ไอซียูทีม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กับการทำงานท่ามกลางสถานการณ์โควิด ที่นับวันยิ่งจะรุนแรงมากขึ้น ทีมบุคลากรทางการแพทย์ของ ไอซียูทีม พวกเขารู้สึกอย่างไรบ้าง?
ในสถานการณ์ที่โควิด-19 ได้ปกคลุมไปทั่วประเทศไทย ยอดผู้ติดเชื้อแต่ละวันเกินหมื่น และมีผู้เสียชีวิตทุกวันเช่นนี้ นอกจากประชาชนจะกดดันในการใช้ชีวิตแล้ว บุคลากรด่านหน้าอย่าง แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนต้องทำงานกันอย่างลืมวันลืมคืน
ยิ่งนับวัน โรคร้ายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกที จากตอนที่ผ่านมาทุกคนคงได้เห็นถึงการทำงาน และความทุ่มเทของบุคลากรทุกท่านในขั้นตอนการทำงานต่างๆแล้ว ในตอนนี้แอดมินจะพาทุกคนไปดูการทำงานของ ไอซียูทีม โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ว่าการทำงานของพวกเขาต่างจากไอซียูปกติอย่างไร พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนการทำงานอย่างไร และความรู้สึกของพวกเขาที่เสียสละอย่างมากในการเลือกมาทำงานที่เสี่ยงขนาดนี้
ความแตกต่างระหว่าง ไอซียูปกติ กับ ไอซียูโควิด-19
การทำงานของไอซียู โดยปกติแล้วบุคลากรสามารถเข้าหาผู้ป่วยได้โดยตรง โดยสามารถสัมผัส ใกล้ชิด หรือว่าตรวจอาการได้อย่างละเอียด เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น บุคลากรสามารถเข้าถึงตัวคนไข้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไอซียูโควิด-19 นั้น ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 นาทีในการใส่ชุด PPE เพื่อเข้าไปดูแลผู้ป่วย ไม่สามารถสัมผัสคนไข้ได้โดยตรง ต้องเน้นการสังเกตเป็นหลัก อีกทั้งยังต้องเตรียมตัวและวางแผนอย่างดีเพื่อใช้เวลาให้เหมาะสมในการเข้าไปดูผู้ป่วยแต่ละครั้ง
“นับ 1 ไปพร้อมๆกันที่นี่”
พว.ธัญญลักษณ์ ตาทอง พยาบาลวิชาชีพงานการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตไฟไหม้น้ำร้อนลวก (เมฆสวรรค์) ผู้เป็นหนึ่งในพยาบาลของทีมไอซียูโควิด-19 เล่าให้ฟังว่าเธอเคยอยู่ในแผนกวิกฤตโรคหัวใจมาก่อน ซึ่งพอได้มาทำงานที่นี่ เหมือนเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด เรียนรู้ไปพร้อมกับรุ่นพี่ รุ่นน้องที่เข้ามาทำงานตรงนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเคส ประเภทคนไข้ การเข้าถึง การแต่งตัว แม้กระทั่งต้องมีการวางแผนก่อนเข้าเวรทุกเวร และจัดลำดับการทำงานก่อนเข้าถึงคนไข้ทุกครั้ง เพื่อใช้เวลาให้เหมาะสมที่สุด
ขั้นตอนการเข้าถึงคนไข้
บุคลากรทุกคนต้องเปลี่ยนเป็นชุด PPE หรือ PAPR เพื่อเข้าไปดูแลคนไข้ ซึ่งก่อนเข้าไปพวกเข้าจะต้องเข้าห้อง Empty ความดันลบ 5 แล้วจึงเข้าไปหาคนไข้ได้ในห้องความดันลบ 10 และในห้องทำงานปกติจะมีความดันบวก 10 เพราะความดันที่แตกต่างกันจะทำให้ปลอดภัยต่อการแพร่เชื้อ หลังจากทำหน้าที่ของตนเองจนเสร็จ บุคลากรทุกคนต้องเดินออกทางด้านหลังห้องเพื่อเปลี่ยนชุด และอาบน้ำก่อนกับเข้ามาทำงานในหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมายต่อ ซึ่งหากไม่มีเหตุฉุกเฉิน ทุกคนจะถูกจัดเวรให้เข้าไปดูแลคนไข้วันละ 1 ครั้ง รอบแรก จะเข้าตอนสิบโมง ออกตอนประมาณเที่ยง รอบที่สองจะเข้าตอนประมาณบ่ายโมงและออกบ่ายสองถึงบ่ายสาม
“เรา” จะดูแลอย่างดีที่สุด
มีตัวอย่างเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เด็กทารก อายุเพียง 2 วัน นอนทับสายออกซิเจน ทำให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ พยาบาลจึงรีบสวมชุด PPE เตรียมพร้อมแล้วเข้าไปแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งแม่เด็กคนนี้ติดเชื้อโควิด-19 แต่ผลของน้องยังไม่สามารถสรุปได้ จึงให้อยู่ในห้องไอซียูติดตามดูอาการ และตรวจเชื้อทุก 24 ชั่วโมงไปก่อนเพื่อความปลอดภัย
ความกังวลที่ต้องทำงานกับความเสี่ยง
การทำงานในทีมไอซียูโควิด-19 ต้องมีการเข้าใกล้ชิดคนไข้ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิด-19 อีกทั้งคนไข้ส่วนใหญ่ที่ถูกส่งตัวมายังไอซียูยังเป็นคนไข้สีแดง หรือคนไข้ที่มีอาการหนักอีกด้วย เพราะฉะนั้นในการดูแลรักษา หรือการเข้าถึงคนไข้หมายถึงความเสี่ยงที่บุคลากรทุกคนต้องได้รับ แต่ทุกคนยังทำงานกันอย่างเต็มที่และเต็มใจที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับบ้านได้อย่างแข็งแรงอีกครั้ง
“ความกังวลมันหายไป เพราะรู้สึกดีที่คนไข้เขาได้รับการดูแล”
แน่นอนว่าบุคลากรก็มีครอบครัวที่ต้องดูแลเหมือนกันคนไข้ทุกคนเช่นกัน พว.ธัญญลักษณ์ ตาทอง เผยว่าในช่วงแรกที่เพิ่งเข้ามาทำงานตรงนี้ ครอบครัวของเธอก็มีกังวลเช่นเดียวกับเธอ เพราะมันมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ครอบครัวเข้าใจและให้กำลังใจเธอเสมอมา แม้จะเป็นห่วงแต่ครอบครัวก็ภูมิใจในตัวเธอมากเช่นกัน
“เรามาช่วยเหลือคนอื่น ดีแล้วที่ได้มาช่วย”
ไม่ใช่แค่จัดการความกังวลของตัวเอง แต่ยังจัดการความกังวลของคนไข้ด้วย
เนื่องจากคนไข้ทุกคนมักจะมีความวิตกกังวลไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวที่จะติดไหม จะหายหรือเปล่า จะไม่ตายใช่ไหม ทำให้พยาบาลต้องดูแลทั้ง “กาย จิต สังคม วิญญาณ” ของคนไข้ ต้องคอยเป็นกำลังใจให้ ให้คำปรึกษาและสอบถามความต้องการ เช่น รู้สึกอย่างไร เครียดไหม ต้องการอะไรเพิ่มไหม อยากคุยกับใครในครอบครัวหรือเปล่า เป็นต้น
หอผู้ป่วยพิเศษยูงทอง 1
จากตอนแรกหอผู้ป่วยพิเศษยูงทอง 1 เป็นห้องพิเศษ 15 ห้องสำหรับดูแลคนไข้พักฟื้นปกติ ถูกปรับเปลี่ยนบริบทให้กลายเป็น Isolation Room หรือห้องแยกในการดูแลคนไข้โควิด-19 ซึ่งจะแบ่งออกเป็นเตียงคู่ทั้งหมด 5 ห้อง และเตียงเดี่ยวอีก 10 ห้อง จะมีการตรวจร่างกาย แสกนปอด เพื่อวัดระดับความรุนแรงของอาการคนไข้ ซึ่งหอผู้ป่วยพิเศษยูงทอง 1 จะรับคนไข้อาการน้อยจนถึงกลาง หากตรวจแล้วมีอาการหนักจะส่งไปที่ทีมไอซียูแทน และหากอาการน้อยมากและไม่ติดเชื้อในปอด จะส่งคนไข้เป็นที่โรงพยาบาลสนามแทน
การปรับตัวของระบบพยาบาล
จากปกติแล้วเราจะมีการใกล้ชิดกับคนไข้ ในส่วนของการดูแลคนไข้ภายในหอผู้ป่วยพิเศษยูงทอง 1 ปรับเปลี่ยนเป็นการดูแลผ่านกล้องวงจรปิด พยาบาลจะนั่งดูหน้าจอมอนิเตอร์เพื่อติดตามอาการคนไข้ มีการติดต่อสื่อสาร ถามไถ่อาการผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งคุณหมอก็จะใช้ช่องทางนี้ในการพูดคุยกับคนไข้เช่นกัน และในทุกครั้งที่ต้องเข้าถึงผู้ป่วย จะต้องสวมชุด PPE เข้าไป และบริหารจัดการในการทำหน้าที่พยาบาลให้ผู้ป่วยอย่างดีที่สุดในเวลาที่กระชับที่สุด
บทสรุป
ในวันที่ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตโรคร้ายอย่างโควิด-19 เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าทุกคนพยายามช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แค่เพียงบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้นที่ต้องปรับเปลี่ยน แต่เราก็ทำได้เช่นกัน หากเราเป็นประชาชนทั่วไปก็สามารถช่วยได้โดยการสวมแมสก์ ดูแลตัวเอง ไปฉีดวัคซีน และเป็นกำลังใจให้กับทีมแพทย์ที่ทำงานอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือคนไข้ทุกคน การสูญเสียเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเวลานี้เราควรให้กำลังใจกันและกัน ก้าวข้ามผ่านวินาทีที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน
“เราทุกคนจะต้องรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน”
….
ติดตามรับชมเรื่องราว เบื้องหลังวิกฤติและการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ในการรับมือกับสถานการณ์โควิด ได้กับรายการ Unmask Story เรื่องเล่าหลังแมสก์ ของ บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ไอซียูทีม|โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
หรือ จะเลือกรับฟังข้อมูลเพิ่มเติมในรูปแบบของ Podcast:
….
บทความ แนะนำ :
วัคซีนโควิด-19 กับภารกิจสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ รพ. ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ติดตามชมรายการ UNMASK STORY
กับ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
ได้ทุกวันเสาร์ เวลา 20:00 น.
ทาง Facebook เพจ @มนุษย์เงินเดือนพันธุ์ใหม่
และ ช่องทาง Social Media ของ The Practical