อาการถอดใจ สามารถเกิดขึ้นกับทุกคน และในหลายๆ สถานการณ์ ทำให้ผลที่ตามมาต้องลงเอยกับความผิดหวัง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำสิ่งนั้นเลย
ยกตัวอย่างเช่น อาการกลัวกับเรื่องการถูกทดสอบ หรือ ต้องถูกจับตามองในยามที่ต้องทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสิ่งนั้นเป็นการทำครั้งแรกแล้วเกิดความผิดพลาด ก็จะยิ่งกลัว และยิ่งไม่กล้าทำ หรือ หลีกเลี่ยงที่จะทำต่อไปอีกเลย
หรือ อาการถอดใจ ที่จะลงมือทำอะไรก็ตาม ในยามที่ต้องเจอกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากคนรอบตัว กลัว และ กังวล ที่จะตกเป็นที่นินทา หรือ คิดไปแล้วว่าตนเองไม่มีทางทำได้ เลยเลือกที่จะถอดใจ และ ไม่ทำจะดีกว่า
อาการถอดใจ ง่ายๆ ในลักษณะนี้ เป็นผลมาจากทัศนคติและมุมมองที่เรามีกับตัวเราเอง และ ยังรวมไปถึงกรอบความคิดของเราที่ยึดติด กับความเชื่อบางอย่าง ที่ส่งผลทำให้เราไม่สามารถก้าวข้ามความกลัว ความวิตกกังวล หรือ อุปสรรคต่างๆ ที่เราเจอได้
มันทำให้นึกถึงส่ิงที่โบราณเขามักจะพูดกันว่า “เชื่อสิ่งไหน ได้สิ่งนั้น”
ถ้าเราดันไปเชื่อในสิ่งที่ไม่ค่อยจะดีกับตัวเราเอง และบวกกับการที่เรามองทุกอย่างเป็นลบไปซะหมด มันเลยทำให้เราไม่ได้ หรือ ไม่สำเร็จในส่ิงที่เราควรจะได้
แล้ว เราจะเอาชนะความคิดลบๆ ของเราได้อย่างไร?
ลองมาดูตัวอย่างคนที่เขาฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค โดยไม่ถอดใจ ว่าเขามีวิธีการอะไร ถึงก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้
“ถ้าถอดใจเพราะคำดูถูก วันนี้คงไม่มีตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน”
ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลในตำนานของทีม ชิคาโก้ บูลส์ และ ในวงการ NBA
ใครจะรู้ว่าในอดีต ไมเคิล จอร์แดน ไม่ได้ชอบเล่นกีฬาบาสเก็ตบอลเลย แต่กีฬาที่เขาชื่นชอบในตอนนั้นก็คือ เบสบอล ซึ่งเขาก็ทำได้ดีและมีพรสวรรค์ในกีฬาชนิดนี้ซะด้วย
แล้ว อยู่ดีๆ มาเป็นนักบาสเกตบอลได้อย่างไร?
มันเกิดขึ้นในวัยเด็กของ ไมเคิล ตอนที่เล่นบาสเก็ตบอลกับพี่ชายของเขา แล้วผลปรากฏว่า ไมเคิล แพ้ในการแข่งขันเป็นประจำ ทำให้เขาต้องใส่ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะเอาชนะพี่ชายของเขาให้ได้ นั่นจึงเกิดเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เขาหันมาสนใจกีฬาบาสเก็ตบอล เขาพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักจนทำให้ฝีมือของเขารุดหน้า และพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว
ถึงจะเก่ง ถึงจะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีอุปสรรค
ในช่วงเรียนมัธยมปลาย ไมเคิลได้เข้าค่ายบาสเก็ตบอล ในช่วงฤดูร้อนของโรงเรียน เพื่อเข้าคัดตัวเพื่อเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียน แต่ปรากฏว่าเขาไม่ติดทีมโรงเรียน
โดยโค้ชให้เหตุผลที่เขาไม่ติดทีมของโรงเรียนไว้ว่า ไมเคิล นั้นตัวเล็กเกินไป แถมยังบอกกับเขาอีกว่า “อย่างเธอน่ะเป็นได้แค่เด็กเก็บบอลข้างสนามแหละ”
ไมเคิลบอกกลับไปว่า “ผมจะเป็นนักบาสที่เก่งที่สุดของโลกให้ได้ คุณคอยดูเถอะ”
หลังจากนั้นเขาก็มุ่งมั่น ตั้งใจ ฝึกซ้อมอย่างหนัก จนในที่สุดก็ได้เล่นใน NBA กับทีม ชิคาโก้ บูลส์ จนได้และกลายเป็นเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ของวงการบาสเก็ตบอลในที่สุด
เรื่องราวของ ไมเคิล จอร์แดน ชี้ให้เราเห็นถึงปัจจัยในความสำเร็จของเขาในหลากหลายประเด็น อาทิเช่น
คนเราสามารถเก่งและประสบความสำเร็จได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ในเรื่องนั้นๆ มาก่อนก็ได้
ความมุ่งมั่น ทุ่มเท ตั้งใจจริง เป็นส่วนผสมที่สำคัญและจำเป็นที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ
คำดูถูก ดูแคลน ไม่ว่าจะจากใครก็ตาม หาใช่อุปสรรคต่อการฝึกฝน และ พัฒนาตนเอง
แต่สิ่งสำคัญที่เห็นได้อย่างโดดเด่นและชัดเจน ที่แสดงออกมาจากตัวของ ไมเคิล จอร์แดน นั่นก็คือ เขามีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง และมีกรอบความคิดแบบเติบโต ที่เรียกว่า Growth Mindset
เพราะความเชื่อหรือวิธีการคิดที่ส่งผลต่อพฤติกรรม มุมมอง และทัศนคติ
Carol Dweck ผู้เขียนหนังสือ Mindset : The New Psychology of Success (2007) เป็นผู้คิดค้นทฤษฏีเรื่อง Mindset ได้กล่าวเอาไว้ เธอได้ทำการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และได้แบ่งประเภทของ Mindset ของคนออกเป็น 2 ประเภท คือ
คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัว (Fixed Mindset) :
- เป็นกลุ่มคนที่มักจะด่วนตัดสินว่าตัวเองมีปัญญา มีความพยายามแต่ก็มีความสามารถอยู่ในแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น เป็นคนที่มักจะมีความกังวลอยู่เสมอว่า ชอบคิดกับตนเองไนแง่ไม่ดี เช่น คิดว่าตนเองไม่เก่ง เรืรองนี้เราจะทำได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ได้คนอื่นจะมองว่าเราเป็นคนโง่ หรือ คนไร้ความสามารถหรือไม่ เราจะรู้สึกว่าเป็นคนที่พ่ายแพ้ไหม เป็นต้น
คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) :
- เป็นกลุ่มคนที่ มีความเชื่อที่ว่าคุณสมบัติและพื้นฐานของแต่ละคนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทุกคนสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ด้วยอาศัยความพยายาม คนสามารถเติบโตได้จากการฝึกฝนและเรียนรู้ อย่างเช่นตัวอย่างของ ไมเคิล จอร์แดน ที่ไม่ได้มีพรสวรรค์ในเรื่องกีฬาบาสเก็ตบอลตั้งแต่แรก แต่เขาก็ยอมรับว่าตนเองไม่เก่ง แต่ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และอยากปรับปรุงแก้ไข แทนที่เขาจะถอดใจ เขากลับลงมือที่จะฝึกซ้อม และไม่ท้อต่อคำดูถูก ดูแคลน
เรื่องนี้ทำให้เปิดมุมมองให้เราเห็นในอีกด้านนึง
คนที่ไม่ได้มีต้นทุนความรู้ หรือ ความสามารถในเรื่องนั้นๆ มาก่อน ก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ด้วยการมีทัศนคติและวิธีคิดที่เป็น Growth Mindset เพราะคนที่มีทัศนคติและวิธีคิดที่แบบนี้ เชื่อว่าทุกอย่างพัฒนาได้ ไม่กลัวความผิดพลาด ยอมรับจุดอ่อนของตนเอง และ ก็พร้อมจะที่แก้ไขมัน เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมาย
เรื่องของ Growth Mindset จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญ ที่ถูกนำมาสอน และ นำมาปลูกฝังกันตั้งแต่ในวัยเด็ก เช่นในวงการกีฬา วงการการศึกษา หรือ แม้กระทั่งในที่ทำงาน
นักกีฬาดังๆ หรือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ ล้วนมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ ที่เกิดจากมี Growth Mindset ทั้งสิ้น
เรื่อง Growth Mindset เรียนรู้กันได้ และฝึกฝนกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดๆ ก็ตาม
ถ้าเราเชื่อว่า “ทัศนคติที่ดี วิธีคิดที่ใช่ จะพาเราไปได้ไกลกว่าเดิม” และตัวเราพร้อมที่จะเปิดใจ ยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ และ เชื่อว่าชีวิตเราสามารถดีกว่าเดิมได้อีก เพียงเท่านี้ เราก็พร้อมแล้วที่จะเรียนรู้กับทักษะนี้แล้ว
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Growth Mindset และ Fixed Mindset สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
Growth Mindset และ Fixed Mindset คือ อะไร? และมีผลต่อตัวเราอย่างไร?
Fixed Mindset ที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยในการทำงาน หรือ ในที่ทำงาน
ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ เพราะกลัวว่าประวัติศาสตร์ที่ไม่ดีจะซ้ำรอยอีก