ฝ่าวิกฤติด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืน กลายเป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยให้องค์กรยืนหยัดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง และ ความไม่แน่นอนได้
หากใครก็ตามที่คุ้นเคยกับ เอสซีจี บริษัทยักษ์ใหญ่อันดับต้นๆของไทย คงจะเคยได้ยินวลีที่ว่า
“ตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศเชื่อมั่นในคุณค่าของคน และถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม”
ซึ่งชาวเอสซีจี มักจะเรียกติดปากกันว่าอุดมการณ์ 4 อันเป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจ (Business Philosophy) ที่ยึดถือปฏิบัติ ถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่น นับตั้งแต่ก่อตั้งกิจการกว่า 100 ปี ซึ่งมีความหมายไม่ต่างจากหลักการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development
ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่า เอสซีจีจึงเป็นองค์กรธรุกิจไทยที่ขับเคลื่อนเรื่องของความยั่งยืนได้อย่างมีพัฒนาการ เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน และได้รับการยอมรับในระดับที่เรียกว่าเป็น “องค์กรต้นแบบด้านความยั่งยืน”
แอดมิน ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ และประธานร่วม คณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี ถึงการทำธุรกิจด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืนในแบบของเอสซีจี ที่นับวันจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ความยั่งยืนพาให้พ้นวิกฤต
คุณธนวงษ์ เล่าให้เราฟังว่าเอสซีจีให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยสะท้อนผ่านการประพฤติปฏิบัติอุดมการณ์ 4 ที่อยู่ใน Mindset ของคนทำงานทุกคน ซึ่งได้รับการส่งต่อให้พนักงานจากรุ่นสู่รุ่น และเห็นผลตลอดระยะเวลากว่า 100 ปี ที่ผ่านมา
เอสซีจี ยังเป็นบริษัทไทยบริษัทแรกและเป็นบริษัทแรกๆของอาเซียน ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิก DJSI หรือ Dow Jones Sustainability Index มาตั้งแต่ปี 2004 การได้รับการประเมินจาก DJSI ซึ่งเป็นดัชนีความยั่งยืนระดับโลก สะท้อนถึงการได้รับการยอมรับจาก stakeholder กลุ่มต่างๆ และเป็นการเดินทางไปสู่การมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
เอสซีจี ได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วหลายต่อหลายครั้งว่าการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ช่วยนำพาองค์กรให้อยู่รอดได้แม้ในภาวะวิฤกต เห็นได้ชัดจากกรณี COVID-19 ในรอบแรกเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งมีผลกระทบในวงกว้าง การดำเนินธุรกิจในช่วงนั้นของเอสซีจีหลายอย่างเป็นสิ่งที่ได้เตรียมไว้แล้ว ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น การบริหารความเสี่ยง การบริหารความต่อเนื่อง หรือการดูแลพนักงาน ลูกค้า และดูแลสังคมไปพร้อมกัน
Stakeholder Engagement คือหัวใจ
ในการดำเนินงานในช่วง COVID คุณธนวงษ์ บอกกับเราว่า เอสซีจีให้ความสำคัญกับการดูแลให้พนักงานทำงานอย่างปลอดภัย โดยให้มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากกว่า 90% และใช้เทคโนโลยี หรือ Digital Platform เข้ามาช่วยในการทำงาน เช่น Virtual Dashboard หรือมีการใช้ Virtual Workshop ที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าเราทำงานใกล้กัน แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน ทำให้ความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ในส่วนของลูกค้า เอสซีจีช่วยดูแลการบริหารจัดการของลูกค้าในช่วง COVID และอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องล็อคดาวน์ เช่น ช่วยทำ Template Check Sheet นอกจากนี้ เอสซีจียังร่วมดูแลสังคม โดยคิดค้นนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อใช้งานในสถานการณ์ COVID มากกว่า 30 นวัตกรรม เช่น การพัฒนานวัตกรรมห้องตรวจหาเชื้อความดันลบ (Modular Screen Unit) ห้องคัดกรองเชื้อ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์
ล่าสุด เอสซีจีได้ออกแบบและส่งมอบเตียงสนามกระดาษเอสซีจีพี (SCGP Paper Field Hospital Bed) ที่ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล 100% ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ เพื่อรองรับการใช้งานของสรีระของคนเอเชีย ให้กับโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ เพื่อช่วยยกระดับความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และผู้ใกล้ชิด ได้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งการดำเนินงานต่างๆ เหล่านี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะในภาวะปกติ เอสซีจีให้ความสำคัญกับ การสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือที่เรียกว่า Stakeholder Engagement อย่างสม่ำเสมอ ทำให้รับรู้ถึงสิ่งที่แต่ละกลุ่มให้ความสำคัญและสามารถตอบสนองความต้องการได้ทันท่วงที แม้ในภาวะวิกฤต
เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน
ปัจจุบัน เอสซีจีได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างชัดเจน โดยจะขับเคลื่อนองค์กรที่มีเป้าหมายสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way คือการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดตั้งแต่การผลิต การใช้ และวนกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นวัตถุดิบใหม่ #ใช้ให้คุ้ม #แยกให้เป็น #ทิ้งให้ถูก ขับเคลื่อนผ่านแนวทางการดำเนิน 3 ธุรกิจหลักของ เอสซีจี คือ
- ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีผสมผสานกับนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาสินค้าบริการและบริการ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ฉลาก “SCG Green Choice” ตั้งแต่การผลิตสินค้าที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิล ลดของเสียในกระบวนการผลิต ลดการใช้พลังงานและนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ สู่ “Green Living and Green Society” รวมถึงการนำของเสียมาสร้างประโยชน์ให้กับสังคมหรือที่เรียกว่า “Turn Waste to Wealth”
- ธุรกิจเคมิคอลส์ มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ การออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่เพิ่มการรีไซเคิล ได้มากขึ้น เช่น Mono-materials การพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลของเสียกลับมาเป็นวัตถุดิบในสัดส่วนที่สูงขึ้น การส่งเสริมการคัดแยก และรวบรวมของเสียกลับมาใช้ใหม่ ผ่านชุมชน Like (ไร้) ขยะ และการจัดทำธนาคารขยะ โดยใช้ Digital Platform เป็นเครื่องมือในการจัดการ
- ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถกลับมารีไซเคิลหรือใช้ซ้ำได้ และบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มสัดส่วนการเก็บกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตอย่างครบวงจร
ร่วมมือกับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน
นอกจากการขับเคลื่อนความยั่งยืนภายในองค์กรแล้ว คุณธนวงษ์ เล่าให้ฟังว่าเอสซีจีให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ให้กับสังคมและการทำงานร่วมมือทุกภาคส่วนด้วย โดยได้จัดงาน SD Symposium อย่างต่อเนื่อง มานานกว่า 10 ปี
ซึ่งในระยะ 2-3 ปีหลัง เอสซีจีจะเน้นเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยเล็งเห็นว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถทำได้ทุกภาคส่วน ไม่ใช่เฉพาะภาคธุรกิจ โดยยังคงให้ความสำคัญกับกระบวนการ Stakeholder Engagement ที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมาแบ่งปันประสบการณ์ รับฟัง นำเสนอความคิด และร่วมกันขับเคลื่อน ซึ่งมีประโยชน์มาก นอกจากนี้ยังทำงานภายใต้กรอบของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 17 ข้อ เพื่อให้เชื่อมโยงและทำให้เห็นการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนที่ชัดเจนมากขึ้น
เดินหน้าอย่างยั่งยืนในแบบ SCG Way
เอสซีจี มองว่าแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึง ESG หรือธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Environmental) ควบคู่กับการดูแลสังคม (Social) และมีธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ (Governance) เป็นเทรนด์โลกที่ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเอสซีจีจะนำมาผสานให้เป็นเนื้อเดียวกับกลยุทธ์ในแต่ละธุรกิจ (ESG Integration) ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพราะทั่วโลกโดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนส่วนบุคคล ต่างเชื่อมั่นว่า ธุรกิจที่มีการนำแนวทาง ESG ไปปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ คือธุรกิจที่จะสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ฟันฝ่าทุกวิกฤตที่ไม่คาดฝัน
ท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงอย่างไร เอสซีจียังคงยืนหยัดเดินหน้าในแนวทางนี้ โดยได้กำหนดงบลงทุนในสัดส่วนมากถึง 20–30% เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจในทิศทางของความยั่งยืน ส่วนงบอีก 15% จะเน้นไปที่การผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งงบประมาณนี้ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นรูปธรรมในแผนการดำเนินงานของ 3 ธุรกิจหลัก ตัวอย่างเช่น ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่จะเพิ่มความสำคัญการพัฒนานวัตกรรมสินค้าตอบโจทย์ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้บริโภค สอดคล้องกับกระแสใส่ใจสุขภาพ ผู้บริโภคทำงานที่บ้านมากขึ้นที่มีการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยมากกว่า
การสร้างบ้านใหม่ ขณะเดียวกัน จะปรับรูปแบบร้านค้าไปสู่อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) มากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ขณะที่ ธุรกิจเคมิคอลส์ จะให้ความสำคัญเรื่องนวัตกรรมเคมีภัณฑ์รีไซเคิล สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ยังคงมุ่งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในทุกวิกฤตมีโอกาส รวมถึงความท้าทายในการผลักดันการเติบโตอยู่เสมอ หากเรามองเห็น ย่อมสามารถช่วงชิงความได้เปรียบก่อน ดังเช่นเอสซีจีที่ได้กำหนดทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ให้พร้อมรับมือการเปลี่ยนผ่านไปสู่ ยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ได้อย่างชัดเจน ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถขับเคลื่อนองค์กรให้ฟันฝ่าวิกฤตได้เท่านั้น แต่ยังคงเป็นผู้นำความยั่งยืน ที่น่าจับตามอง
วิดีโอ บทสัมภาษณ์ คุณธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ และประธานร่วม คณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี
“ฝ่าวิกฤติด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืน ในแบบของ SCG Way”
บทความแนะนำ : องค์กรยั่งยืน กับการเดินทางเข้าสู่ 100 ปี กับ ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)