
เรียนรู้จากประสบการณ์ โดยเฉพาะผ่านประสบการณ์ของเราเองไม่ว่าจะเป็นการลงมือทำ หรือ เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ล้วนเป็นผลดีในแง่ของการได้รับความรู้ และ ยังส่งผลถึงในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของชีวิตของเราเองได้ด้วย
การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ภายใน
เส้นทางชีวิตของ คุณวิลิต เตชะไพบูลย์ ควรจะเป็นอีกแบบหนึ่ง เพราะหลังจากจบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาได้เข้าไปสานต่อธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ของครอบครัว แต่หลังจากทำงานไปได้ราว 10 ปี เขาค้นพบว่านั่นไม่ใช่วิถีชีวิตในแบบที่เขาต้องการ วิลิตจึงตัดสินใจหันหลังให้กับชีวิตนักธุรกิจ และไปเริ่มต้นชีวิตในแบบที่เขาต้องการอย่างแท้จริงด้วยการทำเกษตรอินทรีย์ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกับทำธุรกิจเพื่อสังคมโดยมุ่งหวังว่าจะหาหนทางที่จะทำธุรกิจที่ไม่ได้มีเป้าหมายในการทำกำไรสูงสุด แต่มุ่งเน้นการทำธุรกิจที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและอยู่ร่วมกันได้กับสังคมอย่างราบรื่น หนทางที่วิลิตเลือกเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้อีกหลายต่อหลายอย่าง รวมถึงการเรียนรู้ที่ตระหนักว่าความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นมิได้เริ่มต้นที่ใครอื่นนอกจากตัวเองเท่านั้น
โลกใบเก่า โลกใบใหม่
“ผมทำงานกับที่บ้านจนอายุได้ 33 ปี ตอนนั้นราวปี พ.ศ.2538 คิดว่าเราพอดีกว่า ผมจึงค่อยๆ เกริ่นกับคุณพ่อคุณแม่ว่าผมคงไม่ใช่นักธุรกิจ ผมอยากจะออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยากไปทำเกษตร ไปทำนา ท่านก็อนุญาตเพราะคิดว่าผมคงไปทำแค่ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น แต่ผมก็หายไปหลายปีเลย” วิลิตกล่าวถึงสิ่งที่เขาผ่านมา และเสริมว่าการไปเริ่มต้นเป็นเกษตรกรด้วยการทำไร่น่าสวนผสมแบบไร้สารเคมีของเขานั้นแตกต่างจากวิถีชีวิตนักธุรกิจอย่างมาก เขาไปใช้ชีวิตแบบนอนกลางดินกินกลางทราย รวมถึงไม่มีไฟฟ้าใช้ในการดำเนินชีวิตแบบสะดวกสบาย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับเขา เพราะแม้วิลิตจะเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่ แต่ความสนใจดั้งเดิมของเขานั้นผสมสผานกันระหว่างการศึกษาปฏิบัติทางพระพุทศาสนาและการลงพื้นที่ศึกษาภาคการเกษตรมาอย่างต่อเนื่องทำให้เขาคุ้นชินกับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ไม่สะดวกสบายเช่นนี้อยู่แล้ว
“ที่จริงนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องอยู่แบบจุดตะเกียงเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้นะครับ เพราะว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่ผมเรียนจบ ผมได้ไปบวชอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งที่วัดก็ไม่มีไฟฟ้าอยู่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมได้ใช้ชีวิตแบบพระป่า ตอนเช้าบิณฑบาต กลางวันทำสมาธิ ตอนเย็นกวาดลานวัด ขนน้ำไปเข้าห้องน้ำ ได้เห็นวิถีชีวิตที่เป็นแบบอย่าง” วิลิตเล่าถึงหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่ผ่านมาของเขา
เกษตรเพื่อการเรียนรู้
ช่วงเวลาที่วิลิตได้ลงไปบุกเบิกการทำเกษตรเป็นช่วงเวลาที่เขาได้เรียนรู้จากการได้เข้าไปเห็นปัญหาของเกษตรกรอย่างแท้จริง เขาได้เห็นวิถีของเกษตรกรที่ต้องใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง และปัญหาการกู้หนี้ยืมสินที่ไม่มีวันจบสิ้น
“การได้ไปสัมผัสกับชาวบ้านทำให้ผมพบว่าลมหายใจของเกษตรกรไม่ได้มาจากการขายผลผลิต แต่ลมหายใจที่แท้จริงคือวงจรเงินกู้ เกษตรกรต้องไปกู้ธนาคารเพื่อมาสร้างผลผลิตให้ต่อเนื่องทุกปี และในแต่ละปีธนาคารก็จะให้กู้ในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงคิดว่าทำไมเราเพิ่งมาพูดเรื่องให้เกษตรกรทำบัญชีครัวเรือนกันตอนนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วเราควรจะสอนให้เขาทำมาตั้งแต่ก่อนที่เราจะเขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ เมื่อ 40-50 ปีที่แล้วเสียอีก เพราะถ้าคุณต้องการให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีคุณต้องสอนระบบให้เขาก่อน” วิลิตเล่าถึงสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการเข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้านในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา
วิลิตให้ความสนใจและศึกษาภาคการเกษตรมายาวนานก่อนหน้านั้น เขาเคยเข้าร่วมสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ภายใต้การนำของศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ลงพื้นที่ไปศึกษาดูงานปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป้นขั้นตอนการเรียนรู้จากการลงมือทำโดยไม่เพียงแต่ศึกษาผ่านตำรับตำราเท่านั้น
“ผมเป็นลูกศิษย์นอกโรงเรียนของอาจารย์เสน่ห์ เคยได้ตามอาจารย์ไปดูงานตามที่ต่างๆ ได้เรียนรู้ปัญหาที่แท้จริงในเชิงโครงสร้างของภาคเกษตรว่าเป็นยังไง นี่คือที่มาที่ทำให้ผมอยากทำเกษตร เพราะผมอยากเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพิ่ม” วิลิตกล่าว
ลงมือ ‘ธรรม’
ตั้งแต่เด็กวิลิตบอกว่าเขามีความสนใจหลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่เขาสนใจมักเป็นเรื่องนอกห้องเรียนทั้งสิ้น หนึ่งในสิ่งที่วิลิตให้ความสนใจศึกษาและมีผลต่อวิธีคิดของเขาอย่างมากก็คือ พระพุทธศาสนา
“ตอนเด็กๆ ผมมีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องการนั่งสมาธิจากอาจารย์ที่เป็นเพื่อนของคุณพ่อ ผมจึงได้ซึมซับเรื่องนี้มาเรื่อยๆ และท่านได้แนะนำให้ผมฝึกปฏิบัติเพราะท่านเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ตอนนั้นผมน่าจะอายุประมาณสัก 10 ขวบ ก็ได้เริ่มเรียนการนั่งสมาธิ ได้เรียนหลักการเรื่องกฎแห่งกรรม ส่วนหนึ่งก็เป็นการเรียนรู้เล่นๆ เหมือนเด็กทั่วไป แต่อีกส่วนหนึ่งมันเป็นการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ไว้ในตัวผม เมื่อเติบโตขึ้นเวลาที่ผมต้องตัดสินใจอะไรสำคัญๆ ในชีวิตก็จะมีพื้นฐานมาจากเรื่องนี้เป็นหลัก”
อดีตนิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปรียบเทียบสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนากับการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยไว้ว่า “ในทางศาสนาพุทธนั้นผมคิดว่าเขาสอนให้รู้จักชีวิตในมุมที่กว้าง ชีวิตที่เป็นทั้งลมหายใจ ชีวิตที่เป็นจิตวิญญาณ ชีวิตที่มีมิติ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันจึงมีประโยชน์กับชีวิตเราในหลายด้าน ในขณะที่การศึกษาในระบบการศึกษาที่ผมเรียนมา เขาจะมีค่านิยมเป็นชุด เช่น จบไปต้องทำอะไร ต้องมีเงินเท่าไหร่ โดยที่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างภาพความสำเร็จขึ้นมาแล้วตัวเราเองก็วิ่งตาม วิ่งตามไปเรื่อยๆ ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ก็ผมจึงคิดว่ามุมมองชีวิตที่กว้างที่พระพุทธศาสนาให้กับเราจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่จะช่วยให้เรารอดในยุคที่ยากลำบาก”
ผสานการเรียนรู้สู่การประยุกต์ใช้
จากการลงไปคลุกคลีกับเกษตรกรและทำไร่น่าสวนผสมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้วยตัวเองทำให้วิลิต เตชะไพบูลย์ ตกผลึกและเกิดสำนึกในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ขึ้นภายในตัวเอง เขาจึงผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มเกษตรกรขึ้นในนาม ‘กลุ่มฟื้นฟูเกษตรกรเมืองเพชร’ และร่วมกับกลุ่มเกษตรกรอีกหลายกลุ่มร่วมกันผลักดันพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรแบบครบวงจร ซึ่งการทำงานครั้งนั้นก็เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้หลายอย่างเพิ่มมากขึ้น
“ผมเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถออกแบบทุกอย่างได้ แต่สถานการณ์ต่างๆ มันจะออกแบบทุกอย่างของมันไปเอง ทุกๆ เรื่องในชีวิตจะมีสองส่วนประกอบกัน คือส่วนที่เราควบคุมได้และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้” เขากล่าวถึงความเป็นไปของชีวิตที่ได้เรียนรู้ “ยิ่งในการเคลื่อนไหวผลักดันเรื่องต่างๆ มันยิ่งทำให้เราเห็นจุดอ่อนในตัวเรา ได้เห็นว่าที่เราเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้นเราทำเพื่อเขาจริงๆ หรือเราทำเพื่อตัวเราเอง สิ่งที่สำคัญก็คือการได้รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงมาจากตัวเราเอง ผมเจอคำคำหนึ่งที่เหมาะสมมากคือ ‘ศัตรูที่แท้จริงคือตัวเราเอง’ ในความหมายที่ไม่ได้บอกว่าให้เราเกลียดชังตัวเอง แต่หมายความถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอก ซึ่งทั้งสองส่วนไม่สามารถแยกจากกันได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะปฏิวัติโลกภายนอก คุณหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่คุณจะต้องปฏิวัติโลกภายใน อย่างน้อยที่สุดทั้งสองส่วนนี้ต้องทำไปพร้อมกัน อาจจะไม่ต้องรอให้คุณบรรลุก่อนแล้วค่อยไปช่วยคนอื่น แต่ผมคิดว่ามันคือการประคับประคองและปรับปรุงแก้ไขไปด้วยกัน”
เรียนรู้จากประสบการณ์
จากการผสมผสานความสนใจทั้งสอนด้านหลักในชีวิตของวิลิต เตชะไพบูลย์ สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาให้ความสำคัญกับการมีประสบการณ์ตรงในสิ่งต่างๆ เพราะเขาเชื่อว่าความรู้ที่ได้จากการอ่านและการฟังเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
“ผมเชื่อว่าพวกเราต้องหาความรู้จากการสะสม ไม่ใช่ความรู้จากการอ่านการฟังนะครับ แต่เป็นความรู้จากการสะสมประสบการณ์ สิ่งที่เราสะสมจะทำให้เราอ่อนโยนมากขึ้น เย็นขึ้น สุขุมขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี แต่การที่จะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์นั้นอยู่ที่ว่ากำลังใจในการดำรงอยู่ของเราคืออะไร
“ผมว่าถ้าเราใช้ประสบการณ์มาช่วยในการเรียนรู้มากกว่าเรื่องตำรับตำราหรือแค่การคิดโดยเหตุผล หมายความว่าทุกเวลาทุกนาทีเราถือหลักมหาสติปัฏฐานเพื่อกำหนดรู้ความเป็นไปต่างๆ แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวแต่ถ้าเราเริ่มนับถือประสบการณ์นั้นมันจะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมาก การที่เรายอมรับประสบการณ์อย่างเป็นธรรมชาตินี้คือคอมมอนเซนส์ในการดำรงอยู่ ถ้าเราเข้าใจอย่างนั้นแล้วตัวเราเองก็จะเหมือนมีกระจกที่ส่องตัวเราอยู่ตลอดเวลา มันจะสะท้อนให้เห็นทุกภาพที่เราสัมผัส และเราหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องใช้หลักนี้ ซึ่งก็เป็นหลักวิปัสสนาในพระพุทธศาสนา แต่การเรียนรู้ก็มีทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ แนวดิ่งคือการที่เราเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ที่ท่านเรียนรู้มาก่อน แต่ไม่ใช่การนับถืออย่างงมงาย เพราะเมื่อเรารู้ว่ามีผู้มีปัญญาที่สามารถแล้วทำไมเราจะไม่ยอมรับท่านเหล่านั้นให้เป็นครูของเรา หรือถ้าพูดอีกแง่หนึ่งคือให้ท่านเป็นกัลยาณมิตร ส่วนการเรียนรู้ในทางแนบราบก็คือเรียนรู้จากเพื่อนเราที่เราเห็นอยู่นี่แหละ การเกื้อกูลกันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนเช่นกัน เพราะใบหน้ารอยยิ้ม ความทุกข์ ความเครียดมันก็เป็นกระจกเงาสะท้อนธรรมชาติที่อยู่ในตัวเราด้วย”
ด้วยวิธีการเรียนรู้ทั้งหมดนี้ ได้สะท้อนออกมาในสิ่ง คุณวิลิต เตชะไพบูลย์ คิด เชื่อ และลงมือทำอย่างชัดเจน
เรื่องราวอ้างอิงบทสัมภาษณ์ของ คุณวิลิต เตชะไพบูลย์
จากโครงการ พื้นที่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning)
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ โครงการ พื้นที่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
โจน จันใด ประสบการณ์ที่เลวร้าย ก็ถือเป็นครูอีกคนนึง ที่ให้บทเรียนที่ยากที่สุดให้แก่เรา
เหมี่ยว – ปิลันธน์ ไทยสรวง เรียนรู้ผ่านการทำงาน กับผู้คนและชุมชน เพื่อดึงศักยภาพที่พวกเขามีอยู่แล้วออกมา