การเปลี่ยนงานบ่อย หากเป็นเมื่อก่อนใครที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ ก็มักจะถูกมองไม่ค่อยดี ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นทัศนคติและความเชื่อที่ว่า การเปลี่ยนงานบ่อย จะหายากใหม่ได้ยาก หรือ การเปลี่ยนงานบ่อยอาจจะถูกมองว่าไม่มีความอดทน
แต่ในยุคปัจจุบัน นี้ การเปลี่ยนงานบ่อย ถือว่าเป็นเรื่องที่พบได้เยอะมากในหลายๆ องค์กร เพราะยุคนี้ คนทำงานมีทางเลือก มีงานให้เลือก มีองค์กรให้เลือกมากมาย และ ก็มีเช่นกันที่เลือกที่จะไม่ทำงานประจำ และ ผันตัวออกมาเป็นเจ้าของกิจการ
จึงเป็นเหตุที่ทำให้ อัตราการเปลี่ยนงานของพนักงานเกิดขึ้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในบางเคส พนักงานเข้ามาทำงานไม่ถึงปี ก็ออกเสียแล้ว ปัญหาเหล่านี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของหลายองค์กร เพราะต้องเสียเงิน เสียเวลา กับหาพนักงานใหม่ และ กับการพัฒนาตัวพนักงาน
คนที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ กล่าวคือ เปลี่ยนทุกๆ 1-2 ปี ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Job Jumper หรือ Job hopper บ่อยครั้งเวลาไปสัมภาษณ์งาน ผู้สมัครที่มี การเปลี่ยนงานบ่อย มักจะถูกตั้งคำถามเชิงลบ จากผู้สัมภาษณ์ หรือ จากบริษัทที่พวกเขาไปสัมภาษณ์ได้เช่นกัน
บริษัท และ ผู้สัมภาษณ์ มองว่า การได้คนเหล่านี้ไปทำงาน ก็ เป็นความเสี่ยงต่อองค์กร เพราะ คนเหล่านี้ ไม่มีความอดทน เห็นแก่ตัว ไม่มีความจงรักภักดีต่อองค์กร เนื่องจากพวกเขามีแนวโน้มที่จะอยู่กับองค์กรไม่น่าจะนาน และ ที่สำคัญ อาจจะมองว่า คนเหล่านี้ มีเงินเดือนสูงเกินไป จะเห็นได้ว่า มีแต่มุมมองเชิงลบ ทั้งนั้น
นอกจากนี้ สำหรับพนักงานที่ถูกรับเข้ามาแล้ว แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน บริษัทก็มองคนที่เปลี่ยนงานบ่อยแบบนี้ ในแง่ร้ายเช่นกัน เช่นถูกมองว่า เป็นคนไม่มีความอดทน เป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ เป็นคนหนีปัญหา หรือ ถูกมองว่าเป็นคนไม่รักองค์กร ประเด็นเหล่านี้ จึงเป็นคำพูด ที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ในเวลาที่มีน้องๆ หรือ ใครก็ตาม ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน เช่น ไม่ถึงปี แล้วก็ลาออกไป
ถามว่าการตัดสินใจเปลี่ยนงาน ของคนคนนึงมันผิดมากเลยเหรอ?
เรามาลองดูเรื่องราวของน้องท่านหนึ่ง ที่ชื่อ แจน
ทำงานบริษัทออกแบบซื่อดังในแถบย่านอโศก แจน เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่ได้งานใหม่
ซึ่งเป็นตำแหน่ง และ สายงาน รวมไปถึงบริษัทที่แจนอยากทำมาก ด้วยความที่ได้ตามที่หวังทุกประการ แจนก็เลยตัดสินใจได้ไม่ยากในการเปลี่ยนงานครั้งนี้
หลังจากที่แจนได้เซ็นสัญญากับที่ใหม่เรียบร้อยแล้ว แจนก็เตรียม วางแผนเรื่องการถ่ายโอนงาน และเตรียมเอกสารเอาไว้เป็นอย่างดี เพราะแจนต้องการให้งานที่เธอทำค้างเอาไว้ เพื่อนๆ ที่ยังอยู่สามารถทำต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด และ ไม่กระทบกับลูกค้า
จากนั้นแจนก็ตัดสินใจ เดินเข้าไปบอกกับหัวหน้าอย่างเป็นทางการเพื่อขอลาออก สิ่งที่แจนคาดหวังก็คือ การบอกลา และ การจากลาด้วยดี แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นเช่นนั้น
หลังจากที่หัวหน้าได้รับทราบถึงเรื่องการขอลาออกของแจนส่ิงที่หลุดจากปากของหัวหน้าก็คือ “เธอมันไม่รักองค์กร ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อองค์กร เธอมันก็แค่เข้ามาที่นี่เพื่อตักตวงผลประโยชน์ พอเห็นที่อื่นดีกว่า ก็ไป”
หลังจากที่แจนได้ยินประโยคนี้ มันจุก เข้าไปในใจอย่างจัง เพราะแจนไม่เคยคิดว่า หัวหน้า คนนี้ คนที่เธอทำงานทุ่มเท ให้อย่างดีมาโดยตลอด จะพูดประโยคนี้ออกมา
ตลอด 2-3 ปี ที่เธอทำงานหนัก เพื่อทีม เพื่อองค์กร สร้างผลงานดีๆ ออกสู่ตลาด มาเป็นสิบๆ ชิ้น แต่สิ่งเหล่านี้ มันยังไม่ดีพออีกเหรอ ที่จะตอบแทนในฐานะพนักงานคนนึงขององค์กร ที่ทำเพื่อองค์กรมาโดยตลอด
เธอบอกกับผมว่า เธอรับไม่ได้จริงๆ กับสิ่งที่หัวหน้าเธอพูด เธอเสียใจกับเวลาที่ได้ทุ่มเทไปเพื่อคนแบบนี้
มันเหมือนกับการโดนหลอกใช้ เพียงเพื่อหวังผลประโยชน์
ผมได้แต่ปลอบใจ และ ให้กำลังใจเธอไปว่า “ก็ดีนะ ที่เราได้รู้ว่า หัวหน้าของเราแท้จริงเป็นคนแบบไหน?”
“ก็ดีนะ ที่เรามีโอกาสที่ดีๆ เข้ามาพอดี ซึ่งทำให้เราไปจากที่นี่ได้ และ อย่าไปเสียใจกับสิ่งที่เราได้ทำเพื่อองค์กรอย่างดีที่สุดแล้ว”
“และก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่เขาจะไม่พอใจเรา ก็เพราะเขากำลังจะเสียพนักงานมือดีไป ในเมื่อเราตัดสินใจเดินหน้าแล้ว ก็อย่าไปหวั่นไหวกับเสียงของคนที่ไม่หวังดี”
ซึ่งอันที่จริงแล้ว
“ความซื่อสัตย์ต่อองค์กร ต้องแลกด้วยผลงาน ไม่ใช่แลกด้วยจำนวนปีที่ทำงานให้กับเขา”
ในเรื่องของความซื่อสัตย์ ไม่ใช่หมายความว่า เราจะต้องทำงานอยู่กับเขาไปนานๆ โดยไม่ได้ทำผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน หรือ บางคนแย่กว่านั้น อยู่มานานเป็นสิบปี นับผลงานไม่ได้สักชิ้นเลย แต่ก็ยังมีคนอีกมากมาย มีมุมมองในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อองค์กรแบบนี้อยู่เยอะ
แล้วพวกเราล่ะ เคยเจอสถานการณ์แบบแจนบ้างไหม? หรือในอีกกรณีนึง ต้องมาเจอกับมุมมองลบๆ ที่มีต่อคนที่กำลังจะลาออก
สำหรับคนอื่น มันง่ายที่จะบอกว่า “คนอื่นไม่อดทน เลยต้องเปลี่ยนงานบ่อย”
คำถามคือ คนที่พูดแบบนั้น รู้ได้อย่างไร? ว่าน้องๆ หรือ คนที่เขาลาออก เป็นเพราะเขาไม่มีความอดทน หรือ หนีปัญหา? หรือ คนที่พูดแบบนั้นอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน จึงกล้าที่จะพูดออกมา
ถึงจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หรือ เคยผ่านสถานการณ์คล้ายๆ กันมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจ หรือ รับรู้ความรู้สึกของคนที่ลาออกได้
การวิพากษ์วิจารณ์ โดยไม่รู้ หรือ ไม่เข้าใจ “ก็เท่ากับไปตีตรากล่าวโทษคนอื่น”
การเปลี่ยนงานบ่อย จึงไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร เพราะมันขึ้นอยู่กับเหตุผลของแต่ละคนนั่นเองเพราะคนที่เขาเปลี่ยนงาน เขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตาม คนนอกอาจจะฟังแล้วรับไม่ได้ หรือ ดูไม่เข้าท่า ก็ต้องเข้าใจว่ามันเรื่องของเขา เขาเลือกทางนี้แล้วก็ต้องเคารพการตัดสินใจ ไม่ใช่มาพูดลับหลัง
ในอีกมุมนึง “คนที่เขากล้าลาออก หรือ กล้าเปลี่ยนงานบ่อย”
เขาอาจจะมีความกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะรู้ตัวแล้วว่างานที่เคยทำ หรือ งานปัจจุบันมันอาจจะไม่ตอบโจทย์ หรือ ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ
เขาถึงต้องเลือก… ที่จะเดินออกมา ซึ่งอาจจะดีกว่าหลายๆ คน ที่ต้องทนทำงานอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบก็ได้
“เราไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือทั้งชีวิต ที่จะเอามาใช้เพื่อทนทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ”
เพราะทุกๆ นาทีที่เราสูญเสียไป เราไม่สามารถเอามันกลับมาไม่ได้ และ หากเราปล่อยเวลาให้ผ่านเนิ่นนานไปกับสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือ กับเรื่องที่เราไม่ชอบ เราอาจจะไม่สามารถกลับมาเริ่มต้นอะไรใหม่อีกก็เป็นได้
เพราะการทำแบบนั้นจะทำให้เรายิ่งกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ กลัวที่จะกล้าทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ กลัวที่จะลองผิดลองถูก และในที่สุดเราก็จะไม่เหลือพื้นที่แห่งความหวังอีกต่อไป
ฝากถึงคนอื่นๆ ที่มีนิสัยชอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ถ้าหากไม่รู้ข้อเท็จจริง หรือ ไม่เข้าใจอย่างแท้จริงในเรื่องของคนอื่น ก็จงอย่าออกความคิดเห็นเลยดีกว่า หากใครเขาจะเปลี่ยนงาน เขาก็ต้องมีเหตุผลของเขา ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะเข้าไปยุ่ง (เอาเรื่องตัวเองให้รอดเสียก่อนจะดีกว่า)
แอดมินขอฝากถึงคนที่ กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ จะต้องอดทนอีกนานแค่ไหน? ลองมองหาทางเลือกอื่นๆ บ้างจะดีไหม? ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเอง
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
การเปลี่ยนงานตอนที่มีอายุเยอะ ยังพอมีโอกาสไหม?
ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ เพราะกลัวว่าประวัติศาสตร์ที่ไม่ดีจะซ้ำรอยอีก