
คุณวรวุฒิ ลิ้มศิริโสภณ หรือ คุณเวฟ เด็กรุ่นใหม่เพิ่งจบมาหมาดๆ ก็ต้องมาเจอกับโควิด ทำให้เป้าหมายที่เคยอยากทำไม่ได้ทำ จำเป็นต้องกลับมารับช่วงช่วยกิจการที่บ้าน เค้าจะมีแนวคิดแบบไหน ที่จะนำพาธุรกิจของที่บ้านฝ่าวิกฤตไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้?
เมื่อโควิด-19 เข้ามาระบาดในประเทศไทย ทุกคนต่างได้รับผลกระทบกันอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะในเรื่องของการใช้ชีวิต สุขภาพ หรือ เศรษฐกิจที่ตกต่ำลงราวกับจะฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น ในนาทีนั้นเราได้แต่นั่งคิดว่าจะตายเพราะโรคที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง หรือเศรษฐกิจที่แข่งกันตกต่ำไปเรื่อยกันแน่
หนึ่งในสิ่งที่โดนโควิด-19 ขัดขวางไว้ คือการวางแผนเรียนต่อหรือเดินทางไปต่างประเทศ หลายคนต้องสะดุดในเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศกันหมด เนื่องจากการปิดประเทศเพื่อหยุดการแพร่ระบาดโรค อนาคตที่วางไว้ต้องถูกเลื่อนหรือ บางคนถึงขั้นต้องปรับเปลี่ยนไปเลย คุณวรวุฒิ ลิ้มศิริโสภณ หรือ คุณเวฟ คือ คนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จนแผนการเรียนต่อต้องสะดุด แต่เพราะแผนที่สะดุดนี้เองทำให้คุณเวฟได้เข้ามาดูแลร้านแว่นตา 99 Optical ของครอบครัว
จุดเริ่มต้นร้านแว่น
จุดเริ่มต้นของร้านแว่นตา 99 Optical เรียกได้ว่าเริ่มต้นมาตั้งแต่ที่คุณเวฟยังไม่ได้เข้ามาทำด้วยซ้ำ เพราะร้านนี้เป็นร้านที่คุณแม่ของคุณเวฟทำมาอยู่แล้ว ในตอนแรกตัวคุณเวฟเองไม่ได้มีความสนใจในการทำธุรกิจร้านแว่นตาต่อจากคุณแม่ จึงเลือกเรียนด้านการบริหาร แล้วมีความตั้งใจจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก่อนที่จะกลับมาเปิดธุรกิจส่วนตัว

“การเข้ามาของโควิด-19 ที่ทำให้แผนสะดุด”
ในตอนที่คุณเวฟเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเดียวกับตอนที่โควิด-19 เพิ่งเข้ามาระบาดในประเทศไทย กลายเป็นว่าไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้ เมื่อเรียนจบแล้วต้องอยู่ไทยจึงจำเป็นต้องเข้ามาช่วยคุณแม่ทำกิจการร้านแว่นตา ซึ่งคุณเวฟเล่าว่าในตอนนั้นทุกอย่างยากมาก เพราะเข้ามาช่วยในช่วงที่โควิด-19 ระบาดนักพอดี บวกกับร้านอยู่ในห้างด้วย ทุกอย่างจึงยากและซับซ้อนไปหมด
“เริ่มต้นจาก 0 ไม่มีใครแนะนำเลย”
จากตอนแรกที่จบด้านการบริหาร เมื่อต้องเข้ามาทำธุรกิจร้านแว่นตาของที่บ้านจึงต้องเริ่มเปิดใจศึกษาเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เรียกได้ว่าคุณเวฟต้องเริ่มจาก 0 อีกครั้ง คุณเวฟเล่าว่าตัวเองต้องเรียนรู้ทุกอย่างเพราะร้านเป็นเพียงร้านแว่นตาเล็กๆ คุณแม่จึงทำทุกอย่างมาแบบงูๆปลาๆ ซึ่งนั่นก็มากที่สุดเท่าที่คุณแม่จะทำได้แล้ว แต่การเข้ามาทำตรงนี้คุณเวฟต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเลนส์ รายละเอียดต่างๆ และกระบวนการที่ลงลึกไปมากกว่าแค่การขายและแนะนำกรอบและเลนส์ให้แก่ลูกค้า
“เรียนรู้จากลูกค้า ลูกค้าสอนเรามากกว่า”
คุณเวฟเล่าว่าการเรียนรู้ธุรกิจร้านแว่นตาส่วนใหญ่แล้วจะมาจากลูกค้า ลูกค้าจะเป็นคนที่คอยสอนว่าเราต้องทำการขายอย่างไร แนะนำอย่างไร ลูกค้าแบบไหนต้องการสินค้าประเภทไหน เมื่อทำไปสักพักพอจับทางได้ก็จะเริ่มรู้ว่าควรจะแนะนำสินค้าแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับลูกค้าคนนั้นที่สุด แต่กว่าจะจับทางได้ก็กินเวลาไปนานเกือบปีอยู่เหมือนกัน

“เพราะมันเป็นธุรกิจส่วนตัว เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง มันน่าจะตอบโจทย์ที่สุด”
คุณเวฟเล่าว่าตัวเองต้องเข้าไปเรียนรู้ถึงจุดที่ต้องประกอบเลนส์ได้ เจียเลนส์ได้ หรือสามารถขายได้ เพราะว่าตัวร้านจริงๆ เป็นแค่ร้านเล็กๆ ถ้าตรงไหนว่างแต่ละคนก็ต้องสามารถเข้าไปทำแทนกันได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการคุยกับลูกค้า สมมติลูกค้าสายตาประมาณนี้ อายุเท่านี้ ควรใช้แว่นตาตัวไหน ซึ่งในช่วงแรกก็ต้องมีการลองถูกลองผิด แนะนำเลนส์ผิดไปบ้าง ก็จะเกิดปัญหาลูกฟีดแบคกลับมา สำหรับคุณเวฟมองว่าทั้งหมดนี้เป็นการเรียนรู้ ยิ่งเป็นธุรกิจส่วนตัว ในฐานะเจ้าของธุรกิจ การเรียนรู้งานทุกกระบวนการเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด
“สนุกกับมัน สนุกกับทุกวัน”
หลังจากที่คุณเวฟเข้ามาช่วยคุณแม่ทำร้านแว่นตาได้ 2-3 ปีตลอดช่วงที่โควิด-19 ยังระบาด คุณเวฟก็พบว่างานตรงนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ยิ่งอยู่ยิ่งซึมซับ งานในหลากหลายตำแหน่งที่ได้ลองทำกลับสร้างความสนุกในการทำงานแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการขาย การประกอบเลนส์ หรือการได้พบเจอกับลูกค้าที่หลากหลาย โดย คุณเวฟบอกว่าการทำงานตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยแรงบันดาลใจส่วนตัวมากกว่าการทำเพื่อช่วยคุณแม่แล้ว ความรู้ที่ได้มาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองทำให้ซึมซับเร็วจนเกิดเป็นแรงผลักดันให้ทำต่อไปในทุกๆ วัน
เป้าหมายที่วางไว้
จากวันที่เริ่มเข้ามาช่วยคุณแม่ทำร้านแว่น คุณเวฟเล่าว่าตอนนี้คุณแม่ก็ยังไม่ได้ออกไปเลย ยังมีเข้ามาช่วยบ้างแต่ตัวคุณเวฟมองอนาคตไว้ว่าหากมีทุนหรือกำลังมากพออยากจะผลิตกรอบแว่นเอง ให้เป็นแบรนด์ของร้านไปเลย หรือถ้าไกลกว่านั้นก็อยากจะเป็นดีลเลอร์กับแบรนด์ดังๆต่างประเทศ
อุปสรรคระหว่างทาง
ช่วงสะสมประสบการณ์ที่การทำงานยังขรุขระอยู่ เป็นช่วงเวลาที่ยังลองผิดลองถูกอาจจะแนะนำแว่นที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกใจลูกค้าไปบ้าง ซึ่งคุณเวฟเองก็พยายามแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวเองทุกเคส เพราะการขายของก็อยากจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
“ต้องการเสิร์ฟความสมบูรณ์แบบให้กับลูกค้าได้มากที่สุด”
เรื่องคุณภาพของกรอบแว่นที่ใช้หรือคุณภาพของเลนส์ที่จ่ายให้แก่ลูกค้าต้องได้มาตรฐานทุกตัว บางทีลูกค้าอายุเกือบ 40 จะมีค่าสายตาสั้นและยาวร่วมด้วย ซึ่งความเข้าใจเดิมของลูกค้าส่วนใหญ่คือต้องมีแว่น 2 ตัวสำหรับการมองใกล้และไกล แต่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้ลูกค้าไม่ต้องแยกแว่นอีกต่อไป เรียกว่าเลนส์ โปรเกรสซีฟ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ลูกค้าบางคนยังไม่เข้าใจวิธีการใช้ซึ่งค่อนข้างเป็นอุปสรรคเพราะเลนส์นี้ไม่เหมือนเลนส์ธรรมดาเลย

“ต้องอาศัยการสื่อสารกันให้มากขึ้น”
ลูกค้าหลายคนไม่เข้าใจถึงวิธีการใส่แว่นตาที่เป็นเลนส์โปรเกรสซีฟ ทำให้เมื่อรับแว่นไปแล้วจะกลับมาตำหนิที่ร้านค้าเนื่องจากไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับแว่นได้ เลนส์นี้อาจจะดูเหมือนเลนส์ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีรอยต่อและดูสวยงามเหมือนกับเลนส์ธรรมดาทั่วไป แต่สิ่งที่ต่างคือเลนส์ทั่วไปมองใกล้ไกลจะชัดหมด แต่เลนส์นี้จะมีภาพบิดเบือนด้านข้างบ้าง การมองอาจจะต้องมองตามองศาที่อยากดู ลูกค้าใส่แล้วอาจจะไม่ถูกใจในระดับที่ใช้งานได้ในทุกวันทำให้มีกลับมาตำหนิที่ร้านบ้าง ทางร้านจะแก้ไขโดยการสื่อสารกับลูกค้าให้ชัดเจนในตอนเลือกเลนส์ว่าลักษณะการใช้งานของเลนส์นี้เป็นอย่างไร และลูกค้าต้องปรับตัวอย่างไรในการใช้งาน
“แต่ละคนมีความชำนาญที่แตกต่างกัน”
ตั้งแต่ที่คุณเวฟเข้ามาทำงานตรงนี้แทนคุณแม่ คุณเวฟก็มีงานแบ่งงานหลายอย่างให้เป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้น ใครที่ทำหน้าที่ตรงไหนก็ให้รับผิดชอบงานตรงนั้นไปเลย ถ้าว่าถึงจะมาช่วยกันได้ ถ้าเปรียบเทียบกับสมัยของคุณแม่จะเป็นใครทำอะไรได้ ซึ่งกระบวนการทำงานอาจจะไม่สมบูรณ์ 100% ในการทำผลลัพธ์ให้ออกมา เพราะแต่ละคนมีความชำนาญหรือความถนัดที่แตกต่างกัน พอคุณเวฟเข้ามาทำจึงต้องทำให้ข้อมูลทั้งหมดที่เคยเป็น Manual กลายเป็นข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด นอกจากนี้ยังต้องทำในเรื่องของแพคเกจจิ้งและดีไซน์ของร้านในรูปแบบใหม่อีกด้วย
ความประทับใจ
คุณเวฟเล่าว่าร้านของคุณเวฟเริ่มจากการเป็นร้านเล็กๆที่เพิ่งขยายออกไป 4-5 สาขาใน 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงรู้สึกประทับใจที่เมื่อร้านให้ความเป็นกันเองกับลูกค้า ลูกค้าก็ให้ความเป็นกันเองกับทางร้านกลับมาเช่นกัน ซึ่งความเป็นเองนี้หมายถึงการที่ขายของและบริการทั้งหมดด้วยความสัตย์จริง เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกคน แล้วสิ่งที่ลูกค้าตอบแทนที่ร้านกลับมาก็คือการพาครอบครัวและเพื่อนมาใช้บริการที่ร้าน
“ลูกค้าส่วนใหญ่จะมีร้านประจำของเขาอยู่แล้ว ถ้าเขาเปลี่ยนใจมาร้านเราได้ มันก็จะเป็นความภูมิใจในตัวเอง”
ทำไมเลือกใช้ Essilor
คุณเวฟอธิบายว่า ที่ร้านเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Essilor ตั้งแต่ร้านเปิดเลย ซึ่งอาจจะนานกว่า 10 ปีเลยด้วยซ้ำ เลนส์ Essilor มีการการันตีเรื่องคุณภาพและการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดี สินค้ามีควาทันสมัย ยุคนี้เป็นยุคที่สายตาของคนเราติดอยู่กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา ลูกค้าอาจจะต้องการเลนส์ตัดแสงสีฟ้า แต่ความจริงคือหากเราใช้สายตามองคอมพิวเตอร์ทั้งวันไม่สามารถใช้แค่เลนส์ตัดแสงสีฟ้าได้แล้ว ถ้าใช้เลนส์นี้นานๆเมื่อเจอแสงแดดอาจจะเกิดอาการปวดตาได้ ปัจจุบันจึงมีเลนส์อีกแบบที่ลดทอนการใช้สายตาระหว่างวันได้ อย่างเลนส์ออฟฟิศที่เหมาะสำหรับคนทำงานออฟฟิศโดยเฉพาะ ซึ่งเลนส์นี้จะช่วยทำให้ไม่เกิดอาการตาล้าด้วย

ฝากถึงลูกเพจมนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
การทำงานจริงๆ แล้วไม่มีกระบวนการที่ตายตัว สิ่งที่ควรคำนึงคือการทำงานทุกวันให้มีความสุข หากจะเลือกงานสักงานให้เลือกงานที่ทำแล้วมีความสุข อย่าเพิ่งตัดสินไปก่อนว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไรทั้งที่ยังไม่ได้ลองทำ เพราะฉะนั้นเมื่อสนใจในอะไรสักอย่างให้ลงมือทำเลย ถ้าตัดสินไปก่อนเราจะไม่มีวันรู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างไร เราอาจจะพลาดสิ่งที่เราชอบไปก็ได้
“อย่าตัดสินว่าจะชอบหรือไม่ชอบอะไรจนกว่าจะได้ลงมือทำ”
ร้านแว่นตา 99 Optical ศูนย์รวมเลนส์โปรเกรสซีฟ
ที่อยู่: สาขาห้างเจเจมอลล์ จตุจักร ชั้น 1, สาขาบางซ่อน MRT บางซ่อน ประตู 4 และ สาขาบางซื่อ-บางโพ ฝั่งห้าง Gateway บางซื่อ
โทร: 095-915-3616 , 061-425-9642 และ 095-691-5244
ชีวิตชัดชัด ความท้าทายของมือใหม่ทำธุรกิจในช่วงโควิด-19 l Vision Mission
บทความแนะนำ:
คุณนิติกร บุญแปง – ชีวิตชัดชัดของอดีตเด็กช่าง สู่เจ้าของธุรกิจแว่นตา