เมื่อความเบื่อหน่าย นำพาเราไปสู่ความคิดอันยอดเยี่ยม จริงหรือที่ความเบื่อหน่ายจะนำพาเราออกไปเจอความคิดดีๆ ได้? วันนี้เรามาลองมาหาคำตอบกัน กับเรื่อง How boredom can lead to you brilliant ideas เป็นอีกหนึ่งตอนที่น่าสนใจจาก TED ที่บรรยายโดย Manoush Zomorodi เชื่อว่าหลังจากที่พวกเราได้อ่านและได้ชมเรื่องนี้ เราคงจะได้วิธีการรับมือ เมื่อความเบื่อหน่าย มาเยือน
10 ปีที่แล้ว เรามีการเปลี่ยนความคิดในสมองจากสิ่งหนึ่งสู่อีกสิ่งหนึ่งในทุกๆ 3 นาที แต่จากการงานวิจัยล่าสุดทำให้เราพบว่าตอนนี้เรามีการเปลี่ยนแปลงความคิดทุกๆ 45 วินาทีแทน เราเช็คข้อความกันประมาณ 74 ครั้งต่อวัน เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่ถึง 566 ครั้งต่อวัน และจากการใช้ชีวิตจนกระทั่งหมดอายุขัย เราใช้เวลารวมกันกว่า 2 ปีในการเล่น Facebook
“ให้ตายเถอะ คิดว่าฉันไม่เบื่อหรอไง”
Manoush Zomorodi เธอเคยมีอาชีพเป็นนักข่าวไฟแรง มีความกระฉับกระเฉงว่องไวในการไปถึงที่เกิดเหตุให้ทันก่อนใคร แน่นอนว่าเธอมักเป็นคนแรกเสมอในหลายเหตุการณ์สำคัญในข่าว แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องพลิกผันไปเมื่อในวันที่ทุกคนต่อแถวไปซื้อโทรศัพท์ไอโฟน เธอยุ่งมือเป็นระวิงอยู่กับเด็กน้อยที่มีอาการโคลิค ทำให้ความคล่องแคล่วว่องไวของเธอไม่ได้ใช้การเลยนานกว่าสามเดือน จนกระทั่งอาการโคลิคของลูกเธอหายไป
“ฉันระหกระเหินอยู่กับการลงมือทำ ฉันเป็นแม่ที่สนามเด็กเล่น ขณะที่เป็นนักข่าวในทวิตเตอร์”
กว่าสามเดือนที่เธอล่องลอยอยู่กับความคิดที่ว่า “ถ้าฉันได้นอนหลับเต็มอิ่มอีกครั้ง ฉันจะทำอะไรดี” ในที่สุดมันก็เกิดขึ้น เมื่อลูกของเธอหายจากอาการโคลิคในที่สุด เธอตัดสินใจสานฝันเดินทางกับอาชีพในฝันของเธอด้วยการจัดวิทยุสาธารณะทางทวิตเตอร์ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีมากที่สมาร์ทโฟนสามารถทำให้เธอเป็นทั้งแม่และนักข่าวได้ในเวลาเดียวกัน
“ช่วงเวลาที่มีความคิดดีๆ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อไรกัน?”
ความอิ่มตัวเริ่มครอบงำกับอาชีพในฝันของเธอ ในขณะที่จัดรายการวิทยุอย่างที่เธอต้องการ ความคิดเกี่ยวกับการทำอย่างไรให้มีผู้ฟังเพิ่มขึ้นเริ่มว่างเปล่า การขุดคุ้ยภายในสมองที่ปลายอุโมงค์กลับไม่มีอะไรรออยู่ มันทำให้เธอเริ่มคิดย้อนกลับไปว่าเมื่อไรกันนะ ที่ความคิดสร้างสรรค์ของเธอพรั่งพรูออกมา และคำตอบที่เธอได้ก็คือ “ตอนเข็นรถเข็นเด็กที่แสนน่าเบื่อ”
“ไม่ใช่คนน่าเบื่อเท่านั้นหรอกเหรอ ที่จะรู้สึกเบื่อได้น่ะ”
เธอเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความเบื่อที่เกิดขึ้น เพราะในตอนที่เธอสามารถคิดอะไรได้สร้างสรรค์ที่สุดๆ ดันเป็นตอนที่เธอคิดว่าชีวิตของเธอน่าเบื่อที่สุดๆ เช่นกัน จากการพูดคุยกับนักประสาทวิทยาและนักจิตวิทยาเพื่อหาคำตอบ เธอพบว่าเมื่อเราเริ่มฝันกลางวัน ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยออกจากจิตสำนึก ดำดิ่งลงไปยังจิตใต้สำนึก สมองจะทำการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าหากัน แล้วคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?
“การตั้งเป้าหมายส่วนตัวในอนาคต”
เราเรียกมันว่า “ดีฟอลต์โหมด” มันคือการที่สมองเชื่อมโยงความคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน เราจะล่องลอยสู่การหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ประสบการณ์ที่เราเคยได้รับ เชื่อมโยงกับเรื่องราวในปัจจุบัน และจินตนาการถึงอนาคต เกิดเป็นการตั้งเป้าหมายถึงสิ่งที่เราต้องการ และสมองจะทำการคำนวณวิธีการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นวิธีการในการบรรลุเป้าหมายในอนาคตที่เราได้ตั้งไว้
“ทำให้มันเสร็จๆไปซะ”
ดีฟอลต์โหมดของเรามันมีอุปสรรคอยู่เหมือนกัน มันคือชุดการกระทำที่เรียกว่า “การทำให้มันเสร็จๆไปซะ” เช่น การตอบข้อความ การเช็กข้อความ หรือกดเข้าแอปพลิเคชันแล้วไถมันแก้เบื่อ เป็นต้น ในช่วงเวลาที่คุณเปลี่ยนความสนใจจากสิ่งหนึ่งไปหาสิ่งอื่นแทน สมองของเราจะทำการสับสวิตช์สารเคมีในสมองของคุณซึ่งมันต้องใช้สารอาหารทั้งหมดในสมองเพื่อทำแบบนั้น และบางคนก็ไม่ทำแค่หนึ่งอย่างหรือสองอย่างพร้อมกัน แต่มากถึง 4-5 อย่างในเวลาเดียวกันเลยก็มี พอเราเปลี่ยนสิ่งที่ทำอยู่สมองก็จะดึงกลูโคสมาใช้ ที่สำคัญคือกลูโคสของเรามีจำกัดเสียด้วย
“วัยรุ่นมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่ลดลง”
จากงานวิจัยพบว่าเทคโนโลยีสมัยนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อเราเกิดอาการเบื่อหน่ายขึ้นมา โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และแอปพลิเคชันมากมายพร้อมที่จะเป็นตัวกำจัดความเบื่อเหล่านั้นให้หายไป และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมวัยรุ่นถึงมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่ลดลง พวกเขาไม่มีช่วงเวลาที่ล่องลอยออกไปสู่โลกแห่งจินตนาการ ไม่ได้จมดิ่งสู่จิตใต้สำนึกที่ทำให้สามารถตั้งเป้าหมายและหาวิธีการไปให้ถึงได้ด้วยการระดมความคิดในสมอง แต่สมองของพวกเขากำลังถูกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยี
“ธุรกิจที่เรียกลูกค้าว่าผู้ใช้ มีแค่กลุ่มค้ายาเสพติดกับเทคโนโลยีเท่านั้นแหละ”
Tristan Harris อดีตนักออกแบบของ Google เล่าว่าการที่ทุกคนไม่สามารถหยุดมอบความสนใจให้แก่แอปพลิเคชั่นต่างๆ ได้ไม่ใช่เรื่องผิดเลย เหล่าแอปพลิเคชั่นที่เป็นที่นิยมล้วนมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่มีวิธีในการเรียกความสนใจจากผู้ใช้ทุกคน พวกเขาจะมีวิธีที่ทำให้ผู้ใช้ทุกคนไม่อาจหยุดท่องเที่ยวบนแอปพลิเคชั่นของพวกเขาได้และจมเข้าสู่การเสพติดในที่สุด CEO ของเน็ตฟลิกซ์เองก็เคยกล่าวไว้ว่า “คู่แข่งใหญ่ของเน็ตฟลิกซ์คือ เฟซบุ๊ก ยูทูป และการนอนหลับ”
“เมื่อไรก็ตามที่ผลิตภัณฑ์นั้นฟรี คุณนั้นแหละคือผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ความสนใจของพวกคุณคือผลิตภัณฑ์ราคาสูง”
Antonio Garcia Martínez อดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊กและนักเขียนเล่าว่า การเปิดหน้าเว็บขึ้นของผู้ใช้แต่ละคนทำให้เกิดการประมูลในหลักร้อยล้านพันล้านหลายครั้งต่อวัน ในกลุ่มธุรกิจของเทคโนโลยีทุกคนยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อหาจำนวนครั้งที่ผู้ใช้เห็นโฆษณาที่อยู่ตามหน้าเว็บเหล่านั้น และส่วนใหญ่ของผู้ใช้มีการเปิดหน้าเว็บหลายเว็บต่อการใช้งานในเวลาเดียวกันอีกด้วย ความสนใจเหล่านี้เป็นความสนใจราคาแพงที่เหล่าผู้ใช้ได้จ่ายให้กับธุรกิจเทคโนโลยีเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
“ความเบื่อและความฉลาด”
จากการศึกษามากมายทำให้ Manoush เกิดโครงการขึ้นชื่อว่า “Bored and Brilliant” มันคือโปรเจคที่หาผู้เข้าร่วมมาเพื่อลดการใช้โทรศัพท์ สังเกตพฤติกรรม และดึงให้พวกเขาเกิดความคิดที่สร้างสรรค์ขึ้น ซึ่งการดำเนินการของโครงการนี้จะมีภารกิจให้ทำในแต่ละวัน เปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรเจคนี้ และมีการพูดคุยสอบถามความรู้สึกและความคิดของผู้เข้าร่วมอยู่ตลอด
“ฉันใช้เวลากว่า 150-200 นาทีต่อวันไปกับโทรศัพท์ และฉันหยิบมันไปไหนมาไหน 70-100 ครั้ง มันเป็นเรื่องน่ากังวลมาก เพราะฉันไม่ได้ทำอะไรที่มีประโยชน์จริงๆเลย”
ก่อนจะถึงสัปดาห์แห่งโครงการ Bored and Brilliant และหนึ่งในผู้วิจัยของเธอเล่าให้ฟังว่าเธอตกใจมากที่พบว่าตัวเองอยู่กับโทรศัพท์มากขนาดนี้ และวันทั้งวันเธอไม่ได้ทำอะไรที่มีประโยชน์หรือสร้างสรรค์ต่อตัวเธอเองเลย เพราะเมื่อเธออยู่กับโทรศัพท์ เธอจมลงไปในมันแบบโงหัวไม่ขึ้น และเธอไม่ทำอะไรอีกเลย
“ฉันเบื่อมาก จังหวะนั้นฉันเหลือบสายตาไปเห็นขั้นบันไดและเริ่มคิดว่าฉันพอมีเวลาที่จะขึ้น แล้วกลับลงมานั่งตรงนี้ใหม่นะ ในท้ายที่สุดฉันค้นพบว่าตัวเองได้คาร์ดิโอโดยการขึ้นลงบันไดไปกว่า 10 รอบ”
ภารกิจแรก คือการให้เลิกเล่นโทรศัพท์เป็นเวลาหนึ่งวัน แน่นอนว่าผู้เข้าร่วมโปรเจคนี้ทุกคนยอมรับว่าพวกเขากระวนกระวาย ลุกลี้ลุกลน และอึดอัดมากจากการไม่มีอะไรทำ แถมยังเล่นโทรศัพท์ไม่ได้ด้วย หนึ่งในผู้เข้าร่วมโปรเจคเล่าว่าเธอมาทำงานตามปกติ ซึ่งจะเร็วกว่าเวลาเริ่มงาน เมื่อเล่นโทรศัพท์ไม่ได้
“สิ่งสำคัญกว่าตัวเลขผลลัพธ์ คือเรื่องราวของผู้เข้าร่วมโปรเจคนี้ต่างหาก”
ในภารกิจถัดมา ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องลบแอปพลิเคชั่นที่รู้สึกว่าพวกมันมีแรงดึงดูดสูงไปให้หมด ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค อินสตราแกรม หรือเกมที่เล่นประจำตอนเบื่อ คนส่วนใหญ่จะรู้สึกโหวงในตอนแรกเพราะมันเป็นเหมือนสิ่งที่ยึดติดและมักจะจมเข้าสู่โลกของพวกมันมาตลอด แต่ตอนนี้ต้องกำจัดโลกใบนั้นทิ้งแล้ว แต่สิ่งที่ได้หลังจากนั้นคือพวกเขามีเวลาในการทำอย่างอื่น เช่น กินข้าวกับครอบครัว ไปเดินเล่น มองนอกหน้าต่าง ชมวิว หรือแม้แต่การจมกับความห้วงความคิดแทนการจมกับเกมในโทรศัพท์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันดีมากเลย แต่เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ทางตัวเลขที่ได้จากโครงการนี้แล้ว พบว่าทุกคนมีการใช้โทรศัพท์ลดลงเพียงแค่ 6 นาทีต่อวันเท่านั้น
“รู้สึกเหมือนได้ตื่นขึ้นมาจากการภาวะจำศีลทางจิต”
Manoush ยอมรับว่าในตอนแรกที่ได้รับผลลัพธ์จากโครงการนี้แล้วพบว่าผู้เข้าร่วมกว่า 20,000 คน มีค่าเฉลี่ยการใช้โทรศัพท์ลดลงแค่ 6 นาทีต่อวัน ทำให้เธอรู้สึกแย่เล็กน้อยแต่นักประสาทวิทยาบอกกันเธอว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน ผลลัพธ์ที่เธอได้จากผู้เข้าร่วมทั้งหมดเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากแล้ว เพราะผู้เข้าร่วมโครงการนี้ส่วนใหญ่มีเรื่องราวและได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมกลับไป พวกเขาได้พบตัวเองในมุมมองใหม่ๆ และพวกเขายังสนใจที่จะค้นหาตัวเองเพิ่มขึ้นอีกด้วย
“ความเบื่อเล็กน้อยทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น และช่วยเราในการตั้งเป้าหมายอีกด้วย”
เราต้องมานั่งคิดกันใหม่เกี่ยวกับการเป็นคนออนไลน์ตลอดเวลา เชื่อมต่อตัวเองเข้ากลับเทคโนโลยีเพื่อกำจัดช่วงเวลาว่างหรือป้องกันการเกิดความเบื่อไม่ได้ดีเสมอไป ต่อไปเราจึงควรมีการสอนการใช้เทคโนโลยีที่ถูกต้อง เพื่อทำให้เด็กและวัยรุ่นกลับมาเป็นวัยที่มากด้วยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อีกครั้ง เรายังต้องการพวกเขาในการสนใจสิ่งรอบข้างที่อยู่นอกจอโทรศัพท์ และพวกเขายังต้องการการเรียนรู้และฝันกลางวันที่หาไม่ได้จากโทรศัพท์มือถือ
บทสรุป
โลกของเรากำลังถูกปกคลุมไปด้วยเทคโนโลยี คนมากมายติดโทรศัพท์ราวกับมันกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 เราต่างกลัวว่าตัวเองจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้น เพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีที่ใครจะอยากมีเสียเท่าไร เรากำจัดมันทิ้งและหนีมันให้ห่างโดยที่ผลักตัวเองเข้าสู่โลกของจอโทรศัพท์มากขึ้น จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และฝันกลางวันที่หายไป ทำให้การจมดิ่งสู่จิตใต้สำนึกเพื่อหาเป้าหมายในอนาคตหายไป
อย่าปล่อยให้ครั้งต่อไปที่คุณเริ่มขุดคุ้ยเข้าไปในความคิดเพื่อหาความปรารถนาในการทำอะไรสักอย่างเป็นความว่างเปล่า วางโทรศัพท์ลง เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ปล่อยให้ตัวเองฝันกลางวัน จินตนาการถึงเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากทำ ปล่อยให้สมองได้ทำหน้าที่ของมันได้การหาวิธีบรรลุเป้าหมาย ความเบื่ออาจจะไม่แย่อย่างที่คุณคิด
“ตอนที่คุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลองถามตัวเองดูว่าจะทำอะไร? ถ้าไม่มีคำตอบก็วางมันลงซะ อย่าให้โทรศัพท์มันตัดสินใจแทนคุณว่าต้องทำอะไร?”
How Boredom Can Lead to Your Most Brilliant Ideas | Manoush Zomorodi