
ถูกเลิกจ้าง แต่ให้ลาออกเอง เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหม? นายจ้างหลายคนมักจะบอกกับลูกจ้างว่า “ให้ลาออกเอง ถ้าไม่ลาออกจะถูกเลิกจ้าง เดี๋ยวจะเสียประวัติ จะไปสมัครงานที่อื่นยาก” คำพูดเช่นนี้จริงหรือไม่?
เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? มาหาคำตอบกัน อ้างอิงข้อมูลจาก เพจกฎหมายแรงงาน เกี่ยวกับ ถูกเลิกจ้าง แต่ให้ลาออกเอง มีผลต่อประวัติการทํางานจริงหรือไม่?
ต้องบอกว่าจริงครับ เพราะว่าหากเราถูกเลิกจ้างเนื่องจากกระทำผิด เช่น การละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน เราก็จะถูกเลิกจ้างและประวัติการทำงานของเราจะมีบันทึกว่าเราถูกเลิกจ้าง เมื่อเราสมัครงานใหม่ นายจ้างใหม่มักจะขอให้เรากรอกว่าเราลาออกเองหรือถูกเลิกจ้าง ถ้าเราถูกเลิกจ้างแต่ไปเขียนว่าเราลาออกเอง นายจ้างมีสิทธิ์ที่จะยกเหตุนี้มาเลิกจ้างเราได้ตามข้อกำหนดในใบสมัครงาน และในกรณีนี้ ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาในคดีที่ 3458/2531 ว่าการที่ลูกจ้างกรอกใบสมัครเป็นเท็จว่าได้ลาออกเอง ทั้งที่ถูกเลิกจ้างเพราะขาดงาน 3 วันโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นการแจ้งข้อมูลเท็จ ซึ่งนายจ้างมีสิทธิ์เลิกจ้างได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความเสียหายขึ้นเสียก่อน
ผลกระทบจากการ ถูกเลิกจ้าง
ความยากลำบากในการหางานใหม่: นายจ้างใหม่มักจะมองว่าการที่ถูกเลิกจ้างอาจเป็นสัญญาณว่าลูกจ้างมีปัญหาในการทำงาน หรืออาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม การที่ประวัติการทำงานของเรามีบันทึกว่าถูกเลิกจ้างทำให้นายจ้างใหม่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุของการเลิกจ้าง
การสูญเสียสิทธิ์ในการได้รับสวัสดิการบางประการ: การถูกเลิกจ้างอาจทำให้ลูกจ้างไม่ได้รับสิทธิประโยชน์บางประการ เช่น ประกันสังคมในบางกรณี หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือลูกจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัท อาจทำให้สูญเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน
การกระทบต่อความเชื่อมั่นในตนเอง: ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างอาจรู้สึกท้อแท้หรือสูญเสียความมั่นใจในการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานในอนาคต การถูกเลิกจ้างอาจทำให้ลูกจ้างรู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองและมีความกังวลในการหางานใหม่
การลาออกเองกับการถูกเลิกจ้าง
การลาออกเองสามารถทำให้ประวัติการทำงานของเราดูดีขึ้นในสายตาของนายจ้างใหม่ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้การลาออกนั้นเกิดจากการหลีกเลี่ยงปัญหา หากเราลาออกเพราะความไม่พอใจในงานหรือเจอปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ควรพิจารณาแก้ไขปัญหานั้น ๆ ก่อน เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำในที่ทำงานใหม่ การลาออกเองควรมีเหตุผลที่เหมาะสม เช่น การหาความก้าวหน้าในสายงาน การเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย หรือเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถทำงานในที่เดิมต่อไปได้
ขั้นตอนการลาออกเอง
- การแจ้งล่วงหน้า: ควรแจ้งลาออกล่วงหน้าตามที่กำหนดในสัญญาจ้างงานหรือกฎหมายแรงงาน เพื่อให้บริษัทมีเวลาเตรียมตัวหาคนมาแทนที่
- การเขียนใบลาออก: ควรเขียนใบลาออกอย่างเป็นทางการ โดยระบุวันที่จะลาออกและเหตุผลในการลาออก การเขียนใบลาออกอย่างชัดเจนและเป็นระเบียบช่วยให้การลาออกเป็นไปอย่างราบรื่น
- การทำงานจนวันสุดท้าย: ควรทำงานอย่างเต็มที่จนถึงวันสุดท้าย เพื่อรักษาความเป็นมืออาชีพและเพื่อให้การลาออกไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของทีม
- การส่งต่อหน้าที่: ควรเตรียมการส่งต่อหน้าที่ให้กับผู้ที่มาทำงานแทน เพื่อให้การทำงานต่อเนื่องได้อย่างราบรื่น
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
กรณีที่ถูกเลิกจ้างแม้นายจ้างมีสิทธิ์เลิกจ้างได้ แต่ยังคงต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน นอกจากนี้ การลาออกเองในบางกรณีอาจทำให้เราไม่ได้รับค่าชดเชย เช่น ในกรณีที่ลาออกโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
เพื่อให้การทำงานของเราเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาทางกฎหมาย ควรทำตามข้อกำหนดและกฎระเบียบของบริษัทอย่างเคร่งครัด และหากมีปัญหาควรปรึกษานายจ้างหรือฝ่ายบุคคลเพื่อหาทางแก้ไข
สิทธิและหน้าที่ของลูกจ้าง
- การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: ลูกจ้างควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาทางกฎหมาย
- การรายงานปัญหา: หากพบปัญหาในการทำงาน ควรรายงานให้นายจ้างหรือฝ่ายบุคคลทราบ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม
- การรักษาความซื่อสัตย์: การรักษาความซื่อสัตย์และโปร่งใสในการทำงานช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง
บทสรุป
การลาออกเองและการถูกเลิกจ้างมีผลกระทบต่อประวัติการทำงานอย่างแท้จริง การลาออกเองมักจะดูดีกว่าในสายตาของนายจ้างใหม่ แต่ต้องทำอย่างถูกต้องและมีเหตุผล การถูกเลิกจ้างสามารถสร้างความยากลำบากในการหางานใหม่ และอาจทำให้สูญเสียสิทธิประโยชน์บางประการ ดังนั้น ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทและหาทางแก้ไขปัญหาภายในองค์กรอย่างเหมาะสม เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฏหมายแรงงาน : กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สายด่วน 1506 กด 3 และ 1546
บทความแนะนำ:
เลิกจ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย มีประเด็นอะไรบ้าง? เรื่องสำคัญที่เราต้องรู้
โดนบีบให้ออก ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้มีความผิดอะไร เราควรรับมืออย่างไร?