ช่างแม่ง เป็นคำพูดที่อาจจะดูไม่เพราะ แต่คำนี้ช่วยให้เราปล่อยผ่านหรือปล่อยวางกับปัญหาและอุปสรรคได้ เป็นคำพูดที่พูดออกมาเพื่อที่จะบอกว่าเราพร้อมแล้วนะที่จะก้าวเดินต่อไป
ถ้าถามว่าคำศัพท์แบบไหนที่ดึงดูดเด็กสมัยนี้ให้หยิบหนังสือขึ้นมาดูก็คงเป็นแนวเดียวกับ Not giving a fuck หรือ ช่างแม่ง อย่างที่หนังสือเล่มนี้ทำแน่ๆ เพราะต้องบอกเลยว่าไม่ได้ล้อเล่นในเรื่องที่เกี่ยวกับความนิยมของหนังสือเล่มนี้เลยสักนิด เพราะ The Subtle Art of Not Giving a Fuck ด้วยชื่อหนังสือเองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแถมดึงดูดอย่างรุนแรงด้วยการใช้คำที่น่าสนใจ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Mark Manson ตอนนี้มียอดขายมากกว่า 2 ล้านเล่มทั่วโลก ติดชาร์ตหนังสือยอดนิยมของ Amazon 37 สัปดาห์รวดอีกด้วย
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เพราะมีประโยคนี้จึงทำให้ความสอดรู้สอดเห็นของมนุษย์จึงกลายเป็นเรื่องปกติ เราจึงอยากรู้เรื่องของคนอื่น เรายังแสวงหาความรู้ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี และค้นหาความรู้มาด้วยวิธีที่ถูกและผิด ซึ่งบางครั้งสิ่งที่เราได้กลับมาก็ไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการจน แถมอาจจะสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หรือบางครั้งก็ได้รับความเจ็บปวดจากข้อมูลก็วิ่งเข้ามาหาเราเอง ทั้งๆ ที่เราก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเฉยๆ เท่านั้นเอง เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้เราจึงต้องรู้จักศิลปะของการ “ช่างแม่ง“
“อย่าพยายามเป็นใครที่ไม่ใช่คุณ”
คำแนะนำในการช่วยพัฒนาตนเองส่วนใหญ่ที่เราได้รับในชีวิตก็คือ จงจดจ่อกับสิ่งที่เราขาด พวกเขาพูดถึงสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ความล้มเหลวและข้อบกพร่องของเรา และเน้นแต่เรื่องพวกนั้นให้เราได้รับรู้ สังคมบอกให้เราคิดบวกมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นตลอดเวลา เพราะมันคือสิ่งที่ถูกต้อง และเพื่อให้เป็นบวกตลอดเวลา เราต้องวนลูปข้อความคิดบวกนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ได้คิดบวกจริงๆ ถ้าหลักการที่บอกว่าการทำอะไรซ้ำๆ แล้วดี เราหลายๆ คนก็คงมีชีวิตดีขึ้นกันไปตั้งนานแล้ว เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับประกันว่าถ้าจะคิดบวกและมีชีวิตที่ดีขึ้น
“กุญแจสำคัญในการมีชีวิตที่มีความสุขและมีสุขภาพดี คือ การไม่ใส่ใจในทุกๆ เรื่องมากเกินไป แต่ให้เลือกสนใจเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆ”
เรามักใส่ใจกับสิ่งที่ไม่สำคัญมากเกินไป และสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง ผู้เขียนเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “The Feedback Loop from Hell” พูดง่ายๆ ก็คือ เรารู้สึกบางอย่างด้วยเหตุผลบางอย่างซึ่งไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเลย และการที่เรามีความรู้สึกนี้จะทำให้เรารู้สึกแย่ลงไปอีก วิธีแก้ปัญหา Feedback Loop from Hell นั้นง่ายมาก คือ อย่ากังวลกับประสบการณ์เชิงลบของเรา เช่น ความวิตกกังวล ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความกลัว เพราะมันไม่เป็นไรที่เราจะมีความรู้สึกเหล่านี้
“ไม่เป็นไร ที่เราจะรู้สึกแย่ในบางครั้ง”
การตำหนิตัวเองเพราะกำลังโดนความรู้สึกแย่บางอย่างโจมตีจะยิ่วทำให้ทุกอย่างแย่ลง วุฒิภาวะคือไม่ใช่การรับมือได้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่มันคือความสามารถในการดูแลเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น การทำให้เข้าใจง่ายนี้ทำให้เรามีความสุขอย่างสม่ำเสมอ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะรู้สึกสบายใจกับความแตกต่าง วิธีสงบสติอารมณ์เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก และวิธีเลือกอย่างถี่ถ้วนกับสิ่งที่คุณสนใจ
“ความสุขเกิดจากการแก้ปัญหา”
ความจริง ก็คือความสุขเป็นรูปแบบหนึ่งของการกระทำ ไม่ใช่สิ่งที่มอบให้คุณอย่างเฉยเมย ไม่ใช่สิ่งที่คุณค้นพบอย่างอัศจรรย์ในหนังสือ เราหลงใหลในความคิดที่ว่าการมีความสุขจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทั้งหมดของเราได้อย่างถาวร แต่ในความเป็นจริง เราต้องแก้ปัญหา จะได้ความสุขมาเราก็ต้องดิ้นรน และมาจากการแก้ปัญหาและลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
“ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณพบปัญหาที่คุณชอบและสนุกกับการแก้ไขมันเท่านั้น”
เราทุกคนต้องการสิ่งดีๆในชีวิต ทุกคนต้องการที่จะรู้สึกดีตลอดเวลา ผู้คนไม่เคยนึกถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาพอใจ สิ่งที่พวกเขาเต็มใจจะต่อสู้เพื่อมัน เราแค่ต้องการผลตอบแทน ไม่มีใครเต็มใจที่จะผ่านกระบวนการนี้ พวกเราส่วนใหญ่ไม่ต้องการดิ้นรนและพยายาม การต่อสู้จึงเป็นกุญแจสู่ความสุข เราเติบโตจากปัญหา แม้เราอาจจะพบกับความผิดหวังมากมาย ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน มันก็ย่อมมีปัญหามากมายรอเราอยู่ ประเด็นคือ เราต้องไม่วิ่งหนีจากปัญหา แต่ให้ค้นหาปัญหาที่เราชอบแก้แทน
“ไม่มีใครพิเศษและไม่มีใครได้รับการยกเว้นเป็นการพิเศษ”
การพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเองให้สูงพอที่ให้ความรู้สึกที่ดี และคิดบวกเกี่ยวกับตัวเองได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1960 ผลการศึกษาพบว่าคนที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง ปัญหาน้อยลงและมีชีวิตที่ดีขึ้น ต่อมานักวิจัยได้ข้อสรุปง่ายๆ ว่าเราไม่ได้พิเศษทั้งหมด มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรู้สึกดีกับตัวเองเลย หากเราไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น ความทุกข์ยากและความล้มเหลวมีประโยชน์เสมอ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการพัฒนาผู้ใหญ่ให้ประสบความสำเร็จและมีจิตใจเข้มแข็ง
“คนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง มักจะรู้สึกดีกับตัวเอง พวกเขารู้สึกว่ากำลังทำสิ่งที่พิเศษ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำก็ตาม”
ข้อเสียที่สำคัญของขบวนการเห็นคุณค่าในตนเองสูงที่หยั่งรากลึกในสังคมของเรา ก็คือ เราต้องการให้เรารู้สึกดีตลอดเวลาจึงยกยอตัวเองเอาไว้อย่างสูงส่ง เรื่องของความนับถือตนเองสูงกำลังบอกให้เรารู้สึกพิเศษตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองเราเองได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความล้มเหลว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาของเราคือ ต้องยอมรับว่าเราและปัญหาของเราไม่ได้พิเศษไปกว่าปัญหาของคนอื่นเลย
“ความธรรมดาเป็นสิ่งที่คนเราควรขอบคุณที่สุด”
หลายคนกลัวที่จะยอมรับความธรรมดา เพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีวันทำสิ่งใดๆ ได้สำเร็จ ไม่เคยปรับปรุงตัวเอง และพวกเขายอมรับไม่ได้ที่จะบอกว่าชีวิตของพวกเขานั้นแสนธรรมดา แต่พวกเขามีความสามารถไม่พอจะทำให้มันพิเศษไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามความจริงก็คือความรู้และการยอมรับการดำรงอยู่ทางโลกของเราเองจะทำให้เราเป็นอิสระ ทำสิ่งที่เราต้องการ โดยไม่ต้องมีความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นแทนที่จะมองว่าความธรรมดาเป็นสิ่งเลวร้าย เราจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง ให้ขอบคุณ และชื่นชมสิ่งเล็กๆ ในชีวิตเหล่านั้นแทนดีกว่า
“ความทุกข์เป็นองค์ประกอบสำคัญของความสุข”
ในฐานะมนุษย์เรามักจะเลือกที่จะอุทิศส่วนใหญ่ในชีวิตของเราให้กับสาเหตุที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์หรือทำลายเศษเสี้ยวความภาคภูมิใจบางอย่างในตัวเราเอง บางครั้งเรารู้ลึกลงไปว่าเราจะต้องทนทุกข์เพราะสิ่งที่ทำอยู่แต่เราก็ยังทำอยู่ดี เหตุก็เพราะว่าทุกข์นั้นมีความหมายบางอย่างสำหรับเรา และเพราะมันมีความหมายบางอย่าง เราจึงสามารถทนได้และอาจมีความสุขในความทุกข์ได้ด้วยซ้ำ
“แทนที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นลบ จงยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน”
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตามความทุกข์ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจริงอย่างหนึ่งก็คือการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นลบมักจะส่งผลย้อนกลับมาเสมอ ดังนั้นแทนที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นลบ จงยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน ใช้การตระหนักรู้ในตนเองเข้าสู้กับมัน Mark ผู้เขียนได้เปรียบเทียบการตระหนักรู้กับหัวหอมเอาไว้ เขาบอกว่าหัวหอมมีหลายชั้น และยิ่งลอกออกมากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งจะเริ่มร้องไห้ในเวลาที่ไม่เหมาะสมมากขึ้นเท่านั้น
- ชั้นที่ 1 ของหัวหอมนี้ คือ การรับรู้อารมณ์ของเราเองอย่างง่าย ฉันรู้สึกอย่างไร? อารมณ์นี้คืออะไร? “ฉันเสียใจ” “ตอนนี้ฉันรู้สึกมีความสุข” “ฉันเห็นแล้วเศร้า” เป็นเรื่องง่ายสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคน ค่อนข้างยากเพราะพวกเขามักจะปฏิเสธสิ่งที่รู้สึกอยู่เสมอ
- ชั้นที่ 2 คือ ความสามารถในการถามว่าทำไมเราถึงรู้สึกหรือมีอารมณ์แบบนั้น ทำไมฉันถึงรู้สึกอย่างนั้น ทำไมฉันถึงเศร้า ทำไมฉันถึงเป็นโรคซึมเศร้า? ค่านิยมส่วนตัวของเราประกอบขึ้นเป็นความสงสัย
- ชั้นที่ 3 คือ เหตุใดฉันจึงเห็นว่าสิ่งนี้สำเร็จหรือล้มเหลว ฉันจะรู้ความคิดตัวเองได้อย่างไร? ฉันใช้ตัวชี้วัดอะไรในการตัดสินตัวเองและคนรอบข้าง? ระดับนี้ต้องใช้การตั้งคำถามและความพยายามอย่างต่อเนื่อง และยากต่อการเข้าถึงแต่มันกลับเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะธรรมชาติของปัญหาถูกกำหนดโดยค่านิยมของเรา และคุณภาพชีวิตของเราถูกกำหนดโดยธรรมชาติของปัญหาของเรา
เห็นได้ชัดว่า การรู้ค่านิยมของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตของเรา เราต้องเปลี่ยนสิ่งที่เราให้คุณค่าและวิธีการที่เราวัดความล้มเหลวและความสำเร็จ หากเราต้องการเปลี่ยนวิธีมองปัญหาของเรา
“ไม่เป็นไรที่จะไม่มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา อารมณ์เชิงลบเป็นองค์ประกอบสำคัญของสุขภาพทางอารมณ์”
รับผิดชอบชีวิตของเราและยอมรับความไม่แน่นอน นั่นคือวิธีที่เราจะเพลิดเพลินไปกับการเติบโตและความก้าวหน้า การพัฒนาและการเติบโตส่วนบุคคลทั้งหมดเกิดขึ้นจากการตระหนักว่าเราแต่ละคนมีความรับผิดชอบต่อทุกสิ่งในชีวิตของเราโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง เราสามารถปรับปรุงตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเราตระหนักว่าเรามีความรับผิดชอบต่อทุกสิ่งในชีวิตของเรา ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร?
“ความแน่นอนเป็นศัตรูของการเติบโต”
ยอมรับความสงสัยและความไม่แน่นอนแทนที่จะมุ่งมั่นแสวงหาความแน่นอนในชีวิต เราควรค้นหาความสงสัยอย่างต่อเนื่อง สงสัยในความเชื่อของเราเอง สงสัยในความรู้สึกของเรา สงสัยเกี่ยวกับอนาคตที่อาจรอเราอยู่ เว้นแต่เราจะออกไปที่นั่นและสร้างมันขึ้นมาเอง เลิกพยายามทำให้ทุกสิ่งถูกตลอดเวลา ค้นหาช่วงเวลาที่เราผิดพลาดบ้าง ความก้าวหน้าและการเติบโตทั้งหมดเกิดจากความไม่แน่นอน คนที่เชื่อว่าพวกเขารู้ทุกอย่างไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย หากต้องการเรียนรู้บางอย่าง เราต้องยอมรับก่อนว่าเราไม่มีความรู้
“ความล้มเหลวเป็นหนทางไปสู่ความก้าวหน้า”
การปรับปรุงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับความล้มเหลวเล็กๆ น้อยๆ และขนาดของความสำเร็จของเราขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่เราล้มเหลวในบางสิ่ง มีคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องพรสวรรค์นั้นเกินจริง ใช่ มันเกินจริง เพราะความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเบื้องต้นของเรา ยิ่งกว่านั้นคือมันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำโดยทุ่มความพยายามลงไปเท่าไรต่างหากในการที่จะประสบความสำเร็จในบางสิ่งอย่างแท้จริง เราต้องเต็มใจที่จะล้มเหลวในการทำสิ่งนั้น ถ้าไม่เต็มใจที่จะล้มเหลว แสดงว่าเราไม่เต็มใจที่จะประสบความสำเร็จ
“ถ้าคุณติดอยู่กับปัญหา อย่ามัวแต่นั่งคิดเกี่ยวกับมัน เพียงแค่เริ่มทำงานกับมัน ไม่ว่าคุณจะไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่การทำงานง่ายๆ จะทำให้ความคิดที่ถูกต้องปรากฏขึ้นในหัวของคุณในท้ายที่สุด”
Mark ผู้เขียนได้คำแนะนำนี้มาจากครูสอนคณิตศาสตร์ของเขา การใช้คำแนะนำนี้ทำให้เขาพบว่าการกระทำไม่ใช่แค่ผลของแรงจูงใจเท่านั้น มันยังเป็นต้นเหตุและมันเกี่ยวข้องกับแรงบันดาลใจด้วย ดังนั้น หากเรารู้สึกว่าไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไรสักอย่าง ให้เริ่มด้วยการลงมือทำที่ละเล็กๆ น้อยๆ และพยายามสังเกตผลการกระทำของตัวอย่าง จากนั้นเราก็จะสามารถพยายามเก็บเกี่ยวผลของการกระทำเหล่านั้นเพื่อกระตุ้นตัวเองให้ลงมือทำต่อไปได้
“การปฏิเสธไม่ได้ผูกมัดคุณ มันปลดปล่อยคุณจากความไม่เห็นแก่ตัว คุณจึงสามารถจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุดได้”
การปฏิเสธเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญ มันทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น เพราะช่วยให้เราจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ หากเราไม่ปฏิเสธบางสิ่ง ให้ลองถามตัวเองว่าเรากำลังยืนหยัดเพื่อสิ่งนั้นใช่ไหม ตัวอย่างเช่น ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทั้งสองฝ่ายจะต้องสามารถปฏิเสธเรื่องเล็กน้อย หาเวลาเพื่อแยกแยะความแตกต่าง กำหนดขอบเขต และรับผิดชอบต่อปัญหาของตนเอง เมื่อนั้นจึงจะสามารถสร้างความไว้วางใจและการยอมรับอย่างแท้จริงได้
“เราควรใคร่ครวญการตายเป็นครั้งคราวเพื่อใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ มีความสุขและสมบูรณ์ที่สุด”
เรามักหลีกเลี่ยงการคิดเกี่ยวกับเรื่องความตายเพราะมันทำให้เรากลัว แต่ความตายเป็นแสงสว่างที่ใช้วัดความหมายของชีวิตทั้งมวล ถ้ามนุษย์เราไม่มีความตายเข้ามาเกี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างจะรู้สึกว่าไม่มีนัยสำคัญ ประสบการณ์ทั้งหมดเป็นไปตามอำเภอใจ ตัวชี้วัดและค่าทั้งหมดก็ไม่มีอะไรในทันใด การพิจารณาเกี่ยวกับความตายอย่างลึกซึ้งช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น หากเรากลัวความตายหรือเรายุ่งอยู่กับการทำให้แน่ใจว่าคนอื่นจะจำเราได้หลังจากที่เราจากไป
บทสรุป
ค่านิยมที่มีในสังคมของเรามักสอนให้คนคิดบวกโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ บทสวดเชิงบวกอย่างต่อเนื่องนี้สอนเราโดยไม่เจตนาให้พูดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เรารับทั้งหมดมาโดยไม่รู้ตัว หากเราต้องการมีชีวิตที่มีสุขภาพดีขึ้นและมีชีวิตที่พึงพอใจมากขึ้น เราต้องเริ่มสนใจเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริงๆ และไม่มีอะไรอื่น เราใส่ใจกับสิ่งที่ไม่สำคัญมากเกินไป และสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง และการที่มีความรู้สึกนี้ทำให้เรารู้สึกแย่ลงไปอีก
กุญแจสำคัญในการหลุดพ้น ก็คือ เลิกยุ่งเกี่ยวกับอารมณ์ด้านลบของเรา เช่น ความวิตกกังวล ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความกลัว เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีความรู้สึกเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกแย่ในบางครั้ง การเอาชนะตัวเองเพราะมีอารมณ์บางอย่างก็อาจจะไม่เกิดผลดีกับตัวเรา
โดยพื้นฐานแล้ว วุฒิภาวะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถในการดูแลเฉพาะสิ่งสำคัญเท่านั้น ความเรียบง่ายนี้ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง หากเราพยายามทำสิ่งต่างๆ มากเกินไปในชีวิต ซึ่งส่งผลให้มีแต่จะทำให้เกิดความเครียดและความเศร้าโศกเท่านั้น เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด เลือกโฟกัสกับสิ่งที่เราอยากใส่ใจจริงๆ และพัฒนาแนวทางการทำงาน ความรัก และชีวิตที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น
“หากคุณมีเงินไม่เพียงพอ คุณจะได้เรียนรู้วิธีที่ดีที่สุดในการสร้างรายได้ ถ้าคุณรู้สึก คุณไม่สวยพอ คุณยืนอยู่หน้ากระจกและย้ำว่าคุณสวย”
บทความแนะนำ :
Principles: Life and Work – หลักการในการดำเนินชีวิตและการทำงาน
IKIGAI – แนวคิดการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขที่ยั่งยืนสไตล์ญี่ปุ่น