนะ” คุณโรสซาลีน่า บอกว่าจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าวมาจากการที่กเบรียล ลูกสาวคนเล็กของเธอได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีอาการดาวน์ซินโดรมหลังจากที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน ในฐานะแม่เธอบอกว่าคำถามแรกที่เกิดขึ้นในความคิดก็คือ เธอจะต้องไปหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลลูกได้ที่ไหน โชคดีที่ตอนนั้น เธอและครอบครัวอาศัยอยู่ที่อเมริกา ที่มีแหล่งข้อมูลและมีเอเจนซี ที่มีนักบำบัดที่คอยช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการพิเศษโดยเฉพาะ เธอจึงมีโอกาสได้เรียนรู้ ดูแลลูกสาวของเธออย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและด้วยความเข้าใจ
แต่เมื่อเธอและครอบครัวกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย เธอกลับพบว่า แหล่งข้อมูลและเครือข่ายความช่วยเหลือต่าง ๆ สำหรับเด็กความภาวะต้องการพิเศษ มีไม่เพียงพอและยังมีครอบครัวที่มีลูกหลานที่เป็นเด็กภาวะความต้องการพิเศษอีกมาก ที่ไม่รู้จะหาข้อมูลที่ไหน และจะพึ่งพาใครดี มูลนิธิ The rainbow room จึงได้รับการก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นั้น
ปัจจุบันนี้มูลนิธิ The rainbow room มีอายุกว่า 10 ปีแล้ว นอกจากเวลาที่ผ่านมาจะได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือพ่อแม่จำนวนมากแล้วยังได้ทำให้โรสซาลีน่าเข้าใจในความหมายของการใช้ชีวิตอย่างลึกซึ้งและเรียนรู้หัวใจสำคัญของการดูแลเด็กภาวะความต้องการพิเศษมากขึ้นด้วย
“สิ่งที่เราได้เรียนรู้อย่างแรกเลยก็คือเด็กก็คือเด็ก ไม่ว่าเขาจะมีภาวะความต้องการพิเศษหรือไม่ก็ตามเขาก็เป็นเด็ก พื้นฐานของเขาคือต้องการความรัก ความเข้าใจ และต้องการผู้ใหญ่ที่จะช่วยให้เขาได้เติบโตเต็มศักยภาพ เราก็จะเห็นเด็กที่เข้ามาที่นี่มีการพัฒนาเติบโตด้วยความเข้าใจของคุณพ่อคุณแม่” คุณโรสซาลีน่า บอกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ “เราได้เรียนรู้ว่ากำลังใจเป็นเรื่องสำคัญมาก ในวันที่เราอยู่ในความไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แล้วต่อไปในชีวิตจะเป็นอย่างไร ในวันนั้นที่เรามองไม่เห็นทาง การที่มีการแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ มันจะช่วยให้เรามีกำลังใจที่จะเดินต่อไปได้ การที่เรารู้ว่าไม่ได้เดินบนเส้นทางนี้คนเดียว การที่ทราบว่ามีเพื่อน มีคนอื่นๆ ที่อยู่ในประสบการณ์คล้ายกัน มันทำให้เราไม่โดดเดี่ยว แล้วก็มีกำลังใจในการก้าวเดินต่อไป”
เรียนรู้ในความต้องการของเด็กๆ
ในฐานะที่เป็นแม่ของลูกที่มีภาวะความต้องการพิเศษทำให้ คุณโรสซาลีน่า ทราบเป็นอย่างดีว่าพ่อแม่ของเด็กๆ คนอื่นต้องการข้อมูลเพื่อนำไปใช้เลี้ยงลูกมากเพียงใด เธอจึงให้ความสำคัญต่องการค้นคว้าหาข้อมูลใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเลี้ยงดูเด็กๆ ได้อย่างลุ่มลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันเธอตระหนักเป็นอย่างดีว่าถึงแม้ข้อมูลจะเป็นส่วนสำคัญมากเพียงใด แต่เด็กทุกคนมีความต้องการแตกต่างกัน ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องมีทั้งความรู้และดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อสังเกตความต้องการของลูกของตนเอง
“เราทำงานด้านข้อมูล เราเรียนรู้ว่าการมีข้อมูลที่รอบด้านและใหม่สดเสมอจะทำให้ความเข้าใจของเราต่อลูกๆ ของเรามีความลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ การแสวงหาความรู้และเทคนิคต่างๆ ในการดูแลเด็กๆ เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะเขาไม่สามารถมีพัฒนาการโดยธรรมชาติเหมือนเด็กทั่วไป เขาต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ของเขา แต่ถ้าผู้ใหญ่ไม่ทราบว่าเรามีวิธีอะไรที่จะช่วยเขาได้เราก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ถูกทาง”
“ในขณะเดียวกันประสบการณ์ก็เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สำคัญ เพราะเราทุกคนเป็นปัจเจก ไม่มีใครเหมือนใคร พ่อแม่ทุกคนจะสามารถดูแลลูกให้ดีได้ เขาก็ต้องดูว่าลูกของเขาเป็นอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรได้ดี เพราะฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจแล้วก็จะสามารถจับทางได้และสามารถดูแลลูกไปได้”
คุณโรสซาลีน่า บอกว่าการทำความเข้าใจเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญของการเลี้ยงดูเด็กภาวะความต้องการพิเศษ เพราะเมื่อพ่อแม่เข้าใจความต้องการของลูกก็จะสามารถตอบสนองให้เขาเติบโตได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันหากสังคมทำความเข้าใจถึงความแตกต่างก็จะทำให้พวกเขาสามารถปรับตัวจนอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ไม่ใช่เพียงแต่ครอบครัวเท่านั้นที่มีความสำคัญสำหรับเด็กๆ แต่ยังรวมถึงสังคมภายนอกด้วย ทุกอย่างมีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่ดูแลเด็กคนหนึ่งได้ดีเขาก็จะเกิดความมั่นใจ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง รวมถึงสังคมภายนอกที่เข้าใจความแตกต่าง เข้าใจว่าคนทุกคนไม่มีใครเหมือนกัน มันก็จะทำให้เรามีความรู้ตัวมากขึ้น รู้จักใจเรา เราก็จะรู้จักใจเขา พอเรามีความเข้าใจตนเองเข้าใจคนอื่นแล้วเราก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน”
ปรับแนวความคิดเพื่อเปลี่ยนกระบวนการ
จากประสบการณ์ตรงและการหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอทำให้คุณโรสซาลีน่า รู้ว่าเด็กภาวะความต้องการพิเศษต้องการวิธีการสอนที่แตกต่าง มูลนิธิ The rainbow room จึงทำหน้าที่สร้างความเข้าใจในพัฒนาการและพฤติกรรมของเด็กๆ ในกลุ่มภาวะออทิสซึม ดาวน์ซินโดรม ที่มีภาวะความแตกต่างทางการเรียนรู้หรือมีสมาธิจำกัด
“เราจะแบ่งปันประสบการณ์ ข้อมูล กำลังใจ แล้วก็พลังเสริม แบบพ่อแม่สู่พ่อแม่ ในขณะเดียวกันเราก็ทำงานกับผู้เชี่ยวชาญที่จะเข้ามาให้ความรู้ความเข้าใจในทางวิชาการเพื่อสนับสนุน ประสบการณ์และข้อมูลต่างๆ ด้วย” คุณโรสซาลีน่า เล่าว่าด้วยประสบการณ์ของเธอที่เคยอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศมาก่อนทำให้ได้เห็นแนวทางการดูแลเด็กภาวะความต้องการพิเศษที่เป็นประโยชน์และได้นำเอามาปรับใช้ในเมืองไทย
“ที่อเมริกามาเราได้เห็นวิธีการที่นักบำบัดทำงานกับเด็กๆ เราเห็นว่าเขาใส่ความสนุกลงไปในการเรียนรู้แทบจะทุกขั้นตอน ทุกคลาสคือการเล่น เฮฮา สนุก หัวเราะ ยิ้ม เพราะฉะนั้นเราจึงกลับมาดูว่าถ้าอย่างนั้นวิธีการพัฒนาการทางสังคมน่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เด็กมีบรรยากาศในการเรียนรู้ได้อบอุ่น มั่นใจ เชื่อมั่น และเป็นไปในเชิงบวก”
รวมไปถึงการที่ได้พบเห็นแคมเปญรณรงค์ ‘Stop the R-Word’ ในต่างประเทศที่ทำให้เธอเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแนวคิดต่อเด็กภาวะความต้องการพิเศษเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่สังคมมีต่อพวกเขาอย่างถาวร
“ในช่วงปี 2006 เราได้เห็นแคมเปญของ Stop the R-word โดยคำว่า R คือ Retard ถ้าแปลเป็นไทยก็คือคำว่าปัญญาอ่อน เราเห็นแล้วรู้สึกโดนมาก เพราะโดยส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบคำนี้เลย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น เรารู้สึกว่าการที่เราไปแปะป้ายใครบางคนด้วยคำบางคำ มันทำให้เกิดความจำกัด แรกเริ่มเลยคือจำกัดทัศนคติของพ่อแม่
“เพราะเมื่อเราได้ยินคำวินิจฉัยว่าลูกเรามีภาวะเช่นนี้แล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพ่อแม่คือการรู้สึกว่าลูกฉันคงเรียนอะไรไม่ได้เลย ลูกฉันคงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ พ่อแม่ก็จะปล่อยเขาไว้เฉยๆ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วเขาจะรู้ว่าคำนี้ไม่สามารถใช้กับลูกเขาได้ อันที่จริงคือใช้กับใครไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อเขามีสภาวะอย่างนี้ การให้ข้อมูล การสอน และการเรียนรู้ต่างหากที่จะเป็นกุญแจช่วยให้คนหนึ่งคนสามารถก้าวเดินต่อไปได้ในอนาคต” เธอกล่าวถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนแนวคิด
“เพราะทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ คำพูดที่บอกว่าการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุดจนกระทั่งเราหมดลมหายใจนั้นเป็นความจริงค่ะ” คุณแม่ที่ผ่านการสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกที่มีภาวะความต้องการพิเศษมาแล้ว รวมถึงมีส่วนในการเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็กๆ อีกจำนวนมากกล่าวยืนยัน
แม้กระทั่งเด็กที่มีความล่าช้าทางเชาว์ปัญญาเขาก็สามารถเรียนรู้ได้ถ้าเราใช้วิธีการสอนที่ถูกต้องและถูกจริตกับเขา เราต้องหาว่าเขาเป็นคนเรียนรู้ได้แบบไหน ถ้าเขาเรียนรู้จากภาพ เราก็ให้ดูอะไรที่เป็นภาพ ถ้าเขาเรียนรู้ได้จากเสียง เราก็ใช้เสียง ถ้าเขาชอบเรียนรู้จากการสัมผัส เขาก็ต้องมีประสบการณ์นั้น เพราะฉะนั้นเราต้องดูให้เห็นว่าเขาเรียนรู้อย่างไรแล้วเราเองเป็นคนช่วยให้เขาเรียนรู้แบบนั้น เพราะฉะนั้นการไปแปะป้ายเขามันไม่ได้ช่วยอะไรใครเลยจริงๆ มันยิ่งทำให้การที่จะก้าวไปข้างหน้าของครอบครัว ของเจ้าตัวเขาเอง หรือคนรอบข้างเขามันแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น”
คุณโรสซาลีน่า จึงเห็นว่าทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกันสร้างทัศนคติใหม่ต่อเด็กๆ และเชื่อมั่นในศักยภาพของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ให้กำลังใจพวกเขาในการก้าวเดินไปข้างหน้า ทำให้ศักยภาพของพวกเขาได้รับการเติมเต็ม และทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริงโดยไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใดๆ
เรื่องราวทั้งหมดนี้ จากคุณโรสซาลีน่า อเล็กซานเดอร์ แม็คเคย์ ก็เป็นการยืนยันที่ว่า การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องจริงๆ
เรื่องราวอ้างอิงบทสัมภาษณ์ของ คุณโรสซาลีน่า อเล็กซานเดอร์ แม็คเคย์
จากโครงการ พื้นที่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning)
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ โครงการ พื้นที่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
โจน จันใด ประสบการณ์ที่เลวร้าย ก็ถือเป็นครูอีกคนนึง ที่ให้บทเรียนที่ยากที่สุดให้แก่เรา
ครูไอซ์ – ดำเกิง มุ่งธัญญา Mindset ที่ดี สามารถช่วยให้เรา ก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ ในชีวิตได้
พี่ต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ชีวิตคือการตั้งคำถาม เพื่อให้เรากล้าที่จะท้าทายตนเอง ให้กล้าออกจากจุดเดิมๆ