ทัศนคติลบ เกิดขึ้นได้กับเราทุกคน แต่ใครที่มีมาก ก็จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาความสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว หลายๆ ครั้ง เราเองก็ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะรักษาความสัมพันธ์นั้นเอาไว้ แต่ยิ่งเราพยายามมากเท่าไหร่ กลับย่ิงทำให้ความสัมพันธ์นั้นแย่ลง
เรื่องนี้เกิดจากความพยายามที่มากเกินไป หรือ เกิดจากการพยายามที่ไม่ตรงจุด ที่มาจากทัศนคติลบ ?
เราลองมาดูเรื่องราวชีวิตจริงของแม่ลูกคู่นึง เธอซื่อว่า ซาร่า เธอเป็น Single Mom (คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว) กับลูกสาววัย 16 ปี สามีของซาร่าได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ (เมาแล้วขับ) ตั้งแต่ลูกสาวของเธออายุยังไม่ถึง 1 ขวบด้วยซ้ำ
ทำให้ซาร่า ต้องทำงานอย่างหนัก เพราะต้องการเงิน และต้องการความก้าวหน้า เพราะเธอเชื่อว่านี่คือหนทางที่จะหาเงินมาเลี้ยงลูก และ สามารถส่งเสียลูกให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีๆ ต่อไปในอนาคตได้
ผลจากที่ซาร่าต้องทำงานหนัก ทำให้เธอจึงตัดสินใจ ส่งลูกสาวของเธอไปอาศัยอยู่กับยายที่ต่างเมืองตั้งแต่อายุไม่ถึง 2 ขวบ ทำให้ซาร่ามีโอกาสได้เจอลูกก็เฉพาะช่วงวันหยุดเทศกาลเท่านั้น
14 ปี ผ่านไป จนกระทั่งลูกสาวอายุ 16 ปี ซาร่าเห็นว่าลูกของเธอโตพอและน่าจะดูแลตัวเองได้ที่ระดับนึงแล้ว จึงตัดสินใจให้ลูกย้ายมาอยู่กับเธออีกครั้ง โดยครั้งนี้ ซาร่าหวังว่า เธอและลูกสาวจะได้มีความสุขร่วมกันตามประสาแม่และลูกอีกครั้ง
แต่เอาเข้าจริง มันไมได้เป็นอย่างนั้นเลย ลูกสาวของซาร่า หลังจากที่ย้ายมาอยู่กับเธอ ก็มีพฤติกรรมชอบเก็บตัว ชอบอยู่คนเดียว เจกกันก็จะเป็นการถามคำตอบคำ พยายามหลบหน้าเธอ จนซาร่าต้องเรียกมาสอบถามอยู่หลายๆ ครั้ง ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากลูกสาวของเธอ
ด้วยปัญหาดังกล่าว ทำให้ซาร่ามองว่า (คิดว่า) ลูกของเธอคงต้องไปทำอะไรไม่ดี หรือ ทำอะไรผิดมาแน่ๆ เลย จึงไม่อยากให้เธอรู้ และพยายามหลบหน้าเธอ
ผลการเรียนของลูกสาวเธอก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนครูประจำชั้นต้องเรียกซาร่าไปพบ และแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้นของลูกสาวของเธอ ครูบอกว่า ลูกของเธอไม่ค่อยส่งการบ้าน และหนีเรียนอยู่หลายๆ ครั้ง ทำให้ผลการเรียนตกต่ำ
ซาร่าเมื่อทราบเรื่องนี้ ก็โมโหมากและไม่พอใจลูกสาวของเธอเป็นอย่างมาก หลังจากถึงบ้าน เธอจึงเรียกลูกสาวมาอบรม ซ่าร่าเปิดประเด็นด้วยการว่าลูกของเธอว่า “ทำไมไม่สนใจหรือใส่ใจเรื่องการเรียน แม่อุตสาห์ส่งเสียให้เรียนที่ดีๆ แต่กลับไม่ใส่ใจ ทำตัวไร้สาระ”
“แม่ ฟังหนูอธิบายก่อน” ลูกสาวพูดกลับมา แต่ยังไม่ทันจะพูดต่อ ซาร่าก็พูดตัดบทไปด้วยความโมโหว่า
“เรียนได้แค่นี้ สติปัญญาคงมีแค่นี้ใช่ไหม ถ้าทำได้แค่นี้ก็อย่าเรียนมันเลย ฉันทำงานหาเงินแทบตาย เพื่อให้เธอได้เรียน แต่ดูเธอทำสิ ไม่ได้เรื่องจริงๆ” ลูกสาวเมื่อได้ยินก็ร่ำไห้ วิ่งหนีขึ้นเข้าห้องนอนไป
หลังจากเรื่องนั้นไม่นาน ลูกสาวของเธอก็กลับบ้านดึกขึ้นเรื่อยๆ หรือ บางวันก็หนีไปนอนค้างบ้านเพื่อน คราวละ 2-3 วัน เมื่อซาร่า เจอกับเรื่องเหล่านี้ถี่ขึ้น ก็อดไม่ได้ จึงต้องเรียกลูกสาวของเธอมาตักเตือน (มาด่า) และ ครั้งล่าสุดนี้เกิดการทะเลาะกันใหญ่โต
ซาร่า พูดกับลูกด้วยความโกรธ มองว่า (คิดว่า) ลูกสาวของเธอไร้ความรับผิดชอบ ขี้เกียจ ไม่สนใจเรียน เอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีความอดทนเหมือนเธอ ไม่มีความตั้งใจเรียน หรือเอาดีในเรื่องเรียนเหมือนกับลูกคนอื่น และ ยังบอกอีกว่า จะไม่ให้ลูกสาวของเธอเรียนอีกต่อไปแล้ว จะส่งกลับไปอยู่กับยายที่ต่างเมืองแทน
ลูกสาวเมื่อได้ยินก็ออกอาการประชดประชัน แล้วก็บอกกับแม่ของเธอว่า “หนูไม่รักแม่ หนูจะไม่อยู่กับแม่อีกต่อไปแล้ว” หลังจากเธอพูดจบ เธอก็วิ่งหนีออกจากบ้านไป
หลังจากที่ลูกออกจากบ้านไปแล้ว ซาร่าก็บ่นพึมพำกับตนเองว่า ฉันพยายามทุกอย่าง ขยัน ทำงานหนัก เพื่อที่จะได้มีเงินมาส่งเสียลูกได้เรียนหนังสือ เพื่อที่จะให้ลูกได้มีชีวิตที่ดี ฉันพยายามที่จะเป็นแม่ที่ดีที่สุดแล้ว แต่นี่คืออะไร ทำไมลูกคนเดียวของฉันถึงไม่เอาไหนแบบนี้
3 วันผ่านไป ที่ลูกสาวของเธอไม่กลับบ้าน และก็ไม่ได้ไปโรงเรียน ซาร่าพยายามติดต่อหาเพื่อนๆ ของลูกสาวของเธอ เพื่อสอบถามว่าลูกของเธออยู่ไหน ปรากฏว่าไม่มีใครทราบ เธอตัดสินใจแจ้งตำรวจเพื่อช่วยค้นหา
ซาร่ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก “รึว่าเป็นเพราะฉันเอง ที่ทำให้ลูกสาวเป็นแบบนี้”
เธอพยายามคิดเพื่อหาคำตอบ และ เธอก็ได้แต่หวังว่าขอให้ได้เจอลูกสาว ขอให้ลูกของเธอปลอดภัย เธออยากจะขอแก้ไขเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ตำรวจใช้เวลาค้นหาราวๆ 2 วัน ก็เจอลูกสาวของเธอ ในโกดังร้างชานเมือง ซึ่งเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกติดยาเสพติด สภาพลูกสาวของเธออยู่ในอาการเมายา
ซาร่าดีใจ ที่เจอลูกสาวของเธอแล้ว แต่หลังจากนี้ เธอจะรับมือกับเรื่องลูกสาวของเธอต่อไปอย่างไร?
ลูกสาวของเธอต้องเข้ารับการพักฟื้นและการบำบัดที่โรงพยาบาล ซาร่าตัดสินใจลางาน เพื่อที่จะมาอยู่ดูแลใกล้ชิดลูกของตลอดช่วงเวลาที่รักษาที่โรงพยาบาล
ในระหว่างวันที่ลูกสาวของเธอหลับ เธอก็ยังครุ่นคิดว่าจะหาทางแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?
แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่า ที่ทำงานของเธอ ได้ซื้อหนังสือเล่มนึงมาแจกให้พนักงานอ่านในช่วงปีใหม่ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า The Outward Mindset “seeing beyond ourselves” พอดีเธอติดหนังสือมาด้วย เธอคิดว่าเธออาจจะได้คำตอบบางอย่างจากหนังสือเล่มนี้ก็ได้ เธอตัดสินใจเปิดใจและลองอ่านดู
และก็พบว่า
“เวลา ความสัมพันธ์ และความเชื่อใจ คือ สิ่งสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์”
ซาร่า หวนกลับมาทบทวนเรื่องที่ผ่านมา “รึว่าฉันไม่เคยให้เวลากับลูกเลย ฉันแทบไม่เคยมีเวลาดีๆ ให้กับลูกเลย เพราะกว่าฉันจะกลับถึงบ้านก็ค่ำแล้ว ฉันมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องงาน จนลืมไปว่าลูกอยู่ที่บ้าน”
“รึว่าฉันไม่เคยฟังลูกเลย ฉันไม่เคยแม้กระทั่งจะเปิดโอกาสให้ลูกได้พูด หรือ ได้เล่าในสิ่งที่เขาอยากจะบอกให้ฉันฟังเลย” สิ่งเหล่านี้ อาจจะเป็นส่วนนึงของปัญหา ที่ทำให้ลูกไม่เชื่อใจฉัน และฉันเองก็ไม่เชื่อใจลูก เพราะเขาเองก็ไม่บอกอะไรฉันเลย (ก็พราะเขาไม่มีโอกาสพูด เลยทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่)
“ฉันผิด ที่ฉันละเลย และไม่เคยแม้กระทั่งใส่ใจความรู้สึก หรือความต้องการของเขาเลย และ ฉันก็ผิดเอง ที่เอาแต่หาเหตุผลสารพัด เพื่อมาสนับสนุนตัวฉันเองว่า ฉันเป็นแม่ที่ดี ฉันเหนื่อย หาเงินเงินเพื่อครอบครัว สาเหตุที่ลูกไม่ดี ไม่ใช่เกิดเพราะฉัน มันเป็นเพราะตัวเขาเอง ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ต้นเหตุมาจากฉันที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้”
เมื่อต่างคน ต่างไม่ฟังกัน ก็จะไม่รู้ว่าต่างคนต่างต้องการอะไร พอไม่รู้ไม่เข้าใจ ต่างคนก็แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีออกมา ยิ่งพฤติกรรมไม่ดีของฉันออกมามากเท่าไหร่ ลูกก็ยิ่งจะตอบโต้ด้วยพฤติกรรมที่แย่ๆ มากขึ้นเท่านั้น
จุดเริ่มต้นของการไม่ฟัง และ ไม่ได้คุยกัน ซึ่งเกิดจาก ทัศนคติลบ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันและลูกแย่ลงเรื่อยๆ ถึงแม้เราจะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม
ดังนั้นถ้าฉันไม่ทำอะไรในตอนนี้ ฉันอาจจะต้องเสียลูกสาวของฉันไปตลอดชีวิตก็ได้
ฉันคงต้องปรับที่ตัวเองก่อน เพราะจุดเริ่มต้นมันมาจากฉันเอง เพราะฉันได้พิสูจน์แล้วว่า การจะไปแก้ที่ลูกสาวของฉันมันไม่มีทางสำเร็จ (ยิ่งแก้ที่เขา ผลลัพธ์ออกมายิ่งแย่)
คงต้องเริ่มต้นเปิดใจรับฟังแบบจริงจัง เพื่อทำความเข้าใจเขาให้มากขึ้นจริงๆ เพราะถ้าได้ฟังและเข้าใจแล้ว ฉันก็จะได้ปรับวิธีการและความพยายามของฉันให้เป็นประโยชน์ต่อลูกสาวของฉันได้ง่ายขึ้น
จากนั้นก็หาแนวทางวัดผล ประเมินผลร่วมกันกับลูกสาวของเธอ
เธอใช้เวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาล ทำตามที่เธอว่าเอาไว้จริงๆ เธอขอโทษลูกสาวของเธอ และ ได้ทำการปรับความเข้าใจกัน เริ่มต้นกับความสัมพันธ์คร้งใหม่ ที่เน้นเอาลูกเป็นศูนย์กลางอีกครั้ง
“แม่หนูขอโทษ หนูรักแม่มาก” ตอนนี้ ซาร่าเธอได้ลูกสาวคนเดียวของเธอ กลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง เธอรู้สึกได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ลูกส่งผ่านการกอดของเธอ “ลูกรัก แม่ก็ขอโทษเช่นกัน แม่ก็รักลูกมากที่สุด”
เรื่องราวของซาร่า จะเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ที่เปราะบางของครอบครัว และ ชี้ให้เห็นถึงผลเสียที่จะตามมา ซึ่งมันไม่คุ้มเอาซะเลย ถ้าเราเป็นต้นเหตุ และปล่อยให้เกิดเหตุการคล้ายๆ แบบนั้น
หลังจากที่ผมได้ฟังเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวของผมขึ้นมาทันที
ผมเติบโตในครอบครัวที่ขาดพ่อตั้งแต่ยังเล็ก แม่ก็ต้องทำงาน ผมและพี่น้องเติบโตมากันเองโดยไม่ได้ ไม่เวลา หรือ มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นแบบครอบครัวอื่นๆ เลย ในอดีต มุมมองแบบคิดเข้าข้างตนเอง ในแบบ Inward Mindset เกิดขึ้นบ่อยๆ กับผม เพราะผมมองว่า ผมโชคไม่ดี พ่อเสียแต่เด็ก แม่ไม่มีเวลาดูแล (หาว่าแม่ผิด แต่จริงๆ แล้วแม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูพวกเรา) เลยทำให้ในวัยเด็กผมเกเรมาก ไม่สนใจเรียนเท่าที่ควร หาเรื่องให้ที่บ้านเดือดร้อนก็บ่อยๆ
ดีนะ ที่พอโตมา ก็เข้าใจมากขึ้นว่าพฤติกรรมต่อต้าน หรือ กล่าวโทษคนอื่นมันเป็นผลมาจากการที่เรา กำลังหลอกตัวเอง (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Self-Deception) อาการหลอกตัวเอง ก็คือ การที่เราพยายาม ปฏิเสธว่าตัวเราเองมีปัญหา ด้วยการมองสิ่งรอบๆ ตัวบิดเบือนไป และ พยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตนเอง หรือ อะไรก็ตามมาเป็นปัญหาแทน หรือ ไปกล่าวโทษสิ่งอื่นแทน ในกรณีนี้ คือ โทษพ่อ หรือ โทษแม่ เป็นต้น ซึ่งการคิดแบบนี้ มันก็เท่ากับเป็นการทำลายตนเองแท้ๆ และยังทำลายความรักและความรู้สึกดีๆ ของคนในครอบครัวอีกด้วย
ดังนั้น เรื่องของ Outward Mindset จึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราอยากจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว หรือ คนรอบข้าง เราก็ควรจะต้องใช้ชีวิตโดยลดการให้ความสำคัญกับตัวเองลง โดยการเพิ่มน้ำหนักในการให้ความสำคัญกับคนอื่นๆ ให้มากขึ้น ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ ปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวก็จะลดลง ครอบครัวก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมากขึ้น
เราสามารถรเริ่มได้ตั้งแต่ตอนนี้ ลองหาเวลามาทบทวนถึงเรื่องปัญหาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวดูนะครับ เผื่อว่าจะได้เจอกับต้นตอของปัญหา และ จะได้หาแนวทางวิธีการที่ดีในการกระชับความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวได้
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Outward Mindset สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
ทัศนคติเป็นลบต่อคนอื่น ต่อให้เป็นคนเก่งแค่ไหน แต่ก็คงไม่มีใครเอา
Source:
https://arbingerinstitute.com/Landing/TheOutwardMindset.html