
คุณตรีรกิต โอภาสกรุณา ร้านแว่นตา Clear Vision ร้านแว่นสยาม เริ่มต้นจากการทำงานในต่างประเทศ จนเกิดความคิดว่า “อยากลองทำอะไรของตัวเองดูบ้าง?” อะไรคือจุดเปลี่ยน? และ ทำไมต้องเป็นธุรกิจร้านแว่นตา? ติดตามเรื่องราวชีวิตชัดชัด จาก คุณตรีรกิต โอภาสกรุณา ร้านแว่นตาสยาม Clearvision ได้ในตอนนี้เลยครับ
มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ที่กำลังนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และนิ้วของเราก็กำลังรัวแป้นพิมพ์อย่างเมามันส์ ถึงจุดนึงเชื่อว่าหลายคนหรืออาจจะส่วนมากก็คงไม่ได้มีใครอยากเป็นพนักงานบริษัทไปตลอดชีวิต หลายคนมีเหตุผลที่เข้าสู่เส้นทางการเป็นมนุษย์ออฟฟิศเพื่อต้องการหาเงินทุนสักก้อนสำหรับการเปิดเส้นทางให้กับตัวเองด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งถ้าหากจะพูดว่าการมีธุรกิจเป็นของตัวเองที่ประสบความสำเร็จเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของใครหลายคนก็คงจะไม่ผิด
การทำงานให้กับบริษัทของคนอื่นนานๆ สิ่งที่ได้ก็คือ การได้เห็นข้อดีและช่องโหว่ในการบริหาร หรือกระบวนการทำงานต่างๆ บางทีความรู้สึกเหล่านั้นก็อาจจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เราอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง ที่เรียกว่าเราปั้นมันมาด้วยสองมือของเราเอง และทำให้มันประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเราเอง ก่อนจะมีร้านแว่นตา Clear Vision ตัวของคุณตรีรกิต โอภาสกรุณา หรือ คุณไบร์ท เจ้าของร้านก็เริ่มจากความรู้สึกนี้เช่นกัน
จุดเริ่มต้นร้านแว่น
ต้องย้อนไปถึงตอนที่ตัวคุณไบร์ทเองยังเรียนหนังสืออยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นคุณไบร์ทเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สำหรับรายได้ซึ่งถ้าเทียบเป็นเงินไทยแล้วนับว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก แม้การทำงานจะเป็นการทำงานบริการหรือรับจ้างตามร้านอาหารทั่วไปก็ตาม เมื่อมีความคิดจะกลับมาทำงานที่ไทย จึงเกิดคำถามว่าแล้วต้องกลับไปทำงานอะไร? ถึงจะได้เงินเท่ากับทำงานที่สหรัฐอเมริกา
“อยากลองทำอะไรของตัวเองดูบ้าง”

เมื่อความคิดที่จะกลับมาทำงานที่ไทยเริ่มชัดเจนขึ้น ความรู้สึกว่าอยากลองทำอะไรที่เป็นของตัวเองจริงๆ ก็เริ่มตามมา เนื่องจากตัวคุณไบร์ทเอง เคยทำงานบริการมาก่อนจึงอยากกลับไทยมาทำงานที่เกี่ยวกับงานบริการ เพราะคิดว่าเป็นงานที่ตัวเองถนัด และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เข้าใจว่าแต่ละคนที่เข้ามาใช้บริการเขาต้องการอะไร?
“มันเป็นจังหวะของชีวิต”
ในตอนแรกที่มีความคิดอยากทำงานบริการ คุณไบร์ทเล่าให้ฟังว่าไม่ได้มีเรื่องร้านแว่นตาอยู่ในหัวเลย แต่ในตอนนั้นน้องสาวของคุณแม่ของคุณไบร์ทที่ทำงานเป็นช่างวัดสายตาอยากลองเปิดร้านแว่นตาเป็นของตัวเอง คุณแม่ของคุณไบร์ทจึงลองมาถามคุณไบร์ทว่าสนใจลองทำบ้างไหม? ในช่วงที่กำลังหาทางจับจุดอยู่ว่าจะทำอะไรแต่ก็ยังหาตัวเลือกดีๆ ยังไม่ได้ คุณไบร์ทจึงตอบตกลงลองทำดูถึงแม้ว่างานจะไม่ตรงกับสายที่คุณไบร์ทจบมาเลยก็ตาม แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด
“ถ้าถามว่ายากไหม สำหรับผมไม่ยากเลย เพราะผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่ามันต้องดี”
เมื่อตัดสินใจทำธุรกิจที่เกี่ยวกับสายตาแล้ว ตัวคุณไบร์ทเองก็ต้องเริ่มไปศึกษาเรื่องของการวัดสายตา ลงคอร์สเรียนต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ใบประกาศจากกระทรวงฯ ลงเรียนทั้งทางตรงและทางลัด ซึ่งพอพูดโดยสรุปอาจจะดูเหมือนง่าย แต่คุณไบร์ทเองก็ต้องใช้เวลาศึกษานานกว่า 2 ปีด้วยกัน แม้จะเป็นธุรกิจในด้านที่ไม่เคยจับมาก่อนแต่ตัวคุณไบร์ทเองกลับมองว่ามันไม่ได้ยากเลย ความยากง่ายในการทำงานอยู่ที่เราตั้งเป้าหมาย จากประสบการณ์ของคุณไบร์ทเอง จากการที่ได้ลองจับงานมาหลายอย่างพบว่าการทำอะไรด้วยตัวเองมันไม่ง่ายอยู่แล้วและมันจะยากยิ่งขึ้นหากเราตั้งเป้าหมายเกินตัว ดังนั้นสำหรับคุณไบร์ท กับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ขอแค่ให้รอดไปได้ทุกเดือนโดยที่ตัวเจ้าของธุรกิจอยู่ได้ก็พอแล้ว
“พอไม่ได้ตั้งเป้าหมายเลย ก็เป็นการทำไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่ามันมาไกลแล้ว”

มันเป็นเรื่องของจังหวะชีวิตจริงๆ ที่ทำให้คุณไบร์ทมาถึงจุดนี้ เพราะคุณไบร์ทไม่ได้สนใจในแว่นตาเลยตั้งแต่แรก คุณไบร์ทเล่าให้ฟังว่าการทำงานตรงนี้มันก็มีจุดเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่มาเรียนเกี่ยวกับแว่นตาและการวัดสายตา เขาจะมีการบ้านให้ทำ คือเราต้องฝึกวัดสายตาคนให้เยอะที่สุด ยิ่งเยอะยิ่งดี เราก็จะได้เชี่ยวชาญและชำนาญ
คุณไบร์ทเองจึงได้มีโอกาสวัดสายตาให้กับคุณแม่ แล้วพบว่าสายตาของคุณแม่มีปัญหา ด้านนึงใช้ไม่ได้ มองไม่ชัดเจนเหมือนคนปกติ ทำให้เกิดความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น? เมื่อลองหาสาเหตุจึงพบว่าคุณแม่มีอาการแบบนี้โดยเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นโรคเกี่ยวกับจอประสาทตา ซึ่งถ้ารู้ว่าเป็นตั้งแต่ตอนเด็ก ก็จะมีโอกาสได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ปัจจุบันก็คงจะใช้การได้ปกติ แต่เพราะความไม่รู้จึงทำให้เสียโอกาสในการรับการรักษาไป เหตุการณ์นี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนความคิดให้กับคุณไบร์ท
“เรื่องนี้ทำให้ย้อนคิดว่า มันไม่ใช่เป็นแค่ธุรกิจที่ซื้อมาขายไปแล้ว”
เหตุการณ์นั้นทำให้ความคิดและมุมมองเกี่ยวกับร้านแว่นตาของคุณไบร์ทเปลี่ยนไป ธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไปแล้วจบ มันต้องมีขั้นตอนหลายอย่าง หลายกระบวนการเกิดขึ้น บางทีถ้ามีใครสักคนสามารถเตือนคนที่มีโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาเหมือนกับคุณแม่คุณไบร์ทได้ตั้งแต่ตอนที่ยังรักษาทัน คนคนนั้นคงมีโอกาสได้มีสายตาที่เป็นปกติ
เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้คุณไบร์ท เร่ิมเอาจริงเอาจังและมีไฟในการทำงานที่อยากทำให้ร้านแว่นตาตรงนี้ดีขึ้น โดยคุณไบร์ทได้เปลี่ยนจากการไม่ตั้งเป้าหมาย เป็นการวางความก้าวหน้าหรือความเติบโตทางธุรกิจเอาไว้ว่าในทุกๆ ปี ทุกอย่างต้องดีขึ้น 10% ไม่ว่าจะเป็นจำนวนลูกค้า กำไร หรือ รายได้ เป็นต้น
อุปสรรคระหว่างทาง
คุณไบร์ทเล่าว่า หากพูดถึงปัญหาที่ทำให้ท้อหรืออุปสรรค จริงๆ แล้วมันก็มีเข้ามาทุกวันเลย อาจจะด้วยความที่ตัวคุณไบร์ทเองเป็นคนอ่อนไหวง่าย แต่อยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับปัญหาทุกอย่างหลังบ้านให้ได้ ต้องตัดสินใจ ต้องวางแผน ซึ่งปัญหาเรื่องพวกนี้ที่ส่งผลต่อความรู้สึกมันต้องมีเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะเราทำงานด้วยความใส่ใจ
“มีเรื่องพวกนี้ทุกวันอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าจะสะกิดความรู้สึกเรามากหรือน้อยในแต่ละวันเท่านั้นเอง”

พอเป็นงานบริการอย่างร้านแว่นตา สิ่งที่ต้องเจอก็คือลูกค้าได้แว่นกลับไปแล้วไม่พอใจ อาจจะหลวมไป ไม่สบายตา ใส่แล้วไม่สบายใจ ซึ่งพอลูกค้าเกิดความไม่พอใจ ตัวคนขายเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน บางทีอาจจะเป็นกระบวนการเล็กๆน้อยๆ ที่ความผิดพลาดอาจเกิดที่จากการขนส่งหรือปัจจัยอื่นๆ แต่เมื่อลูกค้าเกิดความไม่พึงพอใจในการบริการครั้งนี้ ตัวคุณไบร์ทเองก็จะพลอยรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย
“ทำอย่างไร? ไม่ให้ปัญหาเกิดซ้ำอีก”
เวลาเจอปัญหาแล้วรู้สึกแย่ ซึ่งในช่วงแรกคุณไบร์ทเองก็รู้สึกแย่ รู้สึกท้อไปนานเหมือนกัน ความรู้สึกไม่อยากทำก็มีเกิดขึ้นมาบ้างอย่างแน่นอน แต่พอเปิดร้านมาได้ 9 ปี จึงทำให้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วปัญหามันก็ซ้ำในเรื่องเดิมๆ ปัญหานี้เคยแก้ไปแล้ว ปัญหานี้เหมือนกับปัญหาเมื่อเดือนก่อนโน้น พอเราเคยแก้ปัญหาแบบนี้มาแล้วให้คิดเสียว่าแม้มันจะสะกิดอารมณ์เราไปบ้าง แต่เราเองก็เคยเจอมันมาแล้ว ตอนนั้นเรายังผ่านมันมาได้เลย ตอนนี้จะให้หยุดเพราะมันเกิดขึ้นซ้ำอีกก็ไม่ใช่ ทำไมรอบนี้ถึงจะผ่านไปไม่ได้ สิ่งที่เราต้องคิดต่อคือ ทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอีกต่างหาก หากเราพยายามคิดถึงสิ่งเหล่านี้เป็นหลัก เราจะเริ่มสบายใจและมองหาทางแก้ปัญหามากกว่าใส่ใจในอารมณ์หรือความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้น
ความประทับใจ
คุณไบร์ทอธิบายว่าความสำเร็จของใครหลายคนอาจเป็นการขยายสาขา การมีกำไรเยอะ หรือการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี แต่สำหรับคุณไบร์ทเองยังเหมือนเดิม ขอแค่อยู่ได้ก็พอในเรื่องตัวเงิน แต่คำว่าสำเร็จของคุณไบร์ทตอนนี้คือเวลาคนมารับแว่นแล้วเขามีความสุข แว่นของร้านสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของเขาได้ รีแอคชั่นที่มีความสุขของลูกค้าเมื่อได้รับแว่นของร้านถือเป็นความสำเร็จในหน้าที่การงานของตัวเองแล้ว
ทำไมเลือกใช้ essilor
คุณไบร์ทเล่าว่าช่วงปีแรกเหมือนคนทั่วไปเลยที่คิดว่าลูกค้าต้องชอบของถูกแน่ๆ ที่ร้านเลยเลือกใช้เลนส์จากจีน เพราะให้ความสำคัญในการแข่งขันทางด้านราคา แต่พอทางร้านได้รับฟีดแบคกลับมาจากลูกค้า พบว่าลูกค้ามองว่าดีแค่ 60% และไม่ดี 40% เลย เพราะเลนส์ของลูกค้าบางคนก็ลอกและเป็นรอยง่าย แถมเลนส์จากจีนยังเคลมไม่ได้อีกด้วย

คุณไบร์ท จึงลองมองหาเลนส์ที่ได้คุณภาพ จึงเริ่มสังเกตจากคนที่มีเพื่อนแนะนำมาหรือเป็นลูกค้าเก่าที่มาตัดแว่นเพิ่ม ตพอได้ลองเปิดบันทึกข้อมูลของพวกเขาดู พบว่าพวกเขาส่วนมากจะใช้เลนส์จาก Essilor จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้คุณไบร์ทเริ่มคิดได้แล้วว่าลูกค้าไม่ได้ต้องการของถูก แต่พวกเขาต้องการของที่ดี มีคุณภาพแบบ Essilor ถึแม้ว่าสินค้าจะแพงขึ้นหน่อยก็ไม่เป็นไร ถ้าใช้แล้วดี คุ้มค่า และสามารถแก้ปัญหาของเขาได้ ฟีดแบคของลูกค้าทำให้คิดว่าสมเหตุสมผลทั้งร้าน ลูกค้า และ Essilor เอง เมื่อเลนส์ดี ลูกค้าใส่สบายตา พวกเขาก็ตัดสินใจเลือกได้ไม่ยากเลย
ฝากถึงลูกเพจมนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
หลายคนเวลาทำธุรกิจ จะชอบพูดกันว่าอย่าเพิ่งทิ้งงานประจำ ให้ลองหาเวลาว่างอย่างเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดอื่นมาลองทำงานเสริมดู ถ้ามันรายได้ดี มั่นคง ค่อยลดเวลาทำงานประจำแล้วหันมาจริงจังกับงานเสริม แต่คุณไบร์ทคิดในทางตรงกันข้ามเลย ถ้ามีธุรกิจที่สนใจหรืออยากมีอะไรเป็นของตัวเองแล้ว อย่ากลัวที่จะเสี่ยง อย่ากลัวที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง ก้าวออกมาจากงานประจำเลย แล้วลุยมันให้เต็มที่ ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ให้ถือว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว และไม่ต้องเสียใจทีหลัง
แต่ถ้าเราควบเดินไปทั้งสองทาง จะรู้สึกว่าต่อให้งานเสริมไม่ประสบความสำเร็จก็ยังมีงานหลักให้พอไปได้อยู่ จนสุดท้ายก็ไม่ได้เต็มที่เท่าที่ควร เพราะฉะนั้นหันมาทำสิ่งที่ต้องการเลย จดจ่อและเต็มที่กับมันเพียงอย่างเดียว ถ้าเราโฟกัสที่สิ่งสิ่งเดียว ต่อให้รอบแรกไม่ประสบความสำเร็จ เราก็จะพยายามต่อไป หาทางอยู่กับมันให้ได้ มนุษย์ทุกคนเมื่อพยายามจะสามารถผ่านมันไปได้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะผ่านมันไปแบบไหน เหนื่อยมากหรือเหนื่อยน้อยเท่านั้นเอง
“ผมไม่มีความเชื่อว่าคนเราจะสามารถทำสองอย่างให้ได้ดีได้ในเวลาเดียวกัน”
ร้านแว่นตาสยาม Clearvision ศูนย์รวมกรอบแว่น เลนส์
ที่อยู่: ร้านอยู่ที่ตึก A La Art (29 plaza เก่า) โทร. 097 994 6246
ชีวิตชัดชัด เริ่มต้นธุรกิจจากแผนที่ไม่มีแผน l Vision Mission
บทความแนะนำ:
คุณสุวิทย์ ใช้บางยาง – เริ่มต้นจากความสนใจ จนนำไปสู่ความเชี่ยวชาญ