
คุณธีระ เทอดบุญไพศาล เจ้าของศูนย์สายตา KEEPLOOK by Optometrists เริ่มต้นจากการเป็นพนักงานในบริษัทของคนอื่นมาเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากไม่มีความสุขกับเส้นทางที่เลือก และรักในสิ่งที่ทำ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ อะไรคือจุดเปลี่ยนของพนักงานคนนึงที่อยากเริ่มต้นมีอะไรเป็นของตนเอง? และ ทำไมต้องเป็นธุรกิจร้านแว่นตา? ติดตามเรื่องราวชีวิตชัดชัด จาก คุณโจ้ ธีระ เทอดบุญไพศาล ได้ในตอนนี้เลยครับ
เมื่อเราพูดถึงร้านแว่นตา เราอาจจะนึกถึงการให้บริการในด้านสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการวัดสายตา สั้น ยาว เอียง หรือการมองหาแว่นตากรองแสงสำหรับการใส่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการให้บริการในด้านสุขภาพดวงตาที่ทุกร้านมีให้เหมือนกันทั้งหมด
ลูกค้าหลายคนที่เดินเข้าไปในร้านแว่น พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่แว่นที่ทำให้เห็นชัดที่สุดหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับดวงตาดีที่สุดเท่านั้น แต่แว่นที่เลือกซื้อยังต้องเป็นแว่นที่ใส่แล้วดูดี ตรงสไตล์ หรือสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใส่ด้วย เพราะฉะนั้นคุณโจ้ จึงทำให้ร้านแว่นตา Keeplook ไม่ใช่แค่ร้านแว่นตาที่แก้ปัญหาทางด้านสายตาอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่เลือกซื้อกลับไปสวมใส่ด้วย
จุดเริ่มต้นร้านแว่นตา
ถ้าถามถึงจุดเริ่มต้นเลย คุณโจ้เล่าให้ฟังว่าคนที่เริ่มไว้คือคุณพ่อและคุณแม่ เพราะเดิมทีทางบ้านของคุณโจ้เปิดร้านแว่นอยู่แล้ว ทำให้ตั้งแต่เด็กคุณโจ้จะมีโอกาสได้เห็นมาตลอดว่าการทำธุรกิจร้านแว่นเป็นอย่างไร มีอะไรและขาดอะไร จึงเริ่มกลายเป็นแรงผลักดันให้ออกไปตามหาสิ่งที่ร้านของที่บ้านยังขาดด้วยการตัดสินใจไปเรียนต่อ ทัศนมาตรศาสตร์
“ไม่ได้สนใจตั้งแต่เด็ก แต่เห็นบ่อยเกินไป”

หากจะบอกว่ามาทำธุรกิจร้านแว่นตาเพราะสนใจตั้งแต่เด็กก็คงจะไม่ได้ คุณโจ้เล่าว่าตั้งแต่เกิดมาก็เห็นร้านแว่นแล้ว ในช่วงแรกเบื่อด้วยซ้ำ จึงทำให้เลือกไปศึกษาต่อในสายการตลาดแล้วออกไปทำงานประจำ แต่เมื่อทำไปสักระยะก็เริ่มตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอบโจทย์หรือไม่ บวกกับการมองเห็นธุรกิจร้านแว่นตาของที่บ้านยังขาดบางสิ่งอยู่ จึงเริ่มหันกลับมามองธุรกิจร้านแว่นตา
“ร้านแว่นไม่ได้เกี่ยวกับการมองเห็นอย่างเดียวหรือเปล่า?”
ด้วยนิสัยของคุณโจ้เป็นคนชอบพูดคุยและสนใจในเรื่องการแต่งตัว พอเริ่มหันกลับมามองร้านแว่นตาของที่บ้านจึงทำให้เริ่มคิดว่าบางทีร้านแว่นตาอาจไม่ได้หมายถึงการแก้ปัญหาในเรื่องการมองเห็นอย่างเดียวหรือเปล่า มันสามารถเอามารวมกับแฟชั่นหรือการแต่งตัวได้ พอเกิดความคิดตรงนี้ขึ้นจึงหันกลับไปเรียนต่อในสาขาทัศนมาตรศาสตร์ทันที
“คนที่ใส่แว่นรู้สึกมั่นใจในตัวเองว่าใส่แว่นแล้วไม่ได้ขี้เหร่กว่าการไม่ใส่แว่น”
หลังจากเรียนจบ คุณโจ้เลือกที่จะแยกออกมาเปิดร้านแว่นของตัวเองแทนที่จะทำร้านของครอบครัวต่อ ด้วยเหตุผลที่ว่าร้านของครอบครัวเปิดมานานกว่า 30 ปีแล้ว ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะอยู่แล้ว การแยกออกมาเปิดร้านใหม่ด้วยตัวเองจะทำให้คุณโจ้ได้เจอกับลูกค้าที่แตกต่างออกไปมากกว่า โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่โจ้ดูไว้ไม่ใช่แค่กลุ่มที่ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องสายตาเท่านั้น แต่เป็นกลุ่มที่ต้องการจะใส่แว่นให้ดูดียิ่งขึ้นด้วย จึงตั้งชื่อร้านว่า Keep look ร้านแว่นที่จะทำให้คนที่ใส่แว่นรู้สึกมั่นใจและดูดีไม่ได้ต่างจากตอนที่ไม่ได้ใส่แว่นเลย
ความแตกต่างระหว่างงานประจำกับการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
แน่นอนว่าระหว่างงานประจำกับการทำธุรกิจของตัวเองมันจะต้องมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว คุณโจ้เล่าว่าการทำงานประจำมีความสนุกมากกว่าเพราะมีเพื่อนที่ทำงานไม่ว่าจะแผนกเดียวกันหรือต่างแผนก แค่ก้าวเข้าไปในที่ทำงานก็ได้พบเจอคนมากมายแล้ว แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจกลายเป็นว่า 80-90% คือต้องประจำอยู่ที่ร้าน แต่ก็จะได้เจอคนมากมายอีกรูปหนึ่งเข้ามาหาหรือก็คือลูกค้านั้นเอง
“มันกลายเป็นความสนุกที่ไม่ใช่จากเพื่อนร่วมงาน แต่สนุกกับการที่ลูกค้าเดินเข้ามาแล้วเราแนะนำสิ่งที่ตอบโจทย์กับเขามากกว่า”

การเป็นเจ้าของธุรกิจที่ได้พูดคุยกับลูกค้าทำให้มองเห็นทัศนคติของการมองการใส่แว่นที่แตกต่างกัน บางคนเข้าแค่เดินเข้ามาก็ดูออกเลยว่าเขาไม่ได้ต้องการจะใส่แว่นแต่อาจจะมีปัญหาในเรื่องสายตาที่อาจจะมองไม่ชัดหรือปวดตาจากการจ้องมอหน้าจอคอมพิวเตอร์จึงทำให้ต้องเข้ามาร้านแว่น บางคนเข้ามาเพื่อเปลี่ยนบุคลิกตัวเอง เช่น เป็นคนหน้าเด็กแต่ด้วยหน้าที่การงานจึงอยากเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือความดูอาวุโสขึ้น แต่บางคนก็อยากจะดูหน้าเด็กลงหน่อยเลยมองหาแว่นตาที่ใส่แล้วดูหน้าเด็กลง เป็นต้น
จากการเป็นพนักงานสู่เจ้าของธุรกิจที่ต้องมาเลือกมาพนักงาน
คุณโจ้อธิบายว่าเมื่อคุณโจ้ได้เปลี่ยนจากการเป็นพนักงานในบริษัทของคนอื่นมาเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องเลือกพนักงานเสียเอง สิ่งที่คุณโจ้มองหาไม่ใช่ความชำนาญในการทำงานอย่างเดียวแต่เป็นการคุยกันได้ทุกเรื่อง แนะนำกันได้ พูดคุยถูกคอกัน พูดภาษาเดียวกันโดยไม่ต้องอธิบายเยอะ ต่อให้ไม่เก่งก็พร้อมที่จะปรับและปฏิบัติตาม ทำงานกับคนประเภทนี้จะมีความสุขกว่า
“มันคือธุรกิจที่เป็นการรวมศิลปะและทฤษฎีเข้าด้วยกัน”
เพราะร้านแว่นตาไม่ใช่งานประจำที่อาจจะต้องการคนเก่ง แต่ร้านแว่นนี้ต้องการความช่างคิดเสียหน่อย การหยิบแว่นแพงให้ลูกค้าไม่ได้หมายความว่าแพงเท่ากับใส่สวยเสมอไป บางทีแว่นที่ราคาต่ำลงมาอาจจะเหมาะกับลูกค้าคนนั้นมากกว่าแถมช่วยลูกค้าประหยัดงบในการตัดแว่นได้ด้วย เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาทำงานที่ร้านจะต้องมีจิตวิทยาวิเคราะห์ได้ แนะนำได้ เข้าใจและไปในทิศทางเดียวกันกับร้าน การที่แนะนำหรือสอนอะไรไปแล้วพนักงานคนนั้นเข้าใจถือเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด
เป้าหมายที่วางไว้
คุณโจ้เล่าว่าจริงๆตัวคุณโจ้เองไม่ได้วางเป้าหมายไว้ใหญ่มาก ต้องการเปิดสาขาเพิ่มอีก 3-5 สาขาภายในระยะเวลา 4-5 ปีข้างหน้านี้ แต่จะวางให้สาขาอยู่รอบนอก ไม่ได้ต้องการจะเข้าไปเปิดในตัวเมืองหรือใจกลางเมืองนักเพราะปัจจุบันมีร้านแว่นตาจำนวนมากอยู่แล้ว ทำเลที่ต้องการเข้าไปเปิดเป็นที่อยู่อาศัยที่มีพนักงานออฟฟิศ หรือกลุ่มคนทำงานประจำอาศัยอยู่รวมกันเยอะๆ เพราะคนกลุ่มนี้จะต้องการการดูแลตัวเองที่เยอะกว่าและพวกเขาไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง หากมีร้านแว่นตาอยู่ใกล้ๆก็จะถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพวกเขา

อุปสรรคระหว่างทาง
ธุรกิจร้านแว่นตามีกำแพงทางด้านราคาสูงมาก คนมักเข้าใจกันว่าเป็นธุรกิจที่ได้กำไรดี แต่ความจริงแล้วการเปิดร้านแว่นตาต้องมีเงินสำหรับสต็อคของจำนวนมาก และเมื่อเป็นของสต็อคค้างก็ไม่สามารถนำไปทำอะไรต่อได้ ดังนั้นกำไรที่ได้ก็อาจจะหมดไปกับการต้องนำเงินไปสต็อคของไว้สำหรับขาย
“ลูกค้าบางคนก็สนใจไปที่ราคามากกว่าคุณภาพ”
ร้านแว่นตานอกจะต้องต่อสู้กับกำแพงทางด้านราคาแล้วยังมีการขายตัดราคากันอยู่ในแต่ละร้านเหมือนกันสินค้าอื่นๆทั่วไปด้วย เพราะลูกค้าบางคนก็ให้ความสนใจในเรื่องของราคามากกว่าคุณภาพ จึงทำให้การแนะนำสินค้าเป็นไปได้ยากขึ้นแม้ว่าจะต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าก็ตาม ทางร้านจึงต้องเริ่มปรับตัวและทำความเข้าใจด้วยการโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่ยอมจ่ายเพื่อคุณภาพ และหากลูกค้าต้องการสินค้าที่ถูก ทางร้านก็จะแนะนำให้โดยแจ้งตามความจริงว่าคุณภาพจะแตกต่างกันอย่างไร หรือจริงๆแล้วลูกค้าเหมาะกับสิ่งไหนมากกว่ากัน เพราะต่อให้สินค้าถูกก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคุณภาพ เพียงแต่คุณภาพจะเป็นไปตามราคาของมันเท่านั้นเอง
ความประทับใจ
ร้านแว่นตา Keep look ไม่ใช่ร้านแว่นตาที่มีการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ร้านมากมายทำให้ลูกค้าที่ วอร์คอินเข้ามาใช้บริการมีน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นการบอกต่อปากต่อปากของลูกค้า ร้านดูแลดี ราคาไม่ได้ถูกหรือแพงกว่าร้านอื่นๆ ลูกค้าหลายคนที่เคยใช้บริการไปแล้วก็จะวนกลับมาใช้ซ้ำ ถึงขั้นที่มีลูกค้าคนหนึ่งตัดแว่นในปีเดียวไปกว่า 30 อันเลย
“ที่สุดเลยคือความจริงใจ ดูแลเหมือนญาติ”
คอนเซ็ปต์การทำงานที่คุณโจ้บอกกับพนักงานทุกคนที่ร้านคือลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาให้ดูแลเหมือนเป็นญาติเรา ไม่ว่าจะเคสไหน ถูกหรือแพง ต้องแนะนำเขาอย่างจริงใจ อย่าโฟกัสเพียงว่าจะขายของแพงอย่างเดียว ถ้ามันไม่ตอบโจทย์เขา โอกาสที่เขาจะกลับมาใช้บริการอีกแทบไม่มีเลย แต่ถ้าขายของถูกแล้วโฆษณาเกินจริง เขากลับมาต่อว่าก็ไม่ดีเหมือนกัน ให้แนะนำลูกค้าทุกคนเหมือนเป็นญาติด้วยความจริงใจว่าสิ่งไหนเหมาะสมกับเขาที่สุดเพื่อให้เขารู้สึกมั่นใจในการใส่ที่สุด
ทำไมเลือกใช้ essilor
คุณโจ้อธิบายว่าจริงๆแล้วที่ร้านมีเลนส์เกือบทุกแบรนด์ แต่ทางร้านจะโฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ของ Essilor เป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่จะรู้ว่าผลิตภัณฑ์จาก Essilor คุณภาพดีมาก ปรับตัวง่าย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วน ป้องกันแสงสีฟ้า หรือเลนส์ที่ออกแดดแล้วเปลี่ยนสี Essilor มีชื่อเสียงในเรื่องนี้มานานมากแล้วทั้งในลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นและมีอายุก็จะรู้จักแบรนด์นี้เป็นอย่างดี

ฝากถึงลูกเพจมนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
อยากให้คนทำงานทุกคนใส่ใจในสุขภาพตาของตัวเองให้มาก เพราะทางร้านเจอกับเคสสายตาสั้นเทียมอยู่บ่อยครั้ง สายตาสั้นเทียมคืออาการสายตาสั้นชั่วคราวหลังจากทำงานเป็นระยะเวลานาน ซึ่งถ้าเราไม่รู้ว่ามันคืออาการสายตาสั้นเพียงชั่วคราวแล้วตัดสินใจตัดแว่นสายตาเลย ในเช้าวันรุ่งขึ้นที่ใส่แว่นจะเกิดอาการปวดหัวทันทีเนื่องจากค่าสายจริงกับค่าสายตาที่ตัดแว่นไม่ตรงกัน ถ้าพักผ่อนได้ พักผ่อนให้เพียงพอแล้วหากยังรู้สึกมองเห็นไม่ชัดเจนค่อยคิดจะไปตัดแว่นสายตาจะดีกว่า
“กฎการทำงาน 20-20-20 ป้องกันสายตาสั้นเทียม ทำงาน 20 นาที พัก 20 วินาที ด้วยการมองไปที่ไกลๆ ประมาณ 20 ฟุต”
KEEPLOOK by Optometrists
ที่อยู่: 101 True Digital Park ชั้น2 ถนน สุขุมวิท แขวง บางจาก เขต พระโขนง กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย 10260 โทร. 095-6452464
ชีวิตชัดชัด มีความสุขกับงานที่ทำ จะรักและอยู่กับงานได้นานl Vision Mission
บทความแนะนำ:
คุณตรีรกิต โอภาสกรุณา – ความสำเร็จไม่ต้องรอเวลา กล้าออกจาก Comfort Zone