12 tips to improve Work-life Balance – เรียนรู้กับ 12 วิธีการที่จะช่วยยกระดับ Work-life Balance ของคุณให้ดีขึ้น และ มีความสุขมากขึ้นทั้งในเรื่องงานและการดำเนินชีวิต
การมีชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันที่ดี ราบรื่น และมีความสุขเป็นความปรารถนาของคนทำงานหลายคน เพราะในปัจจุบันหากให้ลองสุ่มถามพนักงานแต่ละคนในบริษัท ทุกคนก็คงให้คำตอบไปในทิศทางเดียวกันและยอมรับว่าตัวเองกำลังเหนื่อยกับงานที่ทำ ถึงแม้ว่าจะเป็นงานที่ชอบ หรือเป็นงานที่รักก็ตาม แต่ถ้าหากพวกเขายังไม่สามารถหาสมดุลของชีวิตและเรื่องงานไม่ได้ งานที่รักก็อาจจะเป็นงานที่ร้ายต่อชีวิตของพวกเขาหรือคนรอบข้างของเขาได้
เพื่อให้เรารักษาสมดุลของเรื่องงานและการดำเนินชีวิตให้ได้ สิ่งแรกที่คุณควรทำเกี่ยวกับ Work-life Balance นั่นก็คือ ทำความรู้จักมันให้ดีเสียก่อน
Work-life Balance หมายถึง ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน เป็นประเด็นที่มักใช้เพื่ออธิบายช่วงเวลาที่คุณใช้ไปกับกับทำงานและช่วงเวลาที่คุณใช้เพื่อตัวคุณเอง หรือ ใช้กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือความสนใจส่วนตัวตามที่คุณต้องการ Work-life Balance กลายเป็นความต้องการสำหรับคนทำงานหลายคนที่อยากจะรักษาสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิตให้ได้ดี แต่ความจริงกลับยากเกินกว่าจะทำให้สำเร็จ
“ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่นำไปสู่ชีวิตที่ดี”
คุณรู้ดีว่าเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นในด้านการทำงาน มันครอบงำเวลาทั้งวันของคุณไปได้เลยทั้งวัน เพราะคุณกำลังเข้าถึงความฝันและความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคุณจะจัดการเวลาและพลังงานของคุณให้เพียงพอต่อด้านการใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้เวลาทั้งหมดไปการเรื่องงานได้อย่างไร? ตามรายงาน Women in America ของ Gallup เขาบอกว่าความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่นำไปสู่การมีชีวิตที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงหลายคน มองหานายจ้างที่สามารถให้กำลังใจและสนับสนุนพวกเธอในฐานะคนคนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นแค่ลูกจ้างคนหนึ่ง
แนวคิดการมี Work-life Balance นำเราเข้าสู่วิธีการที่เป็นองค์ประกอบให้เราสร้าง Work-life Balance ที่ดีขึ้นมาได้ ซึ่งประกอบด้วย 3 เรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้
- การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
- การจัดการความเครียด
- การป้องกันความเหนื่อยหน่าย
โดยผลลัพธ์ที่ได้ จะเป็นการลดความคลุมเครือระหว่าง “งาน” กับ “ส่วนตัว” เพื่อสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในชีวิต วันนี้แอดมินขอนำเสนอแนวทาง 12 เทคนิคและวิธีการที่จะช่วยให้พวกเรามี Work-life Balance ที่ดีขึ้นได้ ดังต่อไปนี้
1. เราต้องเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ไม่”
การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ เป็นอีกหนึ่งในทักษะที่ยากที่สุดสำหรับมืออาชีพที่ทุ่มเทเพื่อเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ แต่เรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดขอบเขตของสิ่งที่เข้ามาหาเราตั้งแต่เริ่มต้น คุณต้องประเมินความต้องการทั่วไปของคุณและจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่คุณมีในลิสต์รายการของสิ่งที่ต้องทำ หากสิ่งที่กำลังเข้ามาเกินความจำเป็น หรือมากเกินที่คุณจะรับไหว คุณต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธให้เป็น ด้วยการพูดว่า “ไม่” กับสิ่งที่มีความสำคัญน้อยกว่า การปฏิเสธจะช่วยให้คุณมีเวลาและพลังงานมากขึ้นในการพูดว่า “ใช่” และใส่ใจกับสิ่งอื่นที่สำคัญสำหรับคุณมากกว่าแทน
2. เราต้องรู้จักที่จะหยุดพัก
ถึงแม้ว่าการพักนั้นจะเป็นเพียงเล็กน้อยแค่ 30 วินาที ก็สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานหลังจากที่ได้พักได้เช่นกัน พักเวลาสั้นๆ ช่วยลดความตึงเครียด เพิ่มความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม ทำให้งานดูสนุกสนานมากขึ้น และสิ่งสำคัญก็คือ คุณต้องเรียนรู้ที่พักให้เหมาะสม เมื่อมันเป็นการทำงานที่บ้าน หรือ ทำงานนอกสถานที่ Robert Pozen อาจารย์อาวุโสของ MIT เขาแนะนำให้หยุดพักทุกๆ 15 นาที ต่อการทำงาน 75–90 นาที การพักแค่ 15 นาทีนี้จะช่วยให้สมองของคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาการเรียนรู้ไว้ได้เป็นอย่างดี
3. ใช้เวลาพักเที่ยงให้เป็นประโยชน์
หากคุณพักรับประทานอาหารกลางวันในที่ทำงาน คุณมีสิทธิที่จะใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นประโยชน์ มันซึ่งหมายความว่าคุณไม่ควรถูกคาดหวังให้ทานอาหารที่โต๊ะทำงานและทำงานตลอดมื้อเที่ยงเสมอ หากระดับความเครียดของคุณสูงหรือมีความเครียดเรื้อรัง คุณสามารถใช้ช่วงเวลาพักเที่ยงเวลานี้เพื่อเพลิดเพลินกับมื้ออาหารของคุณอย่างมีสติ คุณยังสามารถทำสมาธิสั้นๆ หรือฝึกการหายใจได้ ในระหว่างทานอาหารกลางวัน
4. เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน
การสนทนาอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความต้องการของคุณและทีมของคุณสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผล สิ่งเหล่านี้รวมถึงความยืดหยุ่นของตารางการทำงานที่เต็มไปด้วยปริมาณงานที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละวัน การพูดคุยอย่างเปิดอกกับทีมงาน จะช่วยให้การแบ่งงานง่ายขึ้น และมีตัวเลือกจากวิธีการที่สร้างสรรค์เอามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน
5. ให้ความสำคัญกับสุขภาพของคุณ
ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสุขภาพร่างกาย ความสุขทางอารมณ์ และสมรรถภาพทางจิตใจถือเป็นความสำคัญเป็นลำดับแรกในชีวิตของคุณ ใช้แนวคิดเรื่องการสร้างนิสัยเพื่อสร้างการกระทำที่เรียบง่ายในแต่ละวันของคุณ ด้วยการทำสิ่งต่อไปนี้ การทำสมาธิทุกวัน การเคลื่อนไหวและการออกกำลังกาย การเข้าทางสังคม การฝึกความกตัญญู เป็นต้น
6. ฝึกการเห็นอกเห็นใจตนเอง
วิธีที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่งในการบรรลุความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ก็คือการละทิ้งความสมบูรณ์แบบ ตระหนักว่าชีวิตไม่ได้ง่ายเสมอไป ทุกคนต้องดิ้นรน และคุณไม่จำเป็นต้อง “ถูกต้อง” เสมอไป การตระหนักถึงความจริงนี้จะช่วยให้คุณสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวทางการเติบโตและการเรียนรู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นในการทำงานและในการดำเนินชีวิต
7. ขีดขอบเขตให้ชัดเจนเพื่อให้คุณสามารถถอดปลั๊กจากเรื่องงานได้อย่างแท้จริง
กำหนดชั่วโมงทำงานของคุณกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าเพื่อให้คุณมีขอบเขตที่ชัดเจนในการทำงาน ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกถึงเวลาที่คุณจะทำงานและเวลาที่คุณจะไม่สามารถตอบกลับได้ วิธีง่ายๆ ก็คือการตั้งค่าระบบตอบรับอัตโนมัติเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่ติดต่อคุณทางอีเมลว่าคุณกำลังออฟไลน์อยู่ ข้อความนี้ยังสามารถแจ้งให้พวกเขาทราบเมื่อคุณจะตอบกลับ วิธีนี้จะช่วยขจัดแรงกดดันให้กับคุณโดยไม่ต้องคอยเช็คอีเมลที่เกี่ยวกับที่ทำงานอยู่บ่อยๆ
8. ลงทุนในความสัมพันธ์
การขาดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จากสาเหตุทั้งหมดนั้น ราว 50% นั่นเกือบจะเป็นอันตรายเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวันเลย ในทางกลับกันความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและการสนับสนุนทางสังคมสามารถปรับปรุงสุขภาพและอายุยืนยาวได้
9. จัดที่ว่างในตารางเวลาของคุณสำหรับเวลาครอบครัว
เพื่อให้ขั้นตอนนี้ได้ผล ทุกคนในครอบครัวของคุณต้องให้ความสำคัญกับเวลานี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณอยู่พร้อมหน้ากัน คุณทั้งหมดต้องตัดสินใจที่จะทำตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อสร้างช่วงเวลานี้ นอกจากนี้คุณยังสามารถแยกเวลานี้เพื่อโทรหาสมาชิกในครอบครัวหรือคนที่คุณรักที่อยู่ห่างไกลได้ด้วย
10. จัดลำดับความสำคัญของเวลา
ระบุสิ่งที่สำคัญกับคุณอย่างแท้จริง แบบฝึกหัดคุณค่าหรือการสำรวจอิคิไกของคุณอาจเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการชี้แจงและอธิบายสิ่งนี้ให้กับตัวคุณเอง จากสิ่งที่คุณเรียนรู้ พิจารณาอย่างตรงไปตรงมาว่าคุณใช้เวลาส่วนตัวอย่างไร? กิจกรรมและความสัมพันธ์ใดที่ส่งเสริมชีวิตให้กับคุณ อย่าลืมว่าหนึ่งในความสัมพันธ์เหล่านั้นต้องมีช่วงเวลาที่อยู่กับตัวคุณเองด้วย ให้ตัวเองได้ใช้เวลาคุณภาพนั้นเพื่อเติมพลังให้ตัวเอง
11. เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ
พฤติกรรมที่มีสุขภาพดีสามารถสนับสนุนความรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดีส่วนบุคคลของคุณได้ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นพฤติกรรมต่างๆ เช่น ตื่นตัวอยู่เสมอและหรือพร้อมที่จะปรับปรุงนิสัยการกินของคุณ บางคนอาจจะตั้งปณิธานไว้ตอนปีใหม่และพบว่าตัวเองทำไม่ได้จริงในเดือนกุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นเพียงแค่แรงจูงใจอย่างเดียวยังไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม คุณต้องเริ่มพยายามเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่คุณคิดว่าคุณทำได้ก่อน ส่วนเรื่องดีๆ ที่เหลือจะตามมาเอง
12. ขอความช่วยเหลือ
ผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จมักมีความเชื่อผิดๆ ที่ว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะพวกเขาไม่ต้องการ “รบกวน” ใครด้วยการขอความช่วยเหลือ บางครั้งเราก็ผูกตัวเองไว้กับการที่เราต้องเก่งในทุกด้านจนเกินไป ดังนั้นเราต้องรู้จักคิดในมุมใหม่ว่า การพิจารณาว่าการขอความช่วยเหลือถือเป็นการให้ของขวัญแก่ผู้อื่น และเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา สิ่งนี้จะสร้างประโยชน์ของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
“การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่มีใครช่วยเราในเรื่องนี้ได้ เราต้องทำและสร้างสมดุลด้วยตัวเราเอง”
การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและลื่นไหล คุณจะได้เรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อความสนใจเกิดขึ้นและสถานการณ์ของคุณเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คุณจะต้องประเมินว่าการจัดลำดับความสำคัญของคุณว่ายังคงสอดคล้องกับการใช้เวลาและพลังงานของคุณอย่างไรบ้าง? อะไรที่สำคัญกับคุณ? และอะไรที่สำคัญรองลงมา? เพียงเท่านี้ความสมดุลในชีวิตคุณก็จะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเลย
บทสรุป
Work-life balance คือ ส่วนสำคัญของชีวิตที่บอกได้ว่าคุณทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพพอแล้วหรือยัง มันเกี่ยวข้องกับการใช้เวลาและพลังงานของคุณในแต่ละวัน เล่นกลกับความรับผิดชอบเพื่อบดบังสุขภาพ และแน่นอนว่าคุณอาจพบตัวเองในวัย 30 ต้นๆ ที่ปรากฎว่ามีร่างกายเชื่องช้าเสียยิ่งกว่าป้าข้างบ้านที่แก่กว่าคุณเกือบ 10 ปี เคยได้ยินคนพูดกันไหมว่า “ทำแต่งาน ก็แต่งงานกับงานไปเลยสิ” ถูกต้องแล้ว งานไม่ใช่เจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวของคุณแน่ๆ เพราะฉะนั้นการอนุญาตให้ตัวเองได้ออกจากงานมามีเวลาให้ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรัก เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้ยังแน่นแฟ้นเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ควรทำ หากคุณไม่อยากแก่ตายไปพร้อมกับงานจริงๆ
“ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องอะไรที่สำคัญ คุณจะกล้าปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องรอง เพื่อรักษาสิ่งสำคัญที่สุดเอาไว้”
Reference:
Try these 12 tips to improve your work-life balance
บทความแนะนำ:
Work-Life Balance หรือ Work ไร้ Balance – เมื่องานกำลังกระทบกับชีวิตส่วนตัว