อยากเป็นหมอ ต้องเตรียมตัวอย่างไร? เส้นทางสู่การเป็นแพทย์ คนที่สนใจอยากเรียนหมอ หรือ อยากจะเป็นหมอ ต้องเข้าใจ เพราะมีหลายเรื่องที่เราต้องรู้ หากอยากจะทำอาชีพนี้
จากตอนที่แล้ว เราได้ไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อสื่อสารให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน น่าเชื่อถือ และเพื่อเป้าหมายสูงสุดที่หวังเพียงแค่ให้ประชาชนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น รู้วิธีการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยและรอดจากโควิด-19 ไปได้ พวกเขาคือ ทีมสื่อสารองค์กรและลูกค้าสัมพันธ์ นั่นเอง เราสามารถพบเห็นผลงานจากการทำงานหนักของพวกเขาได้จากคลิปวิดีโอ รูปภาพ หรือประกาศประชาสัมพันธ์ในเรื่องต่างๆของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ในตอนนี้เราจะไม่ได้ไปดูกระบวนการทำงานของทีมงานเบื้องหลังกันแล้ว เราจะกระโดดกลับมาที่จุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นการทำงานอาจจะเริ่มจาก 1 แต่วันนี้แอดจะพาทุกคนมาเริ่มจาก 0 กันเลย เพราะจุดเริ่มต้นตรงนี้ เป็นจุดที่อยู่ก่อนหน้าการทำงานในโรงพยาบาลเสียอีก วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับ เส้นทางสู่การเป็นแพทย์ธรรมศาสตร์ จาก รศ.นพ.ดิลก ภิยโยทัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กัน
“การตัดสินใจทำอาชีพอะไรสักอย่าง ควรตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง”
ก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามาเรียนแพทย์ สิ่งที่สำคัญคือเราต้องค้นพบอาชีพที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริงก่อน และการค้นหาอาชีพนั้นจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ การเรียนแพทย์ในระดับปริญญาตรีใช้เวลา 6 ปี เพื่อจบมาเป็นแพทย์ทั่วไป อาจจะไปฝึกแพทย์ทักษะอีก 3 ปี หากสนใจด้านใดด้านหนึ่ง ก็เพิ่มการเรียนเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีก 3-5 ปี ซึ่งนับดูแล้วการเรียนแพทย์กินเวลาชีวิตไปกว่า 10 ปี ดังนั้นต้องย้อนถามตัวเองก่อนว่าอยากเป็นจริงไหม?
“ใจเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีใจอยากจะประกอบอาชีพนี้จริงๆ”
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะมี Open house ให้นักเรียนได้เข้ามาสัมผัส ได้เห็นชีวิตแพทย์ จะมีทั้งแบบมาวันเดียว มาเดินดูงาน การเรียน การสอน การแสดงต่างๆเกี่ยวกับการเป็นแพทย์ในรูปแบบที่ให้เห็นภาพว่าถ้าเข้ามาเรียนแล้วจะได้เข้ามาเจอกับอะไร อีกรูปแบบหนึ่งคือเป็นเหมือนการเข้าค่าย ให้นักเรียนได้มีสิทธิ์เข้ามาศึกษาการทำงานของแพทย์ถึงในโรงพยาบาลจริงๆอยู่ระยะเวลาหนึ่ง แม้จะไม่ได้สัมผัสถึงอาชีพแพทย์ 100% แต่ก็ยังช่วยให้ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามาเรียน
“การเจ็บป่วยเลือกเวลาไม่ได้”
ความลำบากในการเรียนเป็นเรื่องจริงแน่นอน เนื้อหาในการเรียนเยอะมากเพราะเป็นการรับผิดชอบชีวิตมนุษย์ 3 ปีแรกเป็นการเรียนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ลงลึกในด้านสุขภาพ สรีระวิทยา ร่างกายมนุษย์ และกายวิภาค ปีที่ 4-6 จะเป็นการทำงานจริงแต่อยู่ในการควบคุมของอาจารย์และแพทย์รุ่นพี่ จะเป็นการนำเอาทฤษฎีที่เรียนมาใช้จริง เมื่อมีประสบการณ์ขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะได้ดูแลคนไข้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้พอได้ทำงานที่คลินิกก็ต้องมาอยู่เวร บางวันบ่าย บางวันเช้า เพราะคนไข้ไม่ได้เลือกเวลาป่วย ดังนั้นไม่ว่าคนไข้จะมาเวลาไหนเราก็ต้องพร้อมให้การดูแลรักษาอย่างดี
“ธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน”
จริงๆในระบบการศึกษา หลักสูตรแพทย์จะถูกออกแบบมาไม่ต่างกัน เพราะแพทยสภาจะเป็นผู้ดูแลและควบคุมหลักสูตรการเรียนการสอนและกำหนดว่าแพทย์แต่ละคนที่จะเรียนจบได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ทำให้แพทย์ทุกคนอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน แต่ละมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกันไปในด้านบทบาทหรือคาแรคเตอร์มากกว่า อย่างเช่น เป็นที่รู้กันดีว่า ธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นักศึกษาทุกคณะรับไว้ด้วยความเต็มใจ ดังนั้นถ้าพูดถึงแพทย์ที่จบจากธรรมศาสตร์ก็จะมีคาแรคเตอร์ แพทย์ธรรมศาสตร์ แพทย์ของประชาชน ติดไปด้วยเช่นกัน
“สอนจากยึดชุมชนเป็นที่ตั้งและเรียนรู้จากปัญหา”
คณะแพทย์มีมานานกว่า 31 ปีแล้ว จุดที่ทำให้การสอนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แตกต่าง คือเป็นการเรียนการสอนแบบ Community Based Learning ยึดพื้นฐานที่ชุมชนและ Problem Based Learning การเรียนรู้จากปัญหา มีบทบาทที่ต้องคิดถึงประชาชนเป็นหลักและเรียนรู้จากปัญหา เป็นการเรียนที่เปิดกว้างให้ทุกคนได้ทำงานที่ทุกคนรัก ร่วมถึงการมีส่วนร่วมในการนำเอาความรู้ความสามารถไปช่วยเหลือสังคมต่อไปอีกด้วย
“หมอเป็นอาชีพที่มีความหลาก และมันหลากหลายได้มากกว่านั้น”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากเรียนหมอ การต่อยอดแตกแขนงจากคำว่าหมอจะเป็นในเรื่องของความเชี่ยวชาญ เช่น หมอโรคหัวใจ หมอเด็ก หมอผ่าตัด เป็นต้น หรืออีกแขนงที่ดูหลากหลายจะเป็นในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการรักษา เช่น เป็นอาจารย์ ไปทำงานโรงพยาบาลรัฐบาล ลงพื้นที่ไปช่วยตามชุมชนที่ยากลำบาก หรืออยู่ตามโรงพยาบาลเอกชนตามที่ตนเองถนัด เป็นต้น แต่ด้วยยุคสมัยในปัจจุบันทำให้การจบหมอ ไม่จำเป็นต้องออกมาทำอาชีพที่มีคำว่าหมอนำหน้าก็ได้
“ยุคนี้เป็นยุคของการบูรณา”
โลกเปิดกว้างขึ้น หลายคนที่จบหมอแล้วประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น เปิดธุรกิจค้าขายหรือให้คำแนะนำในด้านสุขภาพ เป็นผู้บริหาร หรือเรียนต่อกฎหมาย ซึ่งแต่ละการต่อยอดแสดงให้เห็นถึงเส้นทางที่หลากหลาย อย่างสถานการณ์ในช่วงโควิด-19 ทางโรงพยาบาลต้องพยายามเฟ้นหาแพทย์ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีมาร่วมทำงานกับวิศวกรเพื่อพัฒนาระบบของโรงพยาบาล ฉะนั้นเรียนหมอไม่ได้เป็นได้แค่หมออย่างเดียว
ทิศทางการพัฒนาหลักสูตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตอนนี้หลักสูตรแพทย์มีการพัฒนาให้มีความสากลมากยิ่งขึ้น มีการส่งอาจารย์ไปศึกษาต่อยังสถาบันระดับโลกเช่น School of Medicine UC DAVIS – University of California, John A. Burns School of Medicine – University of Hawaii, Nippon Medical School และ School of Medicine and Graduate School – Mile University และสถาบันอื่นอีกมากมาย เพื่อมายกระดับหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัย ตอนนี้หลักสูตรของทางมหาวิทยาลัยได้รับการรับรองจาก WFME ซึ่งย่อมาจาก World Federation for Medical Education เป็นองค์กรสากลที่รับรองมาตรฐานหลักสูตรแพทย์ทั่วโลก กล่าวคือแพทย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สามารถไปสอบเพื่อที่จะได้รับโอกาสในการศึกษาหาความรู้ยังสถาบันชั้นนำระดับโลกได้
หลักสูตรแพทย์แนวใหม่ เรียน 7 ปี ได้ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทเลย
ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยกำลังจะเปิดหลักสูตรทางการแพทย์ที่ร่วมกับศาสตร์อื่นมี 2 แขนงที่กำลังเกิดขึ้น คือ ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายทางการแพทย์และสุขภาพ (MA in Health and Medical Law) เป็นการร่วมมือกันของคณะแพทยศาสตร์กับคณะนิติศาสตร์ ที่พัฒนาหลักสูตรให้มีการเรียนรู้เพิ่มเติมจากการเรียนหมอปกติให้มีเรื่องสิทธิผู้ป่วยและกฎหมายทางการแพทย์ต่างๆเข้ามาด้วย ส่วนอีกแขนงหนึ่งคือ เป็นการร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตที่เป็นการเรียนหมอควบกับปริญญาโททางการบริหารโรงพยาบาลและธุรกิจสุขภาพ
“อย่ามองคนไข้เฉพาะโรคที่เขา ให้มองที่จิตใจเขาด้วย”
การจบแพทย์หมายความว่าเราเป็นคนเก่งอยู่แล้ว ซึ่งความเก่งอาจจะวัดด้วยการสอบตามมาตรฐานของประเทศ แต่สิ่งที่อยากให้แพทย์มีนอกเหนือจากความเก่งก็คือความดี ถ้าเราใช้ความเป็นแพทย์รักษาเขา เขาจะหายเฉยๆ แต่ถ้าแพทย์มีจิตใจที่เห็นอกเห็นใจเขา คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหาย เขาจะไม่ใช่แค่หายเฉยๆ แต่เขาจะสัมผัสได้ถึงความหวังดีของเรา เกิดเป็นความสุขทั้งสองฝ่าย อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการเป็นแพทย์.คือ มีความสุข จงมีความสุขและรักในอาชีพที่ทำ สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเป็นหมอที่เก่ง ดี และมีความสุขที่สุด
บทสรุป
แพทย์เป็นอาชีพที่ต้องเรียนรู้ตลอดการประกอบอาชีพ เรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ก่อนตัดสินใจเข้ามาเรียน เรียนรู้จากหนังสือ ตำรา ทฤษฎีในตอนที่ตัดสินใจเข้ามาเรียนแล้ว เรียนรู้ที่จะรักษาคนไข้จากคนไข้ที่หลากหลายในแต่ละวัน เรียนรู้ที่จะเป็นแพทย์ที่ประกอบอาชีพที่แสนยิ่งใหญ่อาชีพนี้ต่อไปด้วยความภาคภูมิ
แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นแพทย์ในสาขาจิตวิทยาที่ต้องรักษาจิตใจของคนไข้ แต่อยากให้รู้ว่าคนไข้ทุกคนต้องการการสื่อสารที่ดีและความเห็นอกเห็นใจจากหมอ อยากให้นึกก่อนว่าเขาไม่ได้เรียนมาเหมือนเรา เขาอาจจะไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกิดขึ้นในความไม่รู้ตรงนั้น ถ้าเรารักษาโรคพร้อมกับดูแลจิตใจเขาไปด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับการเป็นแพทย์ที่ดี
ในมุมของคนไข้ ความคาดหวังในตัวแพทย์เป็นเรื่องธรรมดาเพราะพวกเขาอยากหายป่วย ต้องมีการสื่อสารว่าโรคนี้คือโรคอะไร วิธีการรักษาอย่างไร จะหายหรือเปล่า ที่สำคัญคือการสื่อสาร จากที่ผ่านมาหมอก็ทำการรักษาไปตามแนวทางการรักษาที่ถูกต้องแต่ไม่ได้บอกผู้ป่วย หรือสื่อสารให้เข้าใจไม่ตรงกัน ทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น
“ความเห็นอกเห็นใจกัน ถ้าเกิดทั้งแพทย์และคนไข้ทำได้ ระดับสังคมจะไปได้ดี”
อยากเป็นหมอ … เส้นทางสู่การเป็นแพทย์ กับเรื่องจริงที่เราต้องรู้ | โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
หรือ จะเลือกรับฟังข้อมูลเพิ่มเติมในรูปแบบของ Podcast:
บทความ แนะนำ :
สื่อสารองค์กร และลูกค้าสัมพันธ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ติดตามชมรายการ UNMASK STORY
กับ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 20:00 น.
ทาง Facebook เพจ @มนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
และ ช่องทาง Social Media ของ The Practical