Anchoring Bias หรือ อาการ ทอดสมอเรือ คืออะไร? เราเคยยึดติดกับเหตุการณ์ที่เคยเจอในครั้งแรกหรือเปล่า? เพราะหลายๆ ครั้ง เหตุการณ์หรือสิ่งที่เราเห็นในครั้งแรกอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง หรือ เรื่องที่ถูกต้องก็ได้ แต่หลายคนกลับเชื่อและยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงเวลาที่เราได้พบเจอคน สัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ไหนเป็นครั้งแรก ช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่จิตใต้สำนึกของเราทำการคิดคำนวณอย่างหนักเพื่อตัดสินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผลลัพธ์ที่ได้เราจะเรียกมันว่า “ความประทับใจแรก” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำให้ครั้งแรกเป็นความประทับใจได้ เพราะบางคนก็สร้าง “ความไม่ประทับใจแรก” แทนเช่นกัน
“ในการเจอกันครั้งแรก คุณควรทำตัวให้ดีๆ”
พอได้มีโอกาสกลับมานั่งคิดไตร่ตรองดู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน การเรียน ความรัก หรือสังคม ทุกคนมักคอยบอกให้เราสร้างความประทับใจในครั้งแรกให้ดีเสมอ ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วเราจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ หรือ จะอย่างไรก็ตาม แต่ในครั้งแรกที่เจอกันไม่ว่ากับใครก็ตาม มันควรจะต้องสร้างให้เกิดความประทับใจเอาไว้ก่อน เราควรพับเก็บนิสัยที่แท้จริงของเราเอาไว้ก่อน เพราะนิสัยบางอย่างของเราอาจจะทำให้เรามีปัญหาตามมาได้
ทำไมเรื่องของความประทับใจแรกถึงเป็นเรื่องสำคัญ?
ผู้คนมุ่งที่จะสร้างความรู้สึกตอนเจอกันครั้งแรกให้เป็นความประทับใจ เพราะว่าการการตัดสินครั้งแรกต่อสิ่งต่อหน้า จะเป็นหลักการให้กับการตัดสินในตอนต่อๆ ไป มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องพยายามทำให้หลักการที่เขาจะใช้ในการปักใจเชื่อความคิดเกี่ยวกับเราเป็นหลักในทางที่บวก ถ้าเราเริ่มต้นจากการสร้างการปักใจเชื่อให้กับคนอื่นๆ ในทางลบ เราก็คงต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองกันนานเลยกว่าเขาจะมองเราในแง่ดีได้
“การเชื่อปักใจ มีทั้งผลดีและผลเสีย”
คำๆ นี้เป็นคำที่น่ากลัวมาก เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากความเชื่อของเรา เป็นความเชื่อที่เรามอบให้แก่สิ่งที่ผิดหรือถูก คนที่ผิดหรือถูก ตัวอย่างเช่น เมื่อความประทับใจแรกถูกสร้างขึ้น หากมันดีมากพอที่จะไม่มีอะไรมาลบล้างได้แล้วอาการ “เชื่อปักใจ” ก็จะถูกสร้างขึ้น และจะยิ่งหนักขึ้นเมื่อความประทับใจมันถูกสร้างขึ้นซ้ำๆในครั้งที่สอง สาม หรืออาจจะเป็นสิบครั้ง ความเชื่อปักใจที่ลึกลงไปยังจิตใต้สำนึก จะสร้างกำแพงมาปิดกั้นความเป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อ ผลที่ตามมาเราจะไม่รับรู้ความผิด ความบกพร่อง หรือสิ่งเลวร้ายที่ตามมาที่เกี่ยวกับความเชื่อปักใจเหล่านั้นอีกต่อไป เพราะเราได้เชื่อปักใจแล้วว่าสิ่งนั้นดีจริงๆ สำหรับเรา หรือ ในมุมมองของเรา
Anchoring Bias คืออะไร?
Anchor ในภาษาไทยของเรามันแปลว่า “สมอเรือ” ความบิดเบี้ยวทางความคิดอย่าง อาการ “ทอดสมอเรือ” ก็คือการทอดสมอเรือทางความคิดต่อสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นเอง เราปักหลักทางความคิดจากการตัดสินใจครั้งแรกว่าสิ่งตรงหน้าเป็นอย่างไร? แล้วเราก็ยึดเอาการตัดสินใจครั้งแรกเป็นหลัก แล้วปรับความคิดตามสิ่งที่เจอ จึงเกิดเป็นความบิดเบี้ยวซึ่งทำให้เรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะหลักที่เราปักในครั้งแรกเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความจริงเท่านั้น ซึ่งอาจจะยังไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เห็น
“ถึงแม้จะรู้ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง”
จากงานวิจัยมากมายที่เกี่ยวกับ Anchoring bias ทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่แล้วว่าการตัดสินใจในแรกมีโอกาสผิดพลาด และความประทับใจแรกไม่ได้น่าเชื่อถือขนาดนั้น แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่เราจะหนีอาการ “ทอดสมอเรือ” ไปได้ เพราะผู้ร่วมการทดลองทุกคนที่เข้าร่วมในงานวิจัย ต่างก็ยอมรับว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเอนเอียงของความคิดไปได้ แม้จะเข้าใจในเรื่อง อาการ “ทอดสมอเรือ”แล้วก็ตาม
สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการอาการ “ทอดสมอเรือ”
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เราไม่ได้เป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงอาการทอดสมอเรือเพียงอย่างเดียว แต่เราเองก็เป็นฝ่ายที่พยายามให้คนรอบตัวมีอาการแบบนี้เกี่ยวกับเราในแง่บวกเหมือนกัน แม้ว่าความจริงเกี่ยวกับเรามันจะบวกหรือไม่ก็ตาม แต่เราก็ยังอยากให้พวกเขาฝังเอาเรื่องของเราเอาไว้ในฝั่งบวกก่อนอยู่ดี องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่ออาการทอดสมอเรือมีดังนี้
- การพื้นอารมณ์: มีงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการพื้นอารมณ์ซึมเศร้าและอาการทอดสมอเรือทางความคิด ซึ่งคนที่มีอารมณ์ซึมเศร้าจะมีโอกาสทอดสมอทางความคิดที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากกว่าคนที่มีความสุข
- ประสบการณ์: ผู้คนที่มากไปด้วยประสบการณ์จะมีเกณฑ์อาการทอดสมอเรือ ที่ใกล้เคียงกับความจริงมากกว่าคนอื่น เพราะมีประสบการณ์ที่เคยผ่านมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินภายในความคิดของพวกเขาเอง แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถหนีจากการทอดสมอเหล่านี้ได้ แม้แต่ผู้พิพากษาที่มีประสบการณ์การตัดสินคดีมากมายก็ตาม
- บุคลิกภาพ: จากงานวิจัยพบว่ากลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและระมัดระวังตัวจะมีความเสี่ยงที่จะทอดสมอทางความคิดเกี่ยวกับคนอื่นมากกว่าคนที่ชอบเข้าสังคมและหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
“อาการทอดสมอเรือมันง่ายที่จะแสดงหลักฐาน แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย”
เหล่านักวิจัยมากมายที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับ “อาการทอดสมอเรือ” ซึ่งแสดงผลลัพธ์เกี่ยวกับความบิดเบี้ยวทางความคิดของคนมากมาก ตัวอย่างเช่น Daniel Kahneman และ Amos Tversky ได้ทำการทดลองโดยให้เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งคำนวนผลคูณของเลขดังต่อไปนี้ในหัวโดยใช้เวลาเเค่ 5 วินาทีเท่านั้น 1 x 2 x 3 x 4 x 5 x 6 x 7 x 8 เเละเขาก็ให้เด็กนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งคำนวนเลขดังต่อไปนี้โดยใช้เวลาเพียง 5 วินาทีเท่ากัน 8 x 7 x 6 x 5 x 4 x 3 x 2 x 1 ผลปรากฏว่า เด็กกลุ่มแรกได้คำตอบเฉลี่ยอยู่ที่ 512 และเด็กกลุ่มที่สองได้คำตอบเฉลี่ยอยู่ที่ 2250 โดยที่คำตอบที่แท้จริงคือ 40,320 จากปรากฏการณ์นี้เกิดจากการที่เด็กทั้งสองกลุ่มรู้ว่าตัวเองว่าไม่สามารถคำนวณเลขทั้งหมดในภายในระยะเวลา 5 วินาที จึงคาดเดาคำตอบจากการคูณเลขตัวหน้าในระยะเวลาสั้นๆ และคาดเดาให้มากกว่านั้นเล็กน้อยแทน เป็นการทอดสมอทางความคิดโดยตัดสินจากการมองเลขตัวหน้าเท่านั้น
“ความประทับใจแรก มีผลต่อการตัดสินใจในครั้งต่อไปเสมอ”
อีกหนึ่งงานวิจัยที่น่าสนใจคือการให้ผู้ร่วมการทดลองเขียนเลขสองหลักสุดท้ายของเลขประกันสังคมตัวเอง แล้วให้พิจารณาว่าตัวเองยินดีจะจ่ายเงินจำนวนเท่าไรสำหรับสินค้าที่ไม่รู้มูลค่า เช่น ไวน์ ช็อกโกแลต หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผลปรากฏว่าจำนวนเงินที่พวกเขายอมจ่ายมีเลขประกันสังคมของพวกเขาเป็นหลักในการประมูลสินค้า
“ถอนสมอ”
เพราะเราต่างก็รู้ว่าความประทับใจแรกบางครั้งก็เป็นเหมือนหลุมพรางให้เราปิดหูปิดตาจากความเป็นจริง เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าความประทับใจแรกที่เราได้รับมันใกล้เคียงกับความจริงมากน้อยแค่ไหน จึงมีทฤษฎีที่เรียกว่า “การเปลี่ยนทัศนคติ” เป็นการเปลี่ยนหลักที่เรามีต่อสิ่งที่เราได้เจอและเผลอทอดสมอไปแล้ว เตือนสติตัวเองและจำไว้เสมอว่าการเห็นเพียงครั้งแรกไม่สามารถตัดสินสิ่งต่อๆ ไปที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราสามารถเปลี่ยนทัศนคติหรือถอนสมอเกี่ยวกับสิ่งนั้นได้ตลอด เพื่อให้ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด
Anchoring หรือ อาการทอดสมอเรืออาวุธลับในการค้าขาย
พ่อค้าแม่ค้ามากมาย ใช้ความบิดเบี้ยวทางความคิดที่เกิดจาก “อาการทอดสมอเรือ” มาเป็นตัวช่วยในการค้าขาย ในเมื่อคนเรามักทอดสมอความคิดจากความประทับใจแรกเห็น จึงทำให้การตั้งราคาสินค้าให้สูงในตอนแรกเป็นการหลอกให้ผู้บริโภคทอดสมอทางความคิดเกี่ยวราคาสินค้านั้นไว้ให้สูง แม้ว่าความจริงจะไม่ใช่เลยก็ตาม
หลักจากนั้นเกมการค้าขายทางความคิดยังคงดำเนินต่อไป โดนการจัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถมอย่างที่ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าชอบทำกัน มีการลดราคาลงมาเพื่อให้ผู้บริโภคที่เคยปักหลักราคาสินค้านั้นไว้แล้วรู้สึกว่ามันถูกลง และคุ้มค่าต่อการซื้อ ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับราคาต้นทุนจริง คนขายจะได้กำไรมากมายอยู่ดี และมันก็ไม่ได้คุ้มค่าต่อการซื้อเลยก็ตาม
“ถ้าเราใช้มันให้เป็น มันจะกลายเป็นความบิดเบี้ยวที่เราเป็นคนกำหนดเองได้”
นอกจาการค้าขายแล้ว Anchoring Bias ยังเป็นประโยชน์ในการทำงานเช่น สัมภาษณ์งาน นำเสนอหรือขายงาน หรือแม้แต่การสร้างความประทับใจต่อหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานต่างๆ เป็นต้น การเป็นที่รักมักดีกว่าการเป็นที่ชังอยู่แล้ว ถ้าเราสร้างความประทับใจแรกให้คนอื่นทอดสมอเกี่ยวกับเราไว้ดีได้ การได้รับโอกาสดีๆและความหวังดีมากมายก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้รับจากคนรอบข้าง แต่อย่าลืมที่จะรักษาความประทับใจนั้นไว้ด้วย
บทสรุป
แม้ว่า Anchoring Bias จะเป็นอคติที่เกิดจากความบิดเบี้ยวทางความคิดของเรา ที่เราเผลอทำไปโดยอัตโนมัติและยากที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ บ่อยครั้งที่เราต้องเจ็บปวดหรือเสียใจกับการเชื่ออะไรแบบปักใจเพราะความประทับใจแรกที่ถูกสร้างขึ้น อย่าลืมไปว่าทุกสิ่งที่เห็นไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็น เราสามารถเปลี่ยนหลัก แล้วปักหลักเสียใหม่ได้ และความบิดเบี้ยวทางความคิดนี้มันมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน เราสามารถหาประโยชน์จากอคตินี้ได้เหมือนกัน เพียงแค่เราต้องใช้ให้เป็น ควบคุมมันให้ได้ บางทีมันอาจจะเกิดประโยชน์มากกว่าโทษก็ได้
“มันเรียบง่ายและชัดเจน ที่ความประทับใจแรกมักเป็นกลายเป็นข้อผิดพลาดใหญ่จริงๆ”
Vincent D’Onofrio
บทความแนะนำ : HALO EFFECT เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินคุณค่าของคน
Source:
https://th.wikipedia.org/wiki/Anchoring
https://thematter.co/social/10-cognitive-biasas-we-should-know/129762
https://thaipublica.org/2016/08/nattavudh-46/