ถ้าต้องการเงินด่วน จริงๆ มีความจำเป็นต้องใช้เงินขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผล หรือ ด้วยความจำเป็นใดๆ ก็ตาม เราจะไปหาเงิน หรือ ไปกู้เงินมาจากที่ไหน?
ปัญหาเรื่องการเงินที่ถึงขนาดต้องหายืม หรือ หากู้ ล้วนเป็นผลมาจากการขาดสภาพคล่องทางการเงินนั่นเอง จุดเริ่มต้นมาจาก เราอาจจะไม่มีเงินเก็บ หรือ มีก็อาจจะไม่เพียงพอ อาจจะรวมไปถึงพฤติกรรมการใช้เงินแบบผิดๆ ด้วยเช่นกัน
แต่บางครั้ง สาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องกู้หนี้ยืมสิน ก็มาจากปัญหาที่เกิดจากความจำเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ก่อเกิดมาจากสมาชิกในครอบครัว ปัญหาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแบบไม่ได้วางแผนเอาไว้ เช่น ด้านค่ารักษาพยาบาล ลูกจะเข้าโรงเรียนก็ต้องใช้เงิน ลูกจะคลอดก็ต้องใช้เงิน เป็นต้น
ด้วยปัญหาด้านการเงินเหล่านี้ ทำให้คนทำงานที่ขาดสภาพคล่อง จำเป็นต้องหาตัวช่วย
ถ้าต้องการเงินด่วน ด้วยการ อยากกู้เงิน อยากเป็นหนี้ เดี๋ยวนี้ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะมีทางเลือกให้กับคนทำงานหลายช่องทาง แต่ขอแบ่งเป็น 2 หมวดหลักๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ดังต่อไปนี้
กลุ่มแรก คือ การกู้เงินที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน :
เช่น บัตรกดเงินสด สินเชื่อบัตรเครดิตต่างๆ หรือ สินเชื่อสำหรับลูกหนี้รายย่อยที่นำเสนอโดยธนาคารต่างๆ
การกู้เงินในแบบที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แบบนี้ ระยะเวลาในการอนุมัติก็ถือว่าเร็ว (ขึ้นอยู่กับวงเงินกู้) ด้วยความรวดเร็วในการได้เงิน ก็ต้องแลกมาด้วยดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงมากเช่นกัน (บางรายสูงถึง 28% ต่อปีเลย)
กลุ่มที่สอง คือ การกู้เงินที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน :
เช่น ถ้าเรามีที่ดิน มีบ้าน มีคอนโด เอามาค้ำประกันเงินกู้ หากใช้หลักทรัพย์ประเภทนี้ ถ้าหากเราต้องการใช้เงินด่วนใช้จริงๆ ทางเลือกนี้ไม่เหมาะ เพราะกระบวนการยื่นกู้ ใช้เวลานานกว่าจะได้เงินอาจจะหลายเดือน เพราะธนาคารจะต้องทำการประเมินหลักทรัพย์และประเมินรายได้ของเราว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้ได้หรือไม่
หรือ ถ้าหาก เรามีรถยนต์ หรือ จักรยานยนต์ก็สามารถนำทะเบียนมาจำนำได้เช่นกัน ส่วนของการจำนำทะเบียนทั้รถยนต์ หรือ จักรยานยนต์ ก็ถือว่าได้เงินรวดเร็เช่นกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าดอกเบี้ยก็ต้องจ่าย โดยดอกเบี้ยต่อปี ก็ประมาณ 15%
ดังนั้น หลักการง่ายๆ ของการหาแหล่งเงินกู้สำหรับคนทำงาน ก็คือ ต้องดูเรื่องดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายหลังจากกู้ด้วย เพราะดอกเบี้ยคือภาระทางการเงินของเราในอนาคต
ถ้าอยากได้เงินไวมากๆ และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดอกเบี้ยเงินกู้จะแพงมาก (เพดานดอกเบี้ย 28%) แต่ดอกเบี้ยเงินกู้จะถูก หากการกู้นั้นมีหลักทรัพย์คำ้ประกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของหลักทรัพย์ ที่มาใช้ค้ำประกันด้วย (เช่น จำนำรถยนต์ หรือ จักรยานยนต์ เพดานดอกเบี้ย 15%)
แล้ว คนทำงานอย่างเรายังมี Option อื่นๆ ให้เลือกอีกไหม?
ถ้าต้องการเงินด่วน แต่ก็ด้วยปัญหาที่มีหลายคนไม่สามารถหาได้ คือ การที่คนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารได้ อาจจะด้วยเพราะเครดิตไม่ดี หรือ อาจจะเพราะมีคุณสมบัติบางอย่างไม่เข้าเงื่อนไขการได้รับสินเชื่อ ทำให้ต้องหันไปพึ่งพาทางเลือกอื่นๆ โดยมากทางเลือกแรกก็คือ ยืมจากเพื่อนๆ หรือ คนใกล้ชิด
เพราะคิดว่า ยีมเงินเพื่อนก็แล้วกัน ดอกเบี้ยไม่ต้องเสียด้วย ใช่มันก็จริงหากเพื่อนมีเงินให้เรายืมได้ แต่เขาจะให้เรายืมได้หลายๆ ครั้งไหม? แล้วจะให้เราตามยอดที่เราต้องการหรือเปล่า? มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับความหวังที่จะยืมเพื่อน หลายคนเสียเพื่อนมาก็เพราะเรื่องยืมเงินก็เยอะ (บางที่เพื่อนก็กะจะขอยืมจากเราเหมือนกัน)
หนักไปกว่านั้น ก็ไปเอาเงิน จากเงินกู้นอกระบบ เรื่องนี้อาการหนักทำให้ยิ่งกู้ ยิ่งแย่ เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดซะที ดังนั้นทางเลือกนี้ ตัดทิ้งไปเลยครับ
Peer-to-Peer Lending ทางเลือกของการกู้เงินของคนทำงาน ไม่ต้องพึ่งพาธนาคาร
แต่เดิมหรือในปัจจุบัน ธนาคารเป็นตัวกลางโดยมีการรับฝากเงินโดยให้ดอกเบี้ยถูกมาก แล้วนำเงินฝากเหล่านั้นไปปล่อยเงินกู้โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงมากขึ้น โดยธนาคารจะได้กำไร จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก
Peer-to-Peer Lending ก็คือ การกู้เงินระหว่างบุคคล โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร โดยมี Peer-to-Peer Lending Platform มารองรับ ทำให้การกู้เงินไม่ได้จำกัดแค่เพื่อน หรือ คนใกล้ชิดของเราเท่านั้น แต่เป็นใครก็ได้ และไม่จำเป็นต้องรู้จักมาก่อนได้ด้วย
Peer-to-Peer Lending Platform เป็นอย่างไร?
โดยนิยามของธนาคารแห่งประเทศไทย คือ ผู้ให้บริการระบบ หรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นตัวกลางสนับสนุนการก่อให้เกิดการกู้ยืมระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ โดยจับคู่ระหว่างผู้ที่ต้องการกู้เงินและผู้ที่ต้องการให้กู้ รวมถึงอำนวยความสะดวกในการทำสัญญาสินเชื่อ การนำส่งและจ่ายคืนเงินกู้ และการติดตามหนี้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของผู้กู้ และเพิ่มทางเลือกในการลงทุน
ซึ่งตอนนี้ผู้ให้บริการระบบ Peer-to-Peer Lending Platform ที่ทำการทดสอบกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย และได้รับอนุญาตเปิดบริการก็มีอยู่ 3 ราย คือ บริษัท ดีพสปาร์คส์ เพียร์ เลนดิ้ง จำกัด, บริษัท เนสท์ติฟลาย จำกัด และ บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ แพลตฟอร์ม จำกัด
ประโยชน์ของ Peer-to-Peer Lending Platform มีสองด้าน คือ
- ด้านแรก ผู้กู้เงิน มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกและไวมากขึ้น เพราะหลายๆ แห่งที่ให้บริการ สามารถรู้ผลได้ภายใน 1 วัน เป็นต้น
- ด้านที่สอง ผู้ให้กู้ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนอยากหาเงินกู้ แต่ก็มีคนอยากให้กู้เหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าหากไปปล่อยกู้เอง อาจจะไม่ได้ดอกเบี้ย หรือ ไม่ได้เงินต้นคืน ดังนั้น การมาของ Peer-to-Peer Lending Platform จึงเป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ให้กู้ ที่มีเงินเย็น อยากให้เงินของตนเองมีผลตอบแทนงอกเงยมากกว่าการเอาไปฝากประจำ
Share Loan อีกหนึ่ง Peer-to-Peer Lending Platform จาก เนสท์ติฟลาย (NestiFly)
ทำไมถึงเรียกว่า “Share Loan” ก็เพราะเป็นการกู้เงินโดยเอาหุ้น SET100 เป็นหลักประกันนั่นเอง
หลักการง่ายๆ คือ คนอยากได้เงิน หรือ ผู้กู้ ก็ต้องนำหุ้นของตนเองที่อยู่ใน SET100 มาเป็นตัวค้ำประกัน ส่วนคนที่มีเงินเหลือ อยากปล่อยกู้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าให้เงินไปแล้วจะมีปัญหา เพราะผู้กู้มีการเอาหุ้นมาค้ำประกัน โดยธุรกรรมทั้งหมดผ่าน Platform ซึ่งผู้กู้ และผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันเลย
สินเชื่อเงินกู้ของ เนสท์ติฟลาย (NestiFly) เหมาะกับใครบ้าง?
- อันดับแรกที่สำคัญ คนที่อยากกู้ ต้องมีหุ้นใน SET100 หรือ เพื่อนำเป็นหุ้นหลักประกัน ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มหุ้นธนาคาร (BBL, KTB, SCB เป็นต้น) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, DTAC, TRUE เป็นต้น) กลุ่มพลังงาน (BGRIM, EGCO, GULF เป็นต้น) กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก และ อื่นๆ
- มนุษย์เงินเดือน หรือ คนทำงาน : จากข้อมูลล่าสุด อ้างอิงข้อมูลสถิติทางธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวนของนักลงทุนที่เปิดบัญชีในตลาดหลักทรัพย์มีถึง 3.3 ล้านบัญชี ซึ่งพบว่าสัดส่วนของคนทำงาน หรือ มนุษย์เงินเดือนมีสัดส่วนสูงมาก สืบเนื่องจากความสนใจในการลงทุน และ ตลาดหุ้นเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงและน่าสนใจ ดังนั้น หาก มนุษย์เงินเดือน หรือ คนทำงาน ที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่แล้ว และ มีหุ้นอยู่ใน SET100 หากว่า จำเป็นต้องการเงินก้อนสำหรับการใช้จ่ายฉุกเฉิน ก็สามารถใช้บริการนี้ได้
- เจ้าของกิจการ : ที่มีสัดส่วนของการออมและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และ มีหุ้นอยู่ใน SET100 หากว่า จำเป็นต้องการเงินทุนสำหรับการเริ่มต้นหรือต่อยอดธุรกิจ หรือ ต้องการสภาพคล่องในเงินทุนหมุนเวียน ก็สามารถใช้บริการนี้ได้เช่นกัน
ถ้ากู้กับ เนสท์ติฟลาย (NestiFly) เขาคิดดอกเบี้ยเท่าไร?
ระยะเวลาของการกู้ ของ เนสท์ติฟลาย จะเป็นระยะสั้น คือ 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยภาระของผู้กู้ จะประกอบไปด้วย ดอกเบี้ยเงินกู้ และ ค่าธรรมเนียม โดยดูจากหลักทรัพย์ หรือ หุ้นที่เราเอามาค้ำประกันด้วย
โดยทาง เนสท์ติฟลาย จะใช้หลักการ LTV (Loan to Value) ซึ่งหมายถึง อัตราส่วนการให้สินเชื่อเงินกู้โดยเทียบกับมูลค่าของหุ้นที่เอามาค้ำประกัน เขามีตั้งแต่ 50%, 40% และ 30% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของหุ้นที่เอามาค้ำประกัน
ขอยกตัวอย่าง
คนทำงาน คนที่ 1 ต้องการกู้เงิน เพื่อไปใช้จ่ายฉุกเฉิน เขามีหุ้น SCGP (SCG Packaging) อยู่ 20,000 หุ้น ราคา ณ วันที่ขอกู้ 39.50 บาทต่อหุ้น นั่นหมายความว่า มูลค่าหุ้นทั้งหมด คือ 790,000 บาท
SCGP อยู่ใน SET 100 และ ทาง เนสท์ติฟลาย เขาให้ LTV กับหุ้นตัวนี้ สูงสุด คือ 50% นั่นหมายความว่า หากเขาเอาหุ้นทั้งหมดของ SCGP มาเป็นตัวค้ำประกัน เขาจะได้เงินกู้ เท่ากับ 50% x 790,000 = 395,000 บาท นั่นเอง
เขามี Option คือ จะกู้เงิน 30% หรือ 40% หรือ 50% ของวงเงินก่อนนี้ เพราะอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างกัน เช่น
หากเขาเลือกเอาเต็มเพดาน คือ LTV 50% 395,000 บาท ภาระของการกู้ครั้งนี้ คือ 5.75% (ดอกเบี้ย* 3.75% + ค่าธรรมเนียม 2%) สำหรับการกู้ในระยะเวลา 3 เดือน หรือ 6% (ดอกเบี้ย* 4% + ค่าธรรมเนียม 2%) สำหรับการกู้ในระยะเวลา 6 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ย เป็นต่อปี
คนทำงานอีกคน คนที่ 2 เขามีเงินออมเหลือ แต่ไม่อยากนำไปฝากธนาคารเพราะผลตอบแทนต่ำมาก เขาจึงเลือกมาปล่อยเงินกู้ใน เนสท์ติฟลาย และ ระบบของ เนสท์ติฟลาย จับคู่เงินของเขาให้กับ คนทำงาน คนที่ 1 เขาก็จะได้ ผลตอบแทน 3.75% สำหรับการกู้ในระยะเวลา 3 เดือน และ ผลตอบแทน 4% สำหรับการกู้ในระยะเวลา 6 เดือน
ดูเพิ่มเติม ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนการลงทุนของ เนสท์ติฟลาย (NestiFly)
ประโยชน์ ของการใช้ “Share Loan” ของ เนสท์ติฟลาย (NestiFly)
ลองนึกถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ หากเรามีหุ้น แล้วตอนนี้ตลาดหุ้นไม่ดี แต่เราต้องรีบใช้เงินฉุกเฉิน เราก็จำเป็นต้องขายหุ้นออกมาถึงแม้ว่าต้องขาดทุนก็ตาม เพื่อจะต้องเปลี่ยนเป็นเงินเอามาใช้ แล้วพอเวลาผ่านไป หุ้นกลับดีดตัวขึ้นมามีกำไร เราก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีหุ้นตัวนั้นในมือแล้ว
ในทางกลับกัน หากเราต้องการเงินด่วน เราเอาหุ้นตัวเดียวกัน มาค้ำประกันเงินกู้กับ เนสท์ติฟลาย ถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้นของเราจะขาดทุนอยู่ เราก็ยังสามารถกู้ได้ แต่หุ้นตัวนี้จะทำการซื้อขายไม่ได้ในระหว่างที่เราเอาไปค้ำประกันเงินกู้ ข้อดี คือ หุ้นเรายังอยู่ หากมีปันผลจากหุ้นตัวนี้ เราก็ยังได้ หมายความว่าได้ทั้งเงินกู้ และ หุ้นของเราก็ยังอยู่
นี่ถือเป็น แพลตฟอร์มออนไลน์ Peer-to-Peer Lending ที่เปิดโอกาสให้ผู้กู้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ให้ผู้ให้กู้อีกด้วย เพื่อสร้างโอกาสทางการเงินและสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม
เรื่องของความปลอดภัย มีอะไรน่าห่วงไหม?
ทาง เนสท์ติฟลาย มีเทคโนโลยี Blockchain และ รักษาสินทรัพย์และดูแลรายการโอนเงินทั้งหมดโดยบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ พร้อมระบบเฝ้าติดตามมูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วย
บทสรุป
การวางแผนการเงิน ยังคงเป็นเรื่องสำคัญเสมอ หากเรามีการออมเพื่อการลงทุนในตลาดทุนเอาไว้บ้าง ถ้าต้องการเงินด่วน เนื่องจากประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินจริงๆ หุ้นดีๆ ที่เราได้ทะยอยสะสมเอาไว้ ก็สามารถนำมาเป็นหลักประกันในการค้ำประกันเงินกู้ได้ และที่สำคัญ การนำหุ้นมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เรายังได้อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการกู้ ถูกกว่าการไปกู้เงินจาก บัตรกดเงินสด สินเชื่อบัตรเครดิตต่างๆ หรือ การจำนำทะเบียนรถเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องพิจารณา วางแผน และดูทางเลือกอื่นๆ เอาไว้ด้วย เพราะการกู้เงิน ไม่ใ่จะเลือกแค่ว่าจะเอาเงินง่ายๆ เยอะๆ หรือ ไวๆ ขอให้คิดถึงภาระในอนาคตที่จะต้องผ่อนชำระ และ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายด้วย
เพราะ หนี้ เมื่อเป็นแล้ว ภาระความรับผิดชอบในการหารายได้ เพื่อมาใช้หนี้ เป็นเรื่องที่ต้องคิดต่อไปด้วย
Source:
https://www.set.or.th/th/market/securities_company_statistics63.html
https://www.bot.or.th/Thai/PaymentSystems/FinTech/Pages/P2PLendingSandbox.aspx
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ การบริหารการเงินส่วนบุคคล สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
งบการเงินส่วนบุคคล บอกเราได้ว่าเรามีนิสัยในเรื่องการเงินเป็นอย่างไร?
การบริหารการเงินส่วนบุคคล เป็นทักษะที่สำคัญมาก แต่โรงเรียนกลับไม่ได้สอน