ในวันที่เราประสบความสำเร็จ มีเงิน มีชื่อเสียง แต่กลับไม่ได้เจอกับความสุข เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง กับชีวิตของใครๆ หลายคน เรื่องราวของ คุณปาน – ธนพร แวกประยูร อดีตศิลปินนักร้องชื่อดัง ก็เช่นกัน เธอก็เคยผ่านประสบการณ์และความรู้สึกแบบนี้มาแล้ว
หากจะพูดถึงศิลปินหญิงที่มีความสามารถมากที่สุดในเมืองไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ชื่อของ ปาน – ธนพร แวกประยูร ต้องเป็นหนึ่งในรายชื่อศิลปินหญิงที่จะต้องได้รับการกล่าวถึงอย่างแน่นอน
“ในวันที่เราประสบความสำเร็จ แต่กลับไม่ได้เจอกับความสุข”
ในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา คุณปาน ธนพร มีความโด่งดังเป็นอย่างมาก ผลงานของเธอได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง แต่ภาพความสำเร็จบนเวที ที่มีแสงไฟสาดส่อง กลับไม่สามารถทำให้เธอรู้สึกมีความสุขได้อย่างแท้จริง เธอรู้สึกว่าชื่อเสียง ความโด่งดัง แม้กระทั่งเงินทองมากมายไม่สามารถเติมเต็ม ความรู้สึกว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในจิตใจได้
ทำให้หลายปีที่ผ่านมา คุณปาน ธนพร จึงตัดสินใจ ลดบทบาทการเป็นศิลปินลงไป เธอเลือกที่จะใช้เวลา ให้กับการศึกษาธรรมะ และการทำงานจิตอาสาเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งวันนึง เธอค้นพบว่า ใจที่เคยว่างเปล่าเคว้งคว้าง ได้ถูกถมเต็มด้วยความสงบและความสุขทางธรรมแล้ว
เติมธรรมในช่องว่าง กับ การใช้ ธรรมะบำบัด
ก่อนหน้าที่จะมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินหญิงหนึ่งในดีว่าส์ ของเมืองไทย เส้นทางการทำงานบนถนนสายดนตรีของ คุณปาน– ธนพร แวกประยูร เริ่มต้นมาตั้งแต่เธอยังเป็นวัยรุ่นในฐานะคนทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นนักร้องไกด์ในห้องบันทึกเสียง เป็นคอรัสให้กับศิลปินชื่อดังต่าง ๆ หลายคน จนกระทั่งเมื่อได้รับโอกาสขึ้นมาเป็นศิลปินเต็มตัว คุณปาน ธนพร ที่ได้ใช้ความสามารถและประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาอย่างยาวนาน จึงทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
คุณปาน– ธนพร แวกประยูร มีเอกลักษณ์ของน้ำเสียงเฉพาะตัว หาคนเหมือนได้ยาก และทุกบทเพลงที่เธอถ่ายทอด ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งเธอก้าวเข้าสุ่จุดสูงสุดของชีวิตเท่าที่ศิลปินนักร้องคนหนึ่งจะเป็นได้ คุณปาน– ธนพร มีพร้อมทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จในรูปแบบต่างๆ มากมาย แต่ปรากฏว่า สิ่งที่ได้มากลับสวนทางกับความรู้สึกภายในจิตใจของเธอ
“ชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จ ไม่ได้เป็นสิ่งยั่งยืน เมื่อได้มา ก็หมดไปได้”
คุณปาน– ธนพร บอกกับเราว่า “สิ่งที่หลั่งไหลเข้ามาคือชื่อเสียง เงินทอง โอกาส ความสำเร็จ ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องพัฒนาตัวเองเพื่อรักษาชื่อเสียงและผลงาน เราต้องเดินไปข้างหน้าตลอด ทำให้เรามีความเหนื่อยอยู่ข้างในลึกๆ เกิดความรู้สึกว่า เราจะต้องเหนื่อยแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กับสิ่งที่มันจะต้องดับต้องเสื่อมลงในวันข้างหน้า เราจำเป็นต้องเหนื่อยเพื่อรักษามันไว้นานแค่ไหน” นี่คือหนึ่งในความรู้สึกภายในใจของเธอ ในวันที่ประสบความสำเร็จสูงสุด
“ในวันที่เราประสบความสำเร็จ กลับต้องมาเจอกับความว่างเปล่า”
คุณปาน– ธนพร เล่าให้ฟังว่า “เราสังเกตตัวเองว่า ในขณะที่เราทำงานเหนื่อยมากเพื่อให้ความสุขกับคนอื่น แต่ทำไมตัวเราเองกลับไม่มีความสุขเลย พอเวลาเราลงจากเวทีไปแล้วทำไมเราถึงอยากอยู่นิ่งๆ อยากอยู่เฉยๆ ในตอนนั้น เราค่อยๆ มอง ค่อยๆ แกะความรู้สึกของตัวเอง พยายามไม่หลอกตัวเอง เพื่อหาให้เจอว่า สรุปแล้วเราเป็นอะไรกันแน่ เราค่อยๆ พยายามถามตัวเองว่าเราต้องการอะไรในเมื่อเรามีทุกอย่างหมดแล้ว เราออกไปทำงานได้เงินทุกวัน มีเพื่อนรอบตัวมากมาย แต่ในใจเรากลับรู้สึกเคว้งคว้าง ว้าเหว่ ไม่รู้จะเอาใจไปยึดกับอะไร?”
เมื่อหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในจิตใจได้ คุณปาน– ธนพร ก็ได้พบเจอกับสิ่งที่ทำให้เธอได้เรียนรู้คุณค่าแห่งชีวิตครั้งใหม่ นั่นก็คือการศึกษาธรรมะ
คุณปาน– ธนพร เล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่เธอต้องดูแลคุณแม่ที่ป่วย ก็ได้เริ่มอ่านหนังสือธรรมะ พอได้อ่านไปเรื่อยๆ ก็พบว่าบางอย่างได้เข้าไปตอบคำถามในใจของเธอที่กำลังรู้สึกเคว้งคว้าง เธอบอกว่า “เรารู้สึกเหมือนคนที่กำลังสะลึมสะลือแล้วได้รับการปลุกให้ตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้วมันรู้สึกสดชื่นมาก จากนั้นก็ค่อยๆ ศึกษามาเรื่อยๆ ด้วยการอ่านหนังสือของครูบาอาจารย์ที่เรามั่นใจว่าท่านสอนธรรมแท้ เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากพ้นทุกข์ อยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนอะไร วิชาของท่านจะให้คำตอบกับใจของเรายังไง และที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้เขาเรียกว่าอะไร ทำไมเราจึงรู้สึกเคว้งคว้างอย่างนี้” และนี่คือกรบวนการและขั้นตอนการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงในขั้นต้นของ คุณปาน– ธนพร
เรียนรู้การเป็นผู้ให้ ด้วยจิตอาสา
เมื่อชีวิตได้เปิดโอกาสให้ คุณปาน– ธนพร เข้าถึงธรรมะ จากทั้งการอ่านและการปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบให้กับชีวิตที่กำลังเคว้งคว้างว่างเปล่า ขั้นตอนต่อมาของการเรียนรู้ ทำให้ คุณปาน– ธนพร พบว่าสิ่งที่มีความหมายกับชีวิตของเธอ มากกว่าเดิม ก็คือการได้ เป็นผู้ส่งสารแห่งธรรมะไปสู่ผู้อื่น เธอเริ่มต้นพาตัวเองออกไปทำงานจิตอาสา ทั้งการร้องเพลงเกี่ยวกับธรรมะและได้ทำเพลงธรรมะเผยแพร่ในโอกาสต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้มีโอกาสทำความเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น
“การเป็นผู้ให้ และทำในสิ่งที่ผู้รับได้ประโยชน์ ทำให้เราได้เจอความหมายของชีวิต”
คุณปาน– ธนพร บอกกับเราว่า “บางทีก็คิดว่าเราไม่รู้ตัวว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร? เรามีคุณค่าแบบไหนกันแน่? จริงๆ งานทางโลกมันก็ดีมากๆ เลยนะ แต่ทำไมเรารู้สึกว่ามันยังไม่สามารถตอบโจทย์บางอย่างของเรา จนกระทั่งเราเริ่มมาทำงานทางธรรม เราทำแล้วใจมันชุ่มชื่น รู้สึกมีคุณค่า ได้เห็นว่ามีคนได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราทำจริงๆ ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม” และนี่ ก็เป็นความรู้สึกของเธอ ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ด้วยการทำงานจิตอาสา
ถึงแม้ว่างานด้านจิตอาสาที่เธอทำเป็นที่รู้จักกันในวงแคบๆ เทียบไม่ได้กับงานศิลปินนักร้องที่เผยแพร่ผลงานออกไปในวงกว้าง แต่แม้จะเป็นงานที่ทำแล้วไม่ได้ชื่อเสียง ไม่ได้เงินทอง แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง
คุณปาน– ธนพร เล่าให้ฟังว่า “เรามีความสุขที่มีคนมาบอกว่าเสียงสวดมนต์ของเราทำให้คุณพ่อเขาจากไปอย่างสงบ เราฟังแล้วข้างในเรามันเติมเต็ม รู้สึกว่าเราอยู่บนความจริงของชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าเพลงทางโลกไม่ดีนะคะ มันก็มีประโยชน์และมีแก่นสารอะไรบางอย่างอยู่ในทุกๆ เพลง แต่พอมาทำงานทางธรรมะ เรารู้สึกได้ถึงความสงบ อาจจะเพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้จักความสงบจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกว่าการทำงานทางโลกทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคงนะ แต่เรารู้สึกว่าใจของเราไม่ได้มั่นคงกับสิ่งที่มี เรารู้สึกว่าความมั่นคงทางเงินทองที่เรามีนั้นไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด” และนี่ก็คือสิ่งที่เธอ ได้ค้นพบและเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจที่เคยเคว้งคว้างของเธอ พบกับความมั่นคงอย่างแท้จริง
ชีวิตที่น้อยลง กับความสุขที่มากขึ้น
คุณปาน– ธนพร บอกว่าจากกระบวนการเรียนรู้ชีวิตที่ผ่านมา ทำให้เธอได้เดินทางมาถึงปากประตูของขั้นตอนต่อไปในชีวิต และ เธอจะใช้เวลาในช่วงต่อไปนี้ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ นั่นก็คือการหาสมดุลของชีวิตและใช้ชีวิตให้มีคุณค่ามากที่สุด
คุณปาน– ธนพร บอกกับเราว่า “ปานคงหยุดแสวงหาในเรื่องของทางโลก การงานที่เกี่ยวข้องกับทางโลกที่จะต้องทำต่อไปก็ คงจะน้อยลงมากๆ ซึ่งจริงๆ ก็น้อยลงมานานแล้ว และคงจะทำงานทางใจให้มากขึ้น” ปัจจุบัน เธอรู้สึกว่าการศึกษาธรรมะ และการทำงานจิตอาสาที่เกี่ยวกับธรรมะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้พาให้เธอมายืนอยู่บนปากทางของความสงบ เธอจึงอยากจะเดินทางต่อไปในเส้นทางนี้เพื่อทำความเข้าใจและทำความรู้จักกับความสงบที่แท้จริง
“หยุดแสวงหา หยุดตามหา แล้วหันมาใช้ชีวิตกับสิ่งที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุด”
“ต่อไปนี้ ก็คงใช้ชีวิตให้มีคุณค่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีความรู้ตรงไหนก็ทำตรงนั้น รู้เท่านี้ก็พูดเท่านี้ ส่วนงานทางโลกก็ต้องจัดให้สมดุล ตราบใดที่เรายังต้องมีหน้าที่อะไรบางอย่างก็ทำไป ตอนนี้ก็เริ่มหาสมดุลได้บ้างแล้ว สามารถทำงานทางโลกได้แบบไม่ทุกข์เหมือนเมื่อก่อน” – คุณปาน– ธนพร
คุณปาน– ธนพร บอกว่า เธอสังเกตตนเองจนพบว่าทั้งๆ ที่ทุกวันนี้เธอมีหลายสิ่งหลายอย่างน้อยลงกว่าในช่วงก่อนหน้านี้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือชื่อเสียง แต่เธอกลับมีความสุขมากขึ้นอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
“ทั้งๆ ที่ทุกอย่างมันน้อยลง ชื่อเสียงน้อยลง เงินทองน้อยลง แต่ทำไมเราไม่ทุกข์ ทำไมเรามีความทุกข์ในวันที่เรามีมากเหลือเกิน วันนี้เรากลับรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุข ความเคว้งคว้างที่เราเคยมีมันหายไป ที่เราบอกว่าเรามีความทุกข์ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว กลับมีความเข้าใจมากขึ้น เราจึงรู้สึกว่านี่แหละเราได้เดินทางมาถึงประตูทางเข้าของขั้นต่อไปของเราแล้ว คือทางเข้าทางธรรมของเรานี่แหละ”
หันมาสำรวจตนเอง
สิ่งสำคัญที่ คุณปาน– ธนพร ได้ค้นพบ บนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ที่ช่วยให้เธอก้าวพ้นสภาวะที่เป็นทุกข์ จนกระทั่งพบเจอกับความสุขและความสงบในจิตใจ นั่นก็คือ การที่เธอได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสำรวจตัวเองให้ถ่องแท้ นั่นเอง
คุณปาน– ธนพร บอกว่า “เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเลย ไม่เคยรู้เลยว่าการสำรวจตัวเองคืออะไร? เราใช้การสำรวจตัวเองกับเรื่องภายนอกทั้งหมด สำรวจตัวเองว่าวันนี้ฉันแต่งตัวดีไหม? ฉันทำตัวเรียบร้อยไหม? แต่ไม่เคยสำรวจตัวเองเข้าไปข้างในเลยว่าวันนี้เราคิดดีหรือคิดชั่ว? ไปคิดเพ่งโทษโกรธเคืองใครเขามากน้อยแค่ไหน?”
“เราไม่เคยรู้จักวิธีการสำรวจตัวเองแบบนี้เลย จนได้เข้ามารู้จักธรรมะและมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมบ้าง เวลาที่ได้ไปอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ท่านก็พร่ำสอนเรา เราก็ค่อยๆ เก็บความรู้นี้ทีละเล็กทีละน้อย จนเริ่มรู้จักว่า การสำรวจตัวเองจริงๆ แล้วคืออะไร” ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นอีกบทเรียนที่สำคัญ อีกบทหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
คุณปาน– ธนพร เล่าว่า “ปานคิดว่าการสำรวจตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ทุกคนควรทำ เป็นสิ่งที่ควรจะอยู่ทุกลมหายใจของเราเลยด้วยซ้ำ ถ้าเราสำรวจตัวเองจริงๆ และเรายอมรับความจริง เราจะพบข้อบกพร่องของตัวเองมากมาย มากมายเสียจนเราคิดว่าจะแก้ยังไงได้ทั้งหมด แต่เราก็ต้องค่อยๆ แก้ไขไปทีละอย่าง ครูบาอาจารย์ท่านสอนอะไร พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรก็เอาตรงนี้มาเป็นแก่นใจ เป็นที่อยู่ของใจเรา ว่าต่อไปนี้เราจะมีชีวิตเพื่ออะไร จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นได้บ้าง?”
“ปานว่าตรงนี้สำคัญมากๆ ถ้าเราตั้งเป้าหมายได้มันมั่นคงพอแล้ว มันจะทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไร สิ่งนี้ช่วยเราได้จริงๆ” นี่คือบทสรุปในสิ่งที่เธอเรียนรู้มาทั้งหมด ของ คุณปาน – ธนพร แวกประยูร
เรื่องราวอ้างอิงบทสัมภาษณ์ของ คุณปาน – ธนพร แวกประยูร
จากโครงการ พื้นที่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning)
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ โครงการ พื้นที่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
โจน จันใด ประสบการณ์ที่เลวร้าย ก็ถือเป็นครูอีกคนนึง ที่ให้บทเรียนที่ยากที่สุดให้แก่เรา
ขอขอบคุณ https://www.sanook.com/news/7991386/ สำหรับภาพประกอบบทความ