
Brain fog หรือ ภาวะสมองล้า เกิดจาก ภาวะความเครียดของเราที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว อันเนื่องมาจากการที่สมองถูกใช้งานอย่างหนักเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องนั่งหน้าคอมฯ นานๆ อาการเร่งรีบทำงานที่ต้องให้เสร็จ หรือ การพักผ่อนน้อยติดต่อกันหลายๆ วัน เป็นต้น ซึ่งการเกิดภาวะสมองล้า สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และที่เกิดมากตอนนี้ก็เป็นในหมู่คนทำงาน
เราเคยตื่นมาตอนเช้าประมาณ 6 ถึง 7 โมงในช่วงหน้าหนาวไหม? หรือ เราเคยนึกภาพตอนขึ้นดอยไปอยู่บนภูเขาสูง เวลาพูดแล้วมีควันลอยออกจากปาก การมองเห็นของเราจะถูกบดบังด้วยหมอกหนาๆ ทำให้ทิวทัศน์ข้างหน้าของเรามันเลือนลางไปหมดไปใช่ไหม?
แล้วเรามาลองสลับจากการมองเห็นมาเป็นในเรื่องของความคิดแทน ถ้าอยู่ดีๆ ไม่ใช่แค่การมองเห็นที่เลือนลาง แต่เป็นสมองหรือความคิดของเรา ที่อยู่ดีๆ มันก็เกิดอาการตื้อ คิดอะไร นึกอะไรไม่ออก หรือ คิดอะไรไม่ทัน คิดช้า ตัดสินใจช้าลง หากเกิดอาการลักษณะนี้ เราคงหงุดหงิดไม่น้อย และ ก็คงอยากรู้ว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ในบทความนี้ แอดมินจะนำเรามาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ และ หาวิธีการในการรับมือในเรื่องนี้กัน
Brain fog คืออะไร?
Brain fog หรือภาวะสมองล้า ไม่ใช่อาการทางการแพทย์ แต่เป็นคำที่ใช้อธิบายความรู้สึกเฉื่อยชา เวียนศีรษะ ราวกับขาดความชัดเจนทางความคิดไป ซึ่งอาการลักษณะนี้อาจส่งผลต่อการจดจ่อและความจำของเราได้
“ภาวะสมองล้า อาจส่งผลต่อความรู้สึกของเราที่มีต่อตัวเอง เพราะทุกคนที่ประสบกับอาการนี้ มักรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง เนื่องจากสูญเสียความเฉียบแหลมทางจิตใจ ทำให้รู้สึกเป็นเรื่องแปลกสำหรับเรา”

Sabrina Romanoff, PsyD, ศาสตราจารย์และนักจิตวิทยาคลินิกในนิวยอร์กซิตี้ ได้อธิบายว่า ภาวะสมองล้าอาจส่งผลต่อความสามารถในการจดจ่อในเรื่องที่เราต้องการ หรือทำให้เราไม่สามารถจดจำสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ครบถ้วน เราทุกคนต่างเคยประสบกับความรู้สึกนี้กันบ้างเป็นครั้งคราว บางทีเราอาจรู้สึกคลุมเครือทางความคิดเพราะเป็นไข้หวัดหรือมีอาการเจ็บปวดทางด้านอื่นๆ บางทีเราอาจมีอาการเฉื่อยชาเพราะเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือในบางกรณีอาจจะมีความเลือนรางทางความคิดเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง สิ่งที่เราเคยทำ นั่นก็คือรอให้กลับสู่ภาวะปกติ แต่ภาวะสมองล้านี้มันต่างออกไป
สาเหตุของภาวะสมองล้า
มีสาเหตุมากมายที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะสมองล้า แต่หากเราสามารถระบุได้ว่าสาเหตุของภาวะสมองล้าที่เรากำลังประสบอยู่คืออะไร? เราก็จะสามารถหาทางแก้ไขได้อย่างถูกวิธี และนี่คือสาเหตุที่เป็นไปได้ 6 ประการของการเกิดภาวะสมองล้า
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังอาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ยังทำให้เราเกิดความเหนื่อยล้าทางจิตใจได้อีกด้วย ทำให้การคิด ใช้เหตุผล และการมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องใดๆ กลายเป็นเรื่องยาก
- อดนอน: คุณภาพการนอนหลับส่งผลต่อการทำงานของสมอง เพราะฉะนั้นหากเรามีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีอาจทำให้สมองของเราเกิดภาวะสมองล้าได้ และการนอนน้อยเกินไปก็ทำให้ความคิดขุ่นมัว ดังนั้นเราจึงควรมีการนอนหลับที่มีคุณภาพซึ่งควรอยู่ที่ 8-9 ชั่วโมงต่อคืน
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อความจำ และทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาในระยะสั้น และระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในช่วงวัยหมดประจำเดือนอาจทำให้เกิดอาการหลงลืม สมาธิสั้น และความคิดขุ่นมัวได้อีกด้วย
- อดอาหาร: อาหารมีบทบาทอย่างมากต่อสมอง วิตามิน B12 มีส่วนช่วยในการทำให้สมองแข็งแรง ดังนั้นคนที่อดอาหารแล้วขาดวิตามิน B12 อาจทำให้เกิดภาวะสมองล้าได้ อาหารบางประเภทก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะสมองล้าได้ เช่นกัน แอสปาร์แตม (น้ำตาลเทียม) ถั่ว นม เป็นต้น ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้จะช่วยป้องกันภาวะสมองล้าได้
- ยา: หากเราพบว่าตัวเองกำลังประสบกับภาวะสมองล้าขณะรับประทานยาที่ได้จากแพทย์ ให้เรารีบปรึกษาแพทย์โดยทันที เพราะจากงานวิจัยทำให้เราทราบว่าการลดขนาดยาหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นที่ช่วยใหอาการดีขึ้นอาจส่งผลให้สมองพบกับภาวะสมองล้าได้
- เงื่อนไขทางการแพทย์: ภาวะสมองล้าที่เกิดจากเงื่อนไขทางการแพทย์เช่น การอักเสบ ความเหนื่อยล้า หรือการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเสือด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจทำให้จิตใจอ่อนล้า หากอาการหนักมากเราจะเรียกว่าอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง เป็นอาการเหนื่อยล้าที่ส่งผลต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน และทำให้เกิดภาวะสมองล้าได้เช่นกัน
อาการของภาวะสมองล้า
อาการของภาวะสมองล้า เป็นอาการที่เราสามารถสังเกตตัวเองได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น โดยปกติแล้วเราอาจจะเป็นคนรวดเร็ว กระฉับกระเฉง มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ มีความจำดี สามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างสบาย แต่จู่ๆ เราก็พบว่าสมองของคุณอึมครึมไปหมด หนักหัวเรา ราวกับว่ามีอะไรมากดทับอยู่ เราคิดอะไรไม่ออก ความจำสั้น มีอารมณ์ที่ไม่เสถียร แปรปราวอยู่บ่อยๆ และอาจมีอาการปวดหัวอยู่เนืองๆ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังเข้าสู่ภาวะสมองล้าเรียบร้อยแล้ว

เมื่อภาวะสมองล้าเจอกับ Covid-19
โควิด-19 กลายเป็นโรคที่หลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราอยู่บ้านก็ยังสามารถมากดออดหน้าบ้านให้เราได้เจอกับมันจนได้ จากการศึกษาพบว่าโควิด-19 สามารถทำลายสมองได้ บางคนได้รับความเสียหายทางสมองจากโควิดอย่างหนัก เช่น โรคไข้สมองอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง และการขาดออกซิเจนในสมอง เป็นต้น นอกจากผลกระทบต่อสมองโดยตรงแล้ว โควิด-19 ยังทำให้เกิดอาการความคิดขุ่นมัวทางความคิดและความจำเสื่อมลงได้อีกด้วย ซึ่งเป็นอาการของภาวะสมองล้านั่นเอง กล่าวได้ว่า ไม่ใช่แค่ความเครียด ความวิตกกังวลและความโดดเดี่ยวเท่านั้นที่ทำให้เกิดภาวะสมองล้า แต่การคุกคามของวิกฤตโควิด-19 ก็สามารถทำให้เกิดภาวะสมองล้าได้เช่นกัน
เราควรทำอย่างไร หากเรากำลังประสบกับโรคโควิด-19 และกำลังเผชิญหน้ากับภาวะสมองล้า?
สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำ ก็คือ การไปพบแพทย์และบอกอาการที่เรากำลังประสบอยู่ทั้งหมด อาการเหล่านี้ควรรวมไปถึงอาการภาวะสมองล้าและอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ด้วย เช่น อาการอ่อนแรง ชา สูญเสียการรับรู้กลิ่นและรับรส และปัญหาอื่นๆด้วย เช่น หายใจลำบาก ใจสั่น และปัสสาวะหรืออุจจาระผิดปกติ เป็นต้น เพื่อนำไปสู่การรักษาภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้อง
วิธีรักษาภาวะสมองล้า
การรักษาภาวะสมองล้าขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เราเป็นด้วย เช่น หากเราประสบกับภาวะสมองล้าเพราะเราเป็นโรคโลหิตจาง ให้เรารับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยเพิ่มการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและลดอาการภาวะสมองล้าของเราได้ เป็นต้น แต่ถ้าหากอาการสมองล้าของเราเกิดจากการใช้ชีวิตที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสุขภาพของเราเอง ตัวอย่างเช่น การนอนน้อย การกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ปัญหาจากการจัดการในเรื่องอารมณ์ การทำงานท่ามกลางความเครียด หรือวิตกกังวล วิธีการที่เราควรทำเพื่อรักษาภาวะสมองล้า ก็คือการนอนหลับให้ได้ 8-9 ชั่วโมงต่อคืน หรือ การจัดการกับความเครียดด้วยการเรียนรู้ข้อจำกัดของตัวเอง ควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนที่มากเกินไป เพิ่มความแข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในแง่ความคิด หากิจกรรมคลายเครียดทำ เช่น Forest Bathing หรือ การอาบป่า และบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นต้น
บทสรุป
ภาวะสมองล้า เป็นเรื่องที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการรักษาให้ตรงจุด หากมีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วสมองเรา เราต้องตามหาสาเหตุของการเกิดหมอกเหล่านั้น และหาวิธีกำจัดหมอกนั้นออกไปให้หมด ลองนึกภาพหน้าต่างที่มีฝ้าขึ้นจนเต็มไปหมด หากเราเช็ดหน้าต่างบานนั้นจนกลับมาใสได้อีกครั้ง เราก็จะสามารถมองผ่านหน้าต่างบานนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ดังนั้นสมองของเราก็เช่นกัน เพื่อจะขจัดความเหนื่อยล้าในสมองให้หมดไป เราก็ต้องปล่อยให้สมองของเราได้รับการพักผ่อนที่มีคุณภาพและเพียงพอ และต้องให้สมองได้ออกกำลังกายด้วยการทำกิจกรรมหรือฝึกสมองให้คิดในเรื่องสร้างสรรค์โดยไม่เกินตัว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่สมอง เท่านี้อาการภาวะสมองล้าก็ไม่สามารถทำอะไรสมองของเราได้แล้ว
Source:
What is COVID-19 brain fog — and how can you clear it?