ความผิดพลาด หากเราเป็นคนก่อขึ้น และถ้าความผิดพลาดนั้น มันสร้างความเสียหายให้กับคนอื่น และ บริษัท เราจะกล้ายอมรับความผิดไหม?
“เวลาเราทำงานผิดพลาด แต่ไม่มีใครรู้ เรารู้สึกอย่างไร? และ เราจะบอกคนอื่นไหม ว่าเราทำพลาด?”
คงมีอีกมากมายหลายคำถาม อาทิเช่น เวลาเราทำงานผิดพลาด และ ถ้าเจ้านายรู้ เรารู้สึกอย่างไร? และ ถ้าความผิดพลาดนั้น ทำความเสียหายให้กับบริษัท เราจะทำอย่างไร?
สำหรับคนทำงาน ทุกๆ การทำงานย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ทุกๆ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น มันย่อมมีผลลัพธ์ที่ตามมาแตกต่างกัน อาจจะเกิดความเสียหายเล็กน้อยกับตัวเราเอง หรือ คนอื่นๆ
หรือ อาจจะเสียหายลุกลามใหญ่โต และกระทบกับคนหมู่มากในที่ทำงานได้เช่นเดียวกัน ที่สำคัญ ในทุกๆ ความผิดพลาดที่เราเป็นคนก่อขึ้นมา เราเองได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง?
ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างงานระบบวิศวกรรมชื่อดังแห่งนึง
เจมส์ พนักงานน้องใหม่ เพิ่งเริ่มทำงานกับที่นี่ได้ราวๆ เกือบๆ ปี หน้าที่ความรับผิดชอบของเจมส์ คือ การออกแบบและการประเมินราคาโครงการ
เป้าหมายของงานของเจมส์ ก็คือจะต้องหาวิธีในการออกแบบให้ตรงตามข้อกำหนดของโครงการและต้องทำราคาออกมาให้ดีที่สุด หมายถึง ต้องชนะคู่แข่งทั้งในเรื่องของการออกแบบและราคา
เพราะในวงการนี้ มีจำนวนคู่แข่งที่ชอบตัดราคาเยอะมาก ดังนั้นคนที่มีความสามารถในเรื่องการออกแบบ และการประเมินราคาโครงการ จึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความที่เจมส์ถึงแม้จะเด็กกว่า พี่ๆ คนอื่นๆ ในแผนก แต่ด้วยผลงานที่โดดเด่น เขาช่วยให้ทีมงานขายของบริษัทได้งานใหญ่ๆ มาหลายงานติดๆ กัน จึงทำให้ เจมส์ เป็นคนที่หลายคนโปรดปราน และ อยากให้เขาออกแบบและทำราคาให้
เพราะเหตุนี้เอง ทำให้เจมส์ ต้องเจอกับปริมาณงานที่มากมาย หลั่งไหลมาจากทีมงานขายโครงการ ทำให้เจมส์ แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธจำนวนงานที่มากขึ้น ผลที่ตาม ทำให้เขาต้องทำงานหามรุ่ง หามค่ำ เพื่อที่จะให้งานทุกงานที่ผ่านเข้ามาแล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด
อยู่มาวันนึง ในระหว่างที่เจมส์ กำลังง่วนกับการทำราคาโครงการนึงอยู่
โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ลูกค้าโครงการใหญ่โครงการนึงโทรมา บอกกับเขาว่า ทางบริษัทของเขาชนะการประมูลได้งานนี้ไป แต่ลูกค้าก็อดสงสัยไม่ได้ ก็เลยถามเจมส์ว่า “ทำไมงานนี้ ถึงทำราคาออกมาได้ต่ำมาก ต่ำกว่าคนที่ได้ที่สองถึง 15%”
เจมส์ตอบกลับไปว่า “เหรอครับ อาจจะเป็นเพราะว่ารายที่สอง เขาเผื่อต้นทุนอื่นๆ หรือ มีต้นทุนที่สูงกว่าทางเรามั้งครับ”
ลูกค้าก็ตอบกลับมาว่า “อืม แต่ก็ไม่น่าจะถูกกว่าเยอะนะครับ แต่ก็เอาเถอะ ยินดีด้วยนะครับ งั้นฝากแจ้งทางทีมขายโครงการให้เตรียมตัวทำสัญญาของโครงการนี้กันเลยนะครับ”
“ได้เลยครับ ขอบคุณมากนะครับ”
จากคำพูดของลูกค้า ทำให้เจมส์กลับมาฉุกคิด “รึว่าจะมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น”
ด้วยความสงสัย เจมส์ก็เปิดไฟล์ของโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อจะดูรายละเอียด และแล้วเขาก็พบบางสิ่งบางอย่างที่ผิดไป “แย่แล้ว เราคำนวณผิดไปเยอะเลย” เจมส์ประเมินต้นทุนของโครงการนี้ผิดพลาดอันเนื่องมาจากไม่ได้ทวน หรือ ตรวจทานสูตรคำนวณให้ละเอียด
พวกเราอาจจะคิดว่างานแบบนี้ต้องมีผิดพลาดบ้างถือเป็นเรื่องปรกติ แต่การผิดพลาดในกรณีของเจมส์ครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป ด้วยสูตรคำนวณที่ผิดทำให้เจมส์ประเมินราคาผิดไปเยอะเลย ส่งผลทำให้โครงการนี้ขาดทุนไปเกือบๆ ห้าล้านบาท
ตอนนี้เจมส์รู้แล้ว ว่าเขาเองที่เป็นต้นเหตุของปัญหาของงานนี้ แต่เขาควรทำอย่างไรดี?
ทางเลือกแรก
เจมส์คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก เขาคนว่าเขาตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์นี้
เพราะเขามองว่า ทีมงานขายโครงการนี้ คือคนผิดที่เลือกเขาให้ทำงานนี้ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่า เขาก็ทำงานหนักมาก เขาต้องทำหลายๆ โครงการในเวลาเดียวกัน จนทำให้ผลที่ออกมาเกิดความผิดพลาดและความเสียหายแบบนี้
และเขาก็ทำงานออกแบบประเมินราคามาหลายงานแล้ว ไม่เคยพลาดแบบนี้มาก่อน แต่เป็นเพราะทีมขายโครงการที่ทำให้เขาต้องมาเจอกับปัญหาในเรื่องนี้ หัวหน้าของเขา ก็ผิดเช่นกัน ที่ไม่เคยหาทางช่วยแบ่งเบาปัญหาในเรื่องของปริมาณงานที่เขาได้รับจากทีมงานขายโครงการหลายๆ ทีม นอกจากนี้เพื่อนร่วมงาน หรือ พี่ๆ ในทีม ก็ไม่เคยเลยที่จะยื่นมือมาช่วยเหลือเขา ในยามที่เขาต้องทำงานหนัก
เขารู้สึกไม่พอใจ และ เกลียดคนรอบตัวทุกคนมาก ที่ทำให้เขาต้องมาเจอปัญหานี้ ซึ่งปัญหาเรื่องนี้อาจจะมีผลทำให้หน้าที่ การงาน ของเขาสั่นคลอนได้
เจมส์ จึงเลือกที่จะปกป้องตนเอง มุ่งเน้นแต่ตนเองเป็นสำคัญ เขาเลือกที่จะไม่ยอมรับความผิด โดยโยนความผิดไปให้คนอื่น (ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้ ว่าตนเองนั่นแหละทำผิดพลาด แต่ไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายชื่อเสียงที่เขาอุตส่าห์สะสมมานาน)
ทางเลือกที่สอง
เจมส์ เมื่อรู้แล้วว่า ตนเองคือ คนที่ทำผิดพลาด เขาเริ่มต้นด้วยการนึกถึงผลที่ตามมา มีใครบ้างที่จะต้องเดือดร้อน กับความผิดพลาดของเขาในครั้งนี้
ฝ่ายผลิต ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายติดตั้ง จะต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะต้นทุนในการทำโครงการมันผิด งบประมาณมันไม่เพียงพอต่อการทำงาน พวกเขาอาจจะต้องเหนื่อยแน่นอนในการหาวิธีการมาแก้ไขปัญหานี้
จัดซื้อ ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย เพราะงบต้นทุนของโครงการนี้อาจจะไม่พอในการจัดซื้อ จัดจ้าง อาจจะต้องทำเรื่องขอผู้บริหารเพื่อของบประมาณเพิ่มเติม
หัวหน้า ก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย กับปัญหาที่เกิดขึ้นกับหลายๆ ฝ่าย ที่เกิดจากความผิดพลาดที่เจมส์เป็นคนก่อขึ้น
และ เจมส์ กำลังคิดต่อไปว่า ถ้าหากเขาปฏิเสธไม่รับงานนี้จากลูกค้า เพราะงานขาดทุน จะดีไหม? แต่คิดไปก็พบว่าทำไม่ได้เพราะ ผลเสียที่ตามมาคือ ลูกค้าจะริบเงินประกันการประมูล และ อาจจะแบล็คลิสต์ บริษัทของเขาไปเลย ไม่ให้ร่วมงานประมูลในอนาคต ซึ่งความเสียหายที่ตามมา มันมากกว่างานนี้ที่ขาดทุนเยอะเลย
เจมส์ คิดประมวณผลถึงความเสียหายในทุกๆ ด้าน รวมไปถึงได้คิดวางแผนรับมือกับปัญหาบางเรื่องเอาไว้ อย่างน้อยก็พอที่จะบรรเทาปัญหาเรื่องการขาดทุนของโครงการนี้ไปได้บ้าง
เจมส์ รวบรวมความกล้าของเขา และตัดสินใจ เดินไปบอกหัวหน้าถึงเรื่องความผิดพลาดของงานนี้ที่เขาได้ก่อขึ้น พร้อมกับการนำเสนอแผนการแก้ปัญหาแบบภาพรวมเพื่อไปอธิบายให้หัวหน้ารับทราบด้วย
เจมส์ เลือกที่จะพูดความจริง เพราะเห็นถึงผลกระทบที่มีต่อคนอื่น และ บริษัทเป็นสำคัญ เขาเลือกที่จะยอมรับความผิด ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้ว่าเรื่องนี้อาจจะทำลายชื่อเสียงที่เขาสะสมมานาน แต่เขาเลือกทางที่เขารู้สึกสบายใจที่สุด ถึงแม้ว่า ผลลัพธ์ที่ตามมาเขาอาจจะถูกลงโทษได้
ถ้าเราเป็นเจมส์ เราจะเลือกทางไหน?
อย่างที่บอกไว้ในตอนต้น ทำงานก็ย่อมเจอปัญหาบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความไม่ธรรมดาก็คือ ถ้าเราต้องเจอปัญหา หรือ เราเป็นผู้ร่วมก่อปัญหา เราจะเลือกรับมือแบบไหน?
อย่างในกรณีของเจมส์ ทั้งสองแบบ แสดงให้เห็นพฤติกรรม ที่มาจากทัศนคติ 2 ประเภท คือ
ถ้าเลือกแบบแรก นั่นก็คือ เจมส์ กำลังอยู่ในโหมด Inward Mindset เขามองว่าทุกคนรอบตัวเขา ทำให้เขาต้องตกเป็นเหยื่อของปัญหานี้ แทนที่เจมส์ซื่อสัตย์กับตัวเองด้วยการยอมรับผิด แต่ก็ไม่ทำ
เขาเลือกที่จะทรยศตัวเอง (Self-Betrayal) ด้วยการหาเหตุผลต่างๆ นาๆ มาเข้าข้างตนเอง เช่นมองว่าตนเองสำคัญต่อองค์กร และผลักปัญหา หรือ ความรับผิดชอบต่อปัญหานี้ไปให้คนอื่นๆ ซึ่งการทำแบบนี้ ในท้ายที่สุด ก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวเจมส์เอง หรือ คนอื่นๆ รวมถึงบริษัทเลย
เพราะตอนนี้ปัญหาได้เกิดขึ้นแล้ว หากมีแต่คนที่หลีกเลี่ยง และโยนปัญหาใส่กัน กลายเป็นว่าทั้งทีม หรือ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง กลายเป็นอยู่ในโหมด Inward Mindset กันหมด ผลคือ ปัญหามันก็ไม่มีทางจบ และ อาจจะบานปลายหนักไปกว่าเดิมอีก เพราะทุกคนเกิดความแตกแยก ไม่สามัคคี และ ไม่ช่วยเหลือกัน มีแต่เสียกับเสีย
ถ้าเลือกแบบที่สอง นั่นก็คือ เจมส์ กำลังอยู่ในโหมด Outward Mindset เขาเห็นความสำคัญของคนอื่น เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปกับความผิดพลาดของเขา
เขาเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และ ได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาบางส่วน เพื่อแลกกับ ความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นๆ คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และ หัวหน้าของเขา
เจมส์ เริ่มต้นด้วยทัศนคติที่เป็นบวกต่อปัญหา และ เร่ิมต้นเข้าหาผู้อื่นด้วย Outward Mindset คนอื่นๆ ก็ย่อมยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน การเริ่มต้นเข้าหาผู้อื่น ด้วย Outward Mindset ก็สามารถทำให้คนอื่น กลายเป็น Outward Mindset ได้เช่นกัน
ดังนั้น ปัญหานี้ มันจะไม่ใช่ ความผิดพลาด ที่เขาต้องมารับมือคนเดียว เขายังมีเพื่อนๆ หัวหน้า คอยให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ผลงานวิจัยในองค์กรต่างๆ ในต่างประเทศ เช่น กรณีศึกษาของ Ford Motor ที่ใช้ Outward Mindset ในการทำงาน ส่งผลทำให้ปัญหาและ ความผิดพลาด ในองค์กรลดลงเป็นหลายเท่าตัว ความสัมพันธ์ของทีมงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และ บริษัทที่เคยประสบภาวะขาดทุน สามารถพลิกมาเป็นกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้นถ้าอยากจะสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรที่มี Outward Mindset เราก็ต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไม เราจึงควรต้องมี Outward Mindset
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Outward Mindset สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
ลาออกเพราะเจ้านาย กลายเป็นเหตุผล ที่ทำให้หลายคนจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน
Inward Mindset ของพนักงาน ที่ทำให้บริษัทอาจจะต้องปิดกิจการ
Source:
https://arbingerinstitute.com/Landing/TheOutwardMindset.html