องค์กรยั่งยืน ความหมายส่วนใหญ่ที่คนทั่วไปจะนึกถึง ก็คือ การเป็นองค์กรที่ยืนหยัดอยู่ได้อย่างยาวนาน เพราะสะท้อนถึงความมั่นคงหรือการดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
ในบ้านเรา ก็มีหลายองค์กร ที่เป็น องค์กรยั่งยืน ดังเช่น ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดยในช่วงที่ผ่านมา แอดมินมีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
คุณวิรัตน์ เล่าให้ฟังว่า ในปี 2564 นี้ ไทยออยล์ฉลองครบรอบ 60 ปีของการทำงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน (Energy Security) ของประเทศ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชุมชนและสังคมไทยตลอดมา รวมทั้งเป็นบริษัทไทยที่อยู่ในระดับ Global Industrial Leader ของดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ (Dow Jones Sustainability Index: DJSI) ในอุตสาหกรรมการตลาดและการกลั่นน้ำมันและก๊าซ เป็นปีที่ 6
ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจที่เกิดจาก Commitment และวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่จะรักษาให้เป็นองค์กรอยู่ได้อย่างยาวนาน และทำให้ไทยออยล์เป็นองค์กรที่ยืนยาว มั่นคง ต่อเนื่องไปในอนาคตสู่องค์กร 100 ปี
เป้าหมายความยั่งยืนของไทยออยล์
เมื่อถามถึงคำจำกัดของ “ความยั่งยืน” ในมุมมองของไทยออยล์ คุณวิรัตน์ บอกว่า โดยส่วนตัวมองว่าความยั่งยืน มีความหมายครอบคลุมถึงคำ 3 คำ คือ
“มั่นคง มั่งคั่ง และ ยั่งยืน”
และ ได้อธิบายต่อว่า มั่นคง หมายถึงบริษัทจะต้องสามารถดำเนินกิจการและเจริญเติบโตได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม หรือที่เรียกว่า Sustainable Growth มั่งคั่ง ก็คือ ธุรกิจต้องดำเนินไปได้ด้วยดี มีกำไรที่ดี และนำกลับไปให้ ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ทั้งคู่ค้า ลูกค้า พนักงาน ชุมชน รวมทั้งภาครัฐ โดยต้องพยายามรักษาสมดุลของความสุขหรือประโยชน์ของ ผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งหมด และยั่งยืน คือเป็นองค์กรที่อยู่ได้อย่างยืนยาว
ยั่งยืนแบบไทยออยล์
การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของไทยออยล์ แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะได้แก่
1) การดำเนินงานในกระบวนการธุรกิจ กรณีของไทยออยล์เป็นธุรกิจการกลั่น ก็จะให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำมัน ก๊าซ หรือน้ำ ในลักษณะของ 3R (Reduce, Reuse, Recycle) เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
2) การขยายธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG คือ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการมีธรรมาภิบาล (Governance) ซึ่งปัจจุบันไทยออยล์มีการลงทุนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า โครงการพลังงานสะอาด หรือ CFP (Clean Fuel Project) เพื่อลดการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยก๊าชเรือนกระจก เช่น การยกเลิกการผลิตน้ำมันเตา และเปลี่ยนให้เป็นการผลิตน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือการนำขยะมาผลิตเป็นไฟฟ้าให้มากขึ้น
3) การนำองค์ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับพลังงานของไทยออยล์ ไปสร้างสรรค์คุณค่าให้กับสังคม เน้นที่การพัฒนาคุณภาพชีวิต (Quality of Life) ของชุมชนและสังคม ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Sustainable Energy for Health Care ที่นำพลังงานเข้าไปช่วยตอบโจทย์คุณภาพชีวิต เช่น การติดโซลาร์เซลล์ในโรงพยาบาลที่แหลมฉบัง และ เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของโรงกลั่นไทยออยล์ และ โรงพยาบาล ในพื้นที่ห่างไกลในจังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมกันแล้วประมาณ 200 กิโลวัตต์
ฝ่าฝันวิกฤติ เพื่อรักษาความยั่งยืน
60 ปีที่ผ่านมาของไทยออยล์ ไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ คุณวิรัตน์ บอกว่านับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการ แม้ว่าไทยออยล์จะถือเป็นโรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความสามารถมากที่สุดในประเทศ แต่ความผันผวนของธุรกิจก็มีอยู่ตลอด หรือที่วงการพลังงานเรียกว่า Energy Disruption ทำให้ไทยออยล์ไม่สามารถทำธุรกิจเฉพาะโรงกลั่นเพียงอย่างเดียว หรือแม้แต่สถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร ทำให้บริษัทต้องมีการปรับตัว คือ
1) ต้องมีความคล่องตัว (Agile)
2) ต้องมีความยืดหยุ่น (Flexibility)
3) ต้องมีความอดทนต่อการเปลี่ยนแปลง (Resilience) ของตลาด
โดยนำมาสู่วิสัยทัศน์ล่าสุดของไทยออยล์ตอนนี้ คือ การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตด้วยพลังงานและปิโตรเคมี (Empowering Human Life through Sustainable Energy and Chemicals)
และกลยุทธ์ที่จะเร่งเครื่องการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่เรียกว่า Accelerate the reform คือ การกระจายแหล่งกำไรให้มีความหลากหลาย แปลว่าไทยออยล์จะไม่อยู่ในธุรกิจเดียวเหมือนที่ผ่านมา และได้จัดตั้งหน่วยงานหรือกองทุนที่เรียกว่า Venture Cap โดยตั้งงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อมาปรับปรุงในธุรกิจของตนเองเช่น การลงทุนใน Start up เพื่อไปดูพัฒนาการด้านเทคโนโลยีและพลังงานต่างๆ แล้วนำกลับมาปรับทิศทางของธุรกิจ
ซึ่งทางไทยออยล์สนใจใน 3 เรื่อง หนึ่ง คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต สอง ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Green and Human ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environmental Friendly) หรือ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องมนุษย์ เช่น ด้านอาหารและยา และสาม ธุรกิจที่เป็น Hydrocarbon Disruption หรือธุรกิจที่จะอาจจะกลับมา Disrupt ของธุรกิจของไทยออยล์ในอนาคต
วิกฤติ คือโอกาสที่จะเดินหน้า
คุณวิรัตน์ บอกว่า เรารอให้จำเป็นต้องเปลี่ยนไม่ได้ ต้องอาศัยช่วงเวลาที่แข็งแกร่ง เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงไว้ก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต นั่นคือ โอกาสที่จะเดินไปข้างหน้า เหมือนที่ไทยออยล์ได้เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ ในวันนี้ เมื่อจะขยายธุรกิจ มีธุรกิจอื่นๆ ชักชวนให้ไทยออยล์เข้าไปเป็น Partner มากมาย นั่นหมายถึง โอกาสในการขยายฐานหรือต่อยอดธุรกิจขององค์กร เพราะในการพัฒนาองค์กร ย่อมมีบางสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราควรเร่งทำในช่วงที่เป็นวิกฤต เพื่อพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในอนาคต
ที่สำคัญ คือ องค์กรที่จะยั่งยืนต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วม กับผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งหมด (Stakeholder Engagement) ไม่ใช่แค่พนักงาน หรือที่คุณวิรัตน์ใช้คำว่า “ทั้งองคาพยพ” โดยให้ความสำคัญกับการ Balance Stakeholder Interest ซึ่งจะต้องเริ่มจากการกำหนด ผู้มีส่วนได้เสีย ให้ชัดเจน สื่อสารให้กับ ผู้มีส่วนได้เสีย ให้ทราบถึงทิศทางขององค์กรอย่างสม่ำเสมอ และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในทิศทางธุรกิจ รวมทั้งการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมขององค์กร
ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตัวอย่างเช่น สิ่งที่เรานึกไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบกว้างขวางและมากมาย เช่น สถานการณ์ COVID ที่เราทุกคนเผชิญอยู่ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ กลาง หรือเล็ก หรือแม้แต่ในการทำงานของเราแต่ละคน
หากมีความคล่องตัว (Agile) ความยืดหยุ่น( Flexibility) และทนต่อการเปลี่ยนแปลง (Resilience) รวมทั้งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เพราะสิ่งเหล่านี้ คือ องค์ประกอบที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน
และที่สำคัญ คือ ทำงานอย่างมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีธรรมาภิบาล ความเป็นองค์กรที่อยู่ยั่งยืนถึงหกสิบปีอย่างไทยออยล์ และมุ่งมั่นอยู่ยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปี …..คงเป็นเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินจริง
วิดีโอ บทสัมภาษณ์ คุณวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
บทความแนะนำ : ทำธุรกิจอย่างยั่งยืน “ด้วยหัวใจ” กับบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)