การบูลลี่ (bully) คือ การตั้งใจกระทำบางอย่างกับคนหรือกลุ่มคน เพื่อที่จะทำให้เขาเสียใจหรือไม่มีความสุข โดยการกระทำเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้นได้ทั้งจากการแสดงออกด้วยคำพูดและจากการกระทำ
เราเคยรู้จัก ระบบ “เหยื่อ” กับ “ผู้ล่า” หรือเปล่า?
ในนิทานหลายๆเรื่องที่ พวกเราเคยฟังตอนเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “หมาป่า” ที่เคยถูก “แกะ” หรือ “กระต่าย” ล่าหรือเปล่า? เราเคยคิดไหม ว่าสิ่งเหล่านี้ที่เราเคยได้อ่านเป็นแค่นิทานก่อนนอน อาจจะปลูกฝังบางสิ่งบางอย่างให้เรามาจนโต จนกลายเป็นเรื่องปกติ
ถ้าวันหนึ่งนิทานที่จะให้แง่คิดหรือคติสอนใจกับเรา เป็นนิทานที่เกี่ยวกับการที่ใครสักคนไล่ล่าตัวเราล่ะ? มันจะยังจะสามารถเอามาเป็นนิทานก่อนนอนอยู่ไหม?
เรื่องของ การบูลลี่ (bully) มีให้เห็นมาโดยตลอดตั้งแต่เราเป็นเด็กจนถึงตอนนี้
เพื่อให้เราได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น พฤติกรรมของการบูลลี่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ด้วยกัน นั่นก็คือ
- ทางร่างกาย เป็นการบูลลี่ ที่ใช้กำลังด้วยความตั้งใจ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียใจ เจ็บใจ เช่น การตบตี ทุบต่อย หรือ ปาข้าวของใส่ เป็นต้น ลองนึกถึงตอนเป็นเด็ก ตอนที่คุณยังเป็นนักเรียนแล้วตัดผมรองทรง เคยโดนเพื่อน รุ่นพี่ หรือคุณครูตบหัว แล้วเรารู้สึกไม่ดีบ้างไหม? หรือ ตอนที่คุณแม่ถักเปียแสนสวยให้เราก่อนออกจากบ้าน แล้วมีเพื่อนเกเรมาดึงเปียของเราจนเรารู้สึกปวดหัวตุบๆ หากเราเคยผ่านเหตุการณ์เรานี้มา นั่นแสดงว่า เราเองก็เคยโดนบูลลี่มาแล้ว
- ทางจิตใจ เป็นการบูลลี่ ที่ใช้พฤติกรรม การแสดงออกด้วยความตั้งใจ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียใจ เจ็บใจ ยกตัวอย่าง เรื่องที่เห็นกันได้บ่อยๆ ในที่ทำงาน เช่น การถูกเลิกเป็นเพื่อน การบังคับไม่ให้คนอื่นคุยด้วย การแกล้งทำเป็นเมินหรือมองไม่เห็น หรือ ที่เราเคยได้ยินกันว่าการโดนแบนออกจากกลุ่มเนี่ยแหละ คนที่ถูกกระทำ ก็จะถูกแยกออกจากสัคมทำงานนั้นๆ ทำให้การไปทำงานแต่ละวัน มีแต่ความทุกข์
- ทางคำพูด เป็นการบูลลี่ ที่ใช้คำพูด การแสดงออกด้วยความตั้งใจ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียใจ เจ็บใจ เช่น การ ล้อชื่อพ่อแม่ (เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสมัยที่พวกเรายังเป็นเด็กนักเรียน) หรือ จะเป็นเรื่องการเยาะเย้ย ถากถาง ประชดประชัน หรือ ด่าทอให้ฝ่ายตรงข้าม เกิดความเสียหาย เช่นในสังคมทำงาน บางคนโดนเอาเรื่องที่ทำงานผิดพลาดไปประจาน หรือ หัวหน้าชอบประชดประชัน แดกดันลูกน้อง ต่อหน้าคนอื่นๆ เป็นต้น
บางคนอาจจะคิดว่า เราพูดแค่นี้เอง จะมาบอกว่าเราบูลลี่เลยหรอ แบบนี้มันก็ไม่ถูก อย่าลืมว่า เราทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนเขาก็จะมีเรื่องที่ซีเรียส หรือ เรื่องที่เซนซิทีฟไม่เท่ากัน หลายๆ ครั้ง คำพูดบางคำที่เราคิดว่าเล็กน้อย ก็อาจจะทำร้ายจิตใจคนบางคนได้
- ทางโลกออนไลน์ เป็นการการบูลลี่ โดยใช้พื้นที่ของโลกออนไลน์ ผ่าน Social Media ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การไปพิมพ์ข้อความรุมด่า หรือ ไปรุมขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของใครบางคนออกมา ทำให้เป็นเรื่องตลก หรือ ทำให้เขาได้รับความอับอาย เป็นต้น
เราคงเคยได้ยินคำว่า “ทัวร์ลง” หรือ “แหก” กันใช่ไหม? เมื่อมีคนนึงจุดพลุ เริ่มต้นพิมพ์ข้อความไปด่าเหยื่อ ก็จะเริ่มมีคนที่ชอบหรือพร้อมที่จะบูลลี่ตามมาอีกหลายคน ทุกคนจะรุมทึ้งคนคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อ ด้วยถ้อยที่คำหยาบคาย ให้ร้าย ทำร้ายจิตใจเหยื่อ ผ่านคีย์บอร์ดพิมพ์ลงไป ไม่ว่าจะเป็นการด่าที่ตัวบุคคล หรือบุพการีของคนคนนั้น ก็มีการติดแท็กในช่องทางโซเชียลต่างๆไว้ให้คนเข้าอื่นๆ ไปรุมคนคนนั้นอีก
ซึ่งตอนนี้ การบูลลี่ผ่านช่องทางโลกออนไลน์ กลายเป็นช่องทางลำดับต้นๆ ที่กำลังเป็นปัญหาในสังคม ข่าวการฆ่าตัวตายของคนมีชื่อเสียงเช่นดารา นักแสดงในต่างประเทศหลายคน ก็จบชีวิตตนเองเพราะรับมือกับการถูกบูลลี่ ไม่ไหวก็มีให้เราเห็นเป็นระยะ
แล้วเราจะรับมือการการถูกบูลลี่ ได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าเราเองก็ไม่ได้อยากจะไปบูลลี่ใครๆ แต่เราเองก็คงไม่สามารถห้ามคนอื่น (ที่ไม่หวังดีกับเรา) มาบูลลี่ เราไม่ได้ ในบทความนี้ เราจะไม่พูดถึงผู้ล่า (ผู้ที่ขอบบูลลี่) อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาคงรู้สึกมีอำนาจมากพอแล้ว ถึงได้มาบูลลี่คนอื่นๆ แต่เราจะมาเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ และเสริมความมั่นใจให้แก่ทุกคน ที่กำลังเป็นเหยื่อของการบูลลี่อยู่ในตอนนี้ ว่าเราจะรับมือกับสถาณการณ์ของเราอย่างไรดี?
อย่าพยายาม หาคำตอบของคำถามที่ว่า “ทำไมต้องเป็นเรา?”
เราอาจจะไม่จำเป็น ต้องหาเหตุผล ว่าทำไมเราถึงโดนบูลลี่ หากมันไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น จงจำไว้ว่าไม่มีใครเลยที่สมควรจะโดนบูลลี่ เพราะฉะนั้น จงอย่าหาเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเราที่ต้องเจอเรื่องเหล่านี้
พวกคนที่เข้ามาบูลลี่เรา อาจทำสิ่งเหล่านี้ไปเพราะพวกเขาไม่ได้รับความสนใจ ไม่ได้รับความรัก หรือ ไม่ได้รับการยอมรับ หรือ ไม่ได้รับการเอาใจใส่มากเพียงพอในแบบที่เราได้รับ พวกเขาอาจรู้สึกไม่ปลอดภัย และต้องการรับรู้ถึงอำนาจ นั่นจึงทำให้พวกเขาสร้างพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่นขึ้นมา เพื่อให้ได้รับความสนใจ
ในบางครั้ง เหตุผลที่ทำให้เราโดนบูลลี่ ก็คือ เราอาจจะเป็นคนที่น่าสนใจ เป็นคนมีความสามารถ ที่กำลังเป็นที่จับตามองมากที่สุดในตรงนั้น เท่านั้นเอง เราจึงกลายเป็นเป้าหมายถูกการบูลลี่ได้ง่าย
เหตุผลง่ายๆ ที่ใช้บูลลี่ใครสัก ก็เพราะ “ความอิจฉา”
เหตุผลง่ายๆ ที่ใช้บูลลี่ใครสักคน อาจจะเป็นเพราะอิจฉาก็เป็นได้ คงคิดถึงตัวอย่างไม่ยากเลยใช่ไหม ถ้าเราเคยดูละครสักเรื่องที่คุณแม่เปิดตอนทานอาหารมื้อเย็น เราจะเห็นเลยว่าคนเราเกลียดกัน ทำร้ายกันได้ เพียงเพราะความอิจฉาจริงๆ (ละครบ้านเรา แสดงให้เห็นฉากที่มีการบูลลี่กันอยู่บ่อยๆ)
ถ้าเรากำลังโดนบูลลี่อยู่ จากใครสักคน หรือ อาจจะเคยโดนบูลลี่มาแล้ว เผลอคิดไปว่าตัวเราน่ะผิดเอง และสมควรแล้วที่จะโดนบูลลี่ ก็ขอให้เราเปลี่ยนความคิดใหม่เดี๋ยวนี้เลย เพราะ
“เราไม่ได้ผิด เราไม่สมควรโดนบูลลี่ และก็ไม่มีใครสมควรโดนบูลลี่ทั้งนั้น”
วิธีการรับมือ เมื่อเรากำลังถูกบูลลี่
อย่างแรก คือ ถ้าพวกเขาไม่ได้มาเป็นกลุ่ม แล้วล้อมเราไว้แบบในละครละก็ แนะนำให้เราเดินหนีออกมาเลยดีกว่า อย่าไปเสียเวลาโต้เถียงหรือทำอะไรที่เปล่าประโยชน์ หรือถ้าเราอยากลองพูดกับคนพวกนี้ดูละก็ ก็ต้องตอบโต้ไปอย่างมั่นใจ อย่าลังเล อย่าให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าเรากำลังอ่อนแอ อย่าได้แสดงความรู้สึกไปทิศทางเดียวกันกับที่คนพวกนี้ต้องการ
“อย่าตอบโต้ไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการเด็ดขาด ถ้าเราไม่อยากให้มีครั้งต่อไป และนี่ไม่ใช่คำขู่”
ถ้าหากไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย จงนิ่งเฉย ขอให้โฟกัสกับสิ่งที่เขากำลังพูดหรือทำเพื่อให้คุณรู้สึกแย่ แล้วให้คิดเสมอว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ทำร้ายคุณได้ เขาจะได้ตามที่ต้องการ แล้วหลังจากนั้นก็จะมีครั้งที่สอง และครั้งที่สาม ตามมาอย่างแน่นอน
แต่ถ้ามันคือการทำร้ายร่างกายแล้วละก็ รีบหาทางหนีออกมาก่อนที่จะเจ็บตัว ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชา หัวหน้า หรือ แจ้งตำรวจทันที
ตั้งรับหากมีครั้งต่อไป คงไม่มีใครอยากจะเป็นเหยื่อไปตลอดใช่ไหม?
เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ หากเราจะต้องถูกบูลลี่ในครั้งถัดไปอย่างช่วยไม่ได้ ขอให้ควบคุมอารมณ์ของตัวเราเองให้ดีที่สุด พยายามนิ่งเฉยกับการกระทำของคนเหล่านั้น วิธีการที่โต้ตอบที่ร้ายกว่าการเดินเข้าไปต่อยหน้าคนเหล่านั้นสักทีให้สะใจ ก็คือ พยายามเก็บหลักฐานให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นการอัดเสียง อัดวิดีโอ หรือถ่ายภาพเก็บไว้ เพื่อส่งให้หัวหน้างาน ผู้ควบคุม อาจารย์ หรือ ตำรวจ
อย่าทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าคุณกำลังถูกบูลลี่
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า อย่าได้คิดโทษตัวเองเด็ดขาด อย่าทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือปล่อยตัวเองให้มีชีวิตแย่ๆ เพราะคิดว่าถ้าคนเหล่านี้เห็น เขาคงจะเลิกบูลลี่ไปเอง สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรรมที่เราห้ามทำเด็ดขาด
อย่าลืมว่า ถ้าเราทำแบบนั้น นั่นก็แปลว่า เราได้ให้สิ่งที่ต้องการกับพวกเขา พวกเขา (ที่บูลลี่เรา) ก็จะถูกใจ และไม่มีทางหยุดบูลลี่เราแน่นอน หากการบูลลี่ รุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย พยายามหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนคนเดียว ให้เกาะกลุ่มกับคนอื่นไว้ และอย่าโต้ตอบด้วยการต่อสู้หรือความรุนแรงเด็ดขาด
อย่าลืมรักษาบาดแผลทางจิตใจ
หลังจากเราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ บางคนอาจจะคิดว่าตัวเองสบายดี และดีใจกับการผ่านมันมาได้ บางคนอาจจะพูดได้ว่าการบูลลี่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อจิตใจของพวกเขา
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราถูกบูลลี่อย่างซ้ำๆ สภาพจิตใจของเราอาจจะย่ำแย่ได้โดยไม่รู้ตัว ลองให้เวลากับตัวเอง สงบนิ่ง คิดทบทวนแล้วสำรวจจิตใจตัวเองให้ดี บอกตัวเองว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร พยายามหาคนที่ไว้ใจและสบายใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง อย่าพยายามเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง หรือ จะเลือกใช้วิธียอดนิยมที่จิตแพทย์มักจะแนะนำ ก็คือการเขียนระบาย ปลดปล่อยทุกอย่างออกมา ผ่านการเขียนไดอารี่สักเล่ม วิธีการนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการเยียวยาตัวเองที่ดีได้เช่นกัน
จำไว้ว่า อย่าเป็นคนที่คุณเกลียด
เคยได้ยินประโยคที่ว่า “ไม่อยากโดนล่า ก็ต้องเป็นผู้ล่าไหม?”
ในบางครั้งที่เราอาจจะต้องเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อาจจะทำให้เราเผลอเป็นคนที่เราเกลียดโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเราเอาชนะคนที่บูลลี่เราไม่ได้ เราก็เอาความโกรธนี้ไปลงกับคนที่สามารถเป็นเหยื่อให้เราได้แทน แต่ความคิดแบบนี้มันผิด เราคงไม่อยากให้เรื่องนี้มันเกิดเป็น “วงจรอุบาทว์” ใช่ไหม? ขอให้จดจำความรู้สึกแย่ๆ ที่เราได้รับและจำไว้ว่า อย่าให้อะไรมาเปลี่ยนเรา จนทำให้เรากลายเป็นคนที่เราเกลียดเด็ดขาด
บทสรุป
หากเรากำลังเป็นเหยื่อของพฤติกรรมการบูลลี่ ก็อย่าเพิ่งทอดทิ้งตัวเอง ขอให้ยืนหยัดสู้ด้วยวิธีที่แตกต่างจากคนเหล่านั้น เราไม่ได้โชคร้าย เราไม่ได้แย่ แต่เราดีและสมบูรณ์แบบที่สุดในความเป็นตัวเราแล้ว
ขออย่าได้เกลียดตัวเราเอง อย่าได้รู้สึกแย่ไปตามคำพูดหรือการกระทำแย่ๆ จากคนเหล่านั้นอีกเลย เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่เป็นสิ่งที่คนที่บูลลี่เรากำลังต้องการต่างหาก
ต่อให้เราอาจจะรู้สึกว่าคนทั้งโลกกำลังทอดทิ้งเรา ทุกคนเพิกเฉยต่อความทุกข์ทรมานที่เราได้รับ แต่จำไว้ว่าเราต้องมีชีวิตต่อไป เพื่อทานอาหารโปรดอีกหลายมื้อ เพื่อไปสถานที่สวยๆอีกหลายแห่ง เพื่อทำงาน หรือ ทำในส่ิงที่เรารัก หรือ เพื่ออยู่กับคนที่เรารัก หรือ เพื่อพบเจอคนดีๆ อีกมากมายหลายคน
เราต้องให้เกียรติตัวเอง ชื่นชมตัวเอง และรักตัวเองให้มากๆ เพราะหน้าที่นี้ไม่มีใครทำได้ดีเท่ากับตัวเราเอง