
โดนบีบให้ออก หากเจ้านายพยายามบีบบังคับให้เราลาออก ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้มีความผิดอะไร เราจะมีทางเลือกในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?
หากเจ้านายของคุณพยายามบังคับ ขู่เข็ญ และกดดันให้คุณออกจากงานโดยที่คุณเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะลาออกในตอนนี้ คุณจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร? นี่คือสิ่งที่แฟนเพจหลายคนสอบถามกันเข้ามา
สำหรับสถานการณ์แบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับพวกเราคนทำงานทุกคน แต่น้อยคนนักที่จะสามารถมีสติ และมีวิธีการที่เป็นขั้นเป็นตอนในการรับมือกับเรื่องนี้ หากคุณกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้อยู่ อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้ หรือ รีบชิงลาออกไปอย่างไว เพราะยังอีกมีหลายขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้เพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้ ดังต่อไปนี้
- พูดคุยกับเจ้านายของคุณ: เอาให้ชัด เอาให้ชัวร์ว่า เรื่องที่บีบเราออกนั้น เหตุผลคืออะไร? เริ่มต้นด้วยการเผชิญหน้ากับเจ้านายของคุณแบบตรงไปตรงมาได้เลย กำหนดเวลาการประชุมกับเจ้านายของคุณเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ ลองเปิดใจพยายามทำความเข้าใจถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเจ้านายที่กำลังบังคับให้คุณลาออก หากมีเหตุผลและสาเหตุเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ เช่น ปัญหาด้านประสิทธิภาพในการทำงาน คุณก็สามารถดำเนินการปรับปรุงในส่วนนั้นได้ แต่หากพบว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ เช่น การปรับโครงสร้างองค์กร การโยกย้าย หรือ อื่นๆ ก็ลองหาทางเลือกอื่นดู เช่นให้ถามว่ามีตำแหน่งอื่นๆ ว่างภายในบริษัทที่เราพอจะสามารถทำได้หรือไม่
- รู้จักสิทธิของคุณ: เมื่อรู้ตัวแล้วว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ รีบตรวจสอบสัญญาจ้างงานและนโยบายของบริษัทเพื่อดูว่ามีข้อไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างหรือไม่ คุณอาจมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชย เวลาพักร้อนที่ไม่ได้ใช้ หรือผลประโยชน์อื่นๆ หากคุณรู้สึกว่าสิทธิ์ของคุณถูกละเมิด ให้พิจารณาขอคำแนะนำทางกฎหมายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบริษัท เช่น ฝ่ายบุคคล เป็นต้น
- เอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง: เมื่อรู้ตัวแล้วว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ต้องเก็บบันทึกการสนทนาหรืออีเมลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยละเอียด ซึ่งจะช่วยคุณในกรณีที่คุณจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายหรือร้องเรียนกับ HR สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐาน เพราะแค่คำบอกเล่าของคุณ อาจจะไม่มีน้ำหนักมากพอ
- พิจารณาทางเลือกของคุณ: หากคุณไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์กับเจ้านายของคุณได้ คุณอาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่นๆ ซึ่งอาจรวมถึงการหางานใหม่ หรือ เดินหน้าต่อสู้ด้วยการร้องเรียนกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามตลอดทั้ง 4 ขึ้นตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่คำแนะนำ ในสถานการณ์ที่รู้ลึกแย่แบบนี้ อย่าลืมทำตัวให้เป็นมืออาชีพและพยายามนิ่งให้มากที่สุดตลอดกระบวนการ อาจเป็นสถานการณ์ที่ยากและตึงเครียด แต่การรักษาความนิ่ง คงความสงบและความเป็นมืออาชีพเอาไว้จะช่วยคุณได้ในระยะยาว
ถ้าคุยกับเจ้านายแล้วผลออกมาทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม เพราะเจ้านายเกลียดเรา เราจะทำอะไรได้อีก?
จากการได้ทดลองตาม 4 ขั้นตอนไปแล้ว พบว่า มันเป็นเรื่องอคติล้วนๆ ที่เจ้านาย เขามีต่อคุณ นั่นแสดงว่าสถานการณ์ของคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้ว ต่อไปนี้คือทางเลือกบางส่วนที่คุณสามารถพิจารณาเดินหน้าต่อไปได้:
- พูดคุยกับฝ่ายทรัพยากรบุคคล: ถ้าคุณมีฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่เป็นกลาง ก็ลองพูดคุยแบบตรงไปตรงมาถึงสถานการณ์ของคุณ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ บางทีพวกเขาอาจจะสามารถช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์และช่วยคุณหาทางออกได้
- ติดต่อที่ปรึกษาหรือเพื่อนร่วมงาน: หากคุณมีที่ปรึกษาหรือเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะเคยผ่านปัญหาในลักษณะเดียวกับที่คุณกำลังเจอมาก่อน ก็ลองพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ บางทีพวกเขาอาจจะสามารถให้คำแนะนำและการสนับสนุนแก่คุณได้ ว่าควรรับมือกับเจ้านายอย่างไร?
- พิจารณาทางเลือกทางกฎหมาย: หากคุณรู้สึกว่าสิทธิ์ของคุณถูกละเมิดหรือถูกบังคับให้ออกจากงานอย่างไม่เป็นธรรม ให้ลองขอคำแนะนำทางกฎหมาย จากสายด่วนแรงงาน หรือ ติดต่อศาลแรงงานในพื้นที่ เพื่อขอคำแนะนำได้ พวกเขาจะสามารถช่วยให้คุณเข้าใจทางเลือกทางกฎหมายของคุณได้ และ จะได้มีวิธีการในการรับมือในลำดับต่อไป หากคุณต้องโดนเลิกจ้างขึ้นมาจริงๆ
- มองหาโอกาสในการทำงานที่อื่นๆ: หากสถานการณ์ไม่สามารถป้องกันได้และคุณรู้สึกว่าไม่มีทางออกอื่นๆ อีกแล้วที่จะสามารถทำให้ทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ให้ลองมองหาโอกาสในการทำงานที่อื่นๆ เริ่มต้นด้วยการอัปเดตเรซูเม่ของคุณ สมัครงานในตำแหน่งที่ตรงกับสายงานที่คุณทำอยู่ให้มากที่สุด และ ลองติดต่อ Recruiter หรือ Head Hunter ที่คุณเคยรู้จักดู เผื่อว่าเขาจะช่วยให้คุณสามารถหางานใหม่ ได้เร็วยิ่งขึ้น
ขอย้ำอีกครั้งนึง หากสถานการณ์ของคุณเข้าขั้นวิกฤตแล้ว อย่าลืมบันทึกทุกอย่างและเก็บบันทึกการสนทนาหรืออีเมลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยคุณในกรณีที่คุณจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมาย หรือ ร้องเรียนกับ HR
ถ้าหาก HR ก็พึ่งไม่ได้ พวกเขาเข้าข้างและสนับสนุนเจ้านายของเรา เราควรทำอย่างไร?
หากคุณได้ลองพูดคุยกับหัวหน้าและฝ่ายทรัพยากรบุคคลแล้ว และรู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการสนับสนุน นั่นแสดงว่าสถานการณ์ของคุณเข้าขั้นโคม่าอย่างแท้จริง อาจถึงเวลาที่ต้องพิจารณาตัวเลือกที่รุนแรงกว่านี้ และนี่คือขั้นตอนบางอย่างที่คุณสามารถทำได้:
- เอกสารทุกอย่างที่สำคัญต้องเก็บให้เรียบร้อย: เก็บบันทึกการสนทนาหรืออีเมลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ วิธีนี้จะช่วยคุณในกรณีที่จำเป็นจะต้องดำเนินการทางกฎหมาย หรือยื่นเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานของรัฐ (เรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ เพราะศาลแรงงานจะพิจารณาจากหลักฐานที่เชื่อถือได้เป็นหลัก)
- พิจารณายื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการ: หากคุณรู้สึกว่าสิทธิ์ของคุณถูกละเมิดหรือถูกบังคับให้ออกจากงานอย่างไม่เป็นธรรม ให้ลองยื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการกับหน่วยงานของรัฐที่เหมาะสม ในกรณีนี้ คือ ศาลแรงงาน หรือ ในบางบริษัทอาจจะมีหน่วยงานกลางที่รับเรื่องร้องเรียน เช่นหน่วยงานดูแลเรื่องจริยธรรมขององค์กร คุณก็สามารถทำได้ทั้งสองช่องทางในคราวเดียวกันก็ได้
- พูดคุยกับทนายความ: ติดต่อทนายความที่มีความช่ำชองในเรื่องคดีแรงงาน พวกเขาสามารถช่วยให้คุณเข้าใจตัวเลือกทางกฎหมายของคุณได้ และอาจจะเป็นคนช่วยเราเจรจาหาข้อตกลงกับนายจ้างของคุณได้เช่นกัน นอกจากนี้พวกเขายังสามารถช่วยคุณเตรียมการสำหรับการดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ที่คุณอาจต้องทำได้เช่นกัน สำหรับกรณีนี้ ถือเป็นขั้นสุดที่ต้องมีการฟ้องร้อง เรียกร้องค่าชดเชย เนื่องจากการถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
- มองหาโอกาสในการทำงานอื่นๆ: หากสถานการณ์ไม่สามารถป้องกันได้และคุณรู้สึกว่าไม่มีทางออกอื่น ให้ลองมองหาโอกาสในการทำงานที่อื่นๆ ซึ่งบางครั้งการหางานใหม่อาจจะเป็นเรื่องยากในระยะเวลาสั้นๆ หากคุณต้องการงานอย่างรวดเร็วเพราะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ก็อาจจะหางาน part-time ทำในช่วงที่กำลังดำเนินการฟ้องร้องบริษัทก่อนก็ได้
ในสถานการณ์โคม่าแบบนี้ สิ่งสำคัญคือต้องมีความเป็นมืออาชีพและใจเย็นตลอดกระบวนการ แม้ว่าคุณจะรู้สึกหงุดหงิดหรืออารมณ์เสียก็ตาม อย่าเพิ่งเผาสะพานหรือทำสิ่งใดที่อาจทำลายชื่อเสียงของคุณด้วยอารมณ์ ขอให้จดจ่อกับการหาทางออกที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขสถานการณ์กับนายจ้างปัจจุบันของคุณหรือกับเรื่องการหางานใหม่
การดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทจะส่งผลกระทบต่องานของเราและงานในอนาคตของเรากับบริษัทใหม่หรือไม่?
การดำเนินการทางกฎหมายกับนายจ้างของคุณอาจส่งผลต่องานปัจจุบันและโอกาสในการทำงานในอนาคตของคุณ อย่างแน่นอน ดังนั้นการตัดสินใจของคุณ ควรจะต้องพิจารณาและคำนึงถึงประเด็นดังต่อไปนี้:
- งานปัจจุบันของคุณ: การดำเนินการทางกฎหมายกับนายจ้างของคุณอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับนายจ้างปัจจุบันของคุณตึงเครียดและอาจส่งผลให้ถูกเลิกจ้าง อย่างไรก็ตาม หากกรณีนี้เป็นคดีที่ร้ายแรงและสิทธิ์ของคุณถูกละเมิด คุณอาจมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยหรือคืนสถานะในการทำงาน สิ่งสำคัญคือ คุณต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นก่อนและหลังที่จะเลือกดำเนินการทางกฎหมายด้วย
- โอกาสในการทำงานในอนาคต: เป็นไปได้ว่าการดำเนินการทางกฎหมายกับนายจ้างของคุณอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำงานในอนาคตของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณทำงานในอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ทุกคนล้วนรู้จักและคุ้นเคยกัน นายจ้างของบริษัทใหม่อาจจะเกิดความลังเลที่จะจ้างคุณที่เคยฟ้องนายจ้างคนเก่ามาก่อน ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกต้องก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากกรณีนี้เป็นคดีที่ร้ายแรงและคุณถูกนายจ้างทำผิด เอาเปรียบ สิ่งสำคัญคือต้องยืนหยัดเพื่อสิทธิของคุณ เชื่อว่ายังมีนายจ้างอีกมาก ที่เข้าใจและพร้อมที่จะให้โอกาสคุณเข้าทำงานอย่างแน่นอน
- ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย: การดำเนินการทางกฎหมายอาจมีค่าใช้จ่ายบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจ้างทนายความเอง แต่ถ้าเลือกทนายความที่ศาลแรงงานเขาจัดหาเอาไว้ให้ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ดังนั้นคุณควรพิจารณาถึงต้นทุนและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการทางกฎหมายก่อนตัดสินใจเอาไว้ด้วย
- ข้อตกลงการรักษาความลับ: หากคุณตกลงเรื่องของคุณกับนายจ้าง พวกเขาอาจกำหนดให้คุณลงนามในข้อตกลงการรักษาความลับที่ป้องกันไม่ให้คุณพูดคุยรายละเอียดของคดีกับใคร สิ่งนี้อาจส่งผลต่อความสามารถของคุณในการแบ่งปันประสบการณ์ของคุณกับผู้อื่นหรือใช้กรณีนี้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีทางกฎหมายในอนาคตได้เช่นกัน
ในขั้นตอนนี้ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการทางกฎหมายก่อนตัดสินใจ หากคุณตัดสินใจที่จะดำเนินการทางกฎหมาย และต้องปรึกษากับทนายความที่สามารถแนะนำแนวทางการดำเนินการที่ดีที่สุดแก่คุณ
ถ้าสถานการณ์มันแย่ขนาดนี้ โดนบีบให้ออก ควรเลือกที่จะลาออกไปเลยจะดีไหม?
การตัดสินใจลาออกขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะและลำดับความสำคัญส่วนตัวของคุณ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจใดๆ ว่าจะลาออกหรือไม่ นี่คือสิ่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้:
- สถานการณ์ทางการเงินของคุณ: หากคุณลาออกโดยที่ไม่มีงานอื่นรองรับ อาจส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินของคุณ พิจารณาสถานการณ์ทางการเงินในปัจจุบันของคุณ และดูว่ามีเงินออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของคุณหรือไม่ จนกว่าคุณจะหางานใหม่ได้ ตรงจุดนี้เงินสำรองฉุกเฉินเป็นเรื่องสำคัญมาก ก่อนจะตัดสินใจลาออกก็คงต้องมาดูว่า คุณจะอยู่รอหางานได้กี่เดือน
- เป้าหมายในอาชีพของคุณ: การลาออกอาจส่งผลต่อเป้าหมายในอาชีพของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณลาออกโดยที่ไม่มีงานอื่นรองรับ พิจารณาว่าการออกจากงานปัจจุบันของคุณสอดคล้องกับความใฝ่ฝันในอาชีพระยะยาวของคุณหรือไม่?
- สุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดีของคุณ: หากสถานการณ์ในที่ทำงานทำให้คุณเครียดหรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจ การลาออกอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคุณ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณยังสนุกกับงานและสถานการณ์ไม่ได้ส่งผลเสียต่อคุณมากจนรับมือไม่ได้ การอยู่ต่อก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางนึง
- สิทธิ์ตามกฎหมายของคุณ: หากคุณเชื่อว่าสิทธิ์ของคุณถูกละเมิด สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับทนายความหรือผู้รู้ก่อนตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจรีบร้อนด้วยการลาออกอาจส่งผลต่อความสามารถของคุณในการดำเนินการทางกฎหมาย เช่น โดนนายจ้างหลอกให้ลาออกเอง แทนที่จะได้ค่าชดเชย อาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้ หรือ อื่นๆ
ท้ายที่สุด การตัดสินใจลาออกเป็นเรื่องส่วนตัวและขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาตัวเลือกทั้งหมดของคุณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจด้วย
บทสรุป
เรื่องของการ โดนบีบให้ออก ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้มีความผิดอะไร เมื่ออ่านถึงตรงนี้ก็หวังว่าพวกเราคงจะได้เข้าใจเห็นแนวทางในการรับมือโดยดูระดับความรุนแรงของสถานการณ์เป็นเกณฑ์ หากคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ทางทีมงานก็ขอเป็นกำลังใจให้ และ ขอให้ทุกๆ การตัดสินใจของคุณ เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฏหมายแรงงาน : กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สายด่วน 1506 กด 3 และ 1546
บทความแนะนำ:
ถูกเลิกจ้าง และ ให้ออกจากงานแบบกระทันหัน ต้องทำอย่างไรดี?
ลูกจ้างจะไม่ได้รับเงินชดเชย อันเนื่องมาจากการเลิกจ้าง ในกรณีใดบ้าง?
Performance Improvement Plan (PIP) มาเป็นตัวช่วย หรือ มาบีบให้ออกกันแน่?