Empathy skill คือ การเข้าใจผู้อื่นด้วย การเห็นอกเห็นใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา นึกถึงความรู้สึกของผู้อื่น และพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ทักษะนี้มีความสำคัญมากโดยเฉพาะหัวหน้าหรือผู้นำในยุคนี้
หากพูดถึงในเรื่องของการทำงานแล้ว ตำแหน่งหัวหน้าหรือตำแหน่งผู้บริหาร ถือเป็นตำแหน่งสูงสุด ที่ไม่ว่าใครก็ต้องฝันถึง คำพูดที่บอกว่า “ใครบ้างจะอยากเป็นลูกน้องไปตลอดชีวิต” มันมาจากความจริง ไม่เพียงคำพูดในละครหลังข่าวเท่านั้น แต่หลังจากเมื่อได้เป็นหัวหน้าสมใจอยากแล้วมันไม่ได้จบอยู่แค่นั้น มันยังมีทางไปต่อว่าเราจะสามารถเป็นหัวหน้าที่ดีได้ไหม? ลูกน้องจะรักเราหรือเปล่า? หรือ เราจะสามารถพาทีมของเราประสบความสำเร็จได้ไหม?
“คนเก่งแค่งาน ไม่สามารถเป็นหัวหน้าได้”
ตำแหน่งหัวหน้า ในความคิดบางคนอาจจะหมายถึงใครสักคนที่ทำงานเก่ง ไหวพริบดี สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะได้ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านั้นมันไม่ผิดเลย เพราะหัวหน้าที่ดีควรเก่งให้สมกับที่ได้เป็นหัวหน้าจริงๆ แต่สูตรสำเร็จของการเป็นหัวหน้าที่ดี ไม่ใช่ว่าเก่งอย่างเดียวก็สามารถจะเป็นได้ เพราะงานก็ต้องทำเป็นทีม การปฏิสัมพันธ์ของคนในทีมจึงต้องเกิดขึ้นในทางที่ดี เพื่อให้งานออกมาได้ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่หัวหน้าควรมีก็คือ “ความเห็นอกเห็นใจ”
การที่เราสามารถเข้าใจความรู้สึกหรือมุมมองของคนอื่นผ่านประสบการณ์ของเขาโดยไม่เอาประสบการณ์ของเราไปตัดสิน เป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญต่อการเป็นหัวหน้าที่ดี ซึ่งในปัจจุบันคนมักหลงลืมทักษะนี้ไป และให้ความสนใจกันที่ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยศักยภาพในการทำงานที่สรรหามาแข่งขันกัน จนหลงลืมไปว่าวัตถุประสงค์ที่มีคือสิ่งที่อยากจะบรรลุร่วมกัน ไม่ใช่ความสำเร็จส่วนบุคคล
“ต่างคนต่างคิด และยืนหยัดในความคิดตัวเอง”
คนเราต่างกันตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว คนละพ่อ คนละแม่ เติบโตจากคนละที่ เรียนคนละโรงเรียน ความทรงจำ ประสบการณ์ หรือ สิ่งที่เรียนรู้ย่อมแตกต่างกันไปตามสิ่งที่แต่ละคนเก็บเกี่ยวมาระหว่างทาง สิ่งสำคัญในการทำงาน คือเราสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมารวมกัน ปรับจูนเข้าหากัน แล้วได้สร้างสรรค์มันออกมาได้ดีกว่าเดิมแค่ไหน? ความเห็นอกเห็นใจกันเป็นทักษะที่ช่วยผสานความแตกต่างของคน ให้สามารถกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้ เพราะหากเรายืนหยัดในความคิดของตัวเอง ว่าตัวเองเก่งแล้ว ถูกต้องแล้ว เราก็จะไม่ยอมปรับเข้าหาใคร ทำให้คนประเภทนี้ก็คงเหมาะจะทำงานคนเดียวเสียมากกว่า
“ความเครียดก็เปรียบเสมือนกับโรคระบาด”
เหตุผลที่ทำให้ความเห็นอกเห็นใจเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเป็นหัวหน้าที่ดี เพราะว่าเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในแต่ละวัน คนที่ทำงานที่เดียวกับเราต้องประสบพบเจออะไรมาบ้าง? ที่บ้านเขาเป็นอย่างไร? ระหว่างทางมาทำงานเขาต้องเจอกับอะไร? จากงานวิจัยมากมายพบผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ความเครียด” มีลักษณะเหมือนโรคระบาด มันทำลายตัวคนที่เครียด แล้วมันยังแพร่กระจายไปถึงคนรอบข้างได้อีกด้วย
“โรคเครียดกำลังระบาดไปทุกที่ทำงานและทั่วทุกมุมโลก”
จากการศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของ Qualtrics พบว่า 4.2% ของคนบนโลก เคยประสบปัญหาสุขภาพจิตย่ำแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 67% ของคนเหล่านั้นพบว่าสุขภาพจิตแย่ลงเพราะเกิดจากความเครียด ในขณะที่มีอีก 57% เกิดจากความวิตกกังวล และ 54% เกิดจากความเหนื่อยล้า นอกจากนี้ยังพบความจริงอีกว่า 53% ของผู้คนรอบตัวเราล้วนอารมณ์เศร้า 50% มีความรู้สึกหงุดหงิด 28% กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 20% ใช้เวลานานกว่าปกติในการทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ 15% มีปัญหาเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ และ 12% มีปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดชอบ
“เพราะความเครียดจากการทำงาน ที่ไม่ได้อยู่แค่ที่ทำงาน”
งานวิจัยจาก University of Illinois พบว่าผู้คนมักมีปัญหาในเรื่องการนอนหลับเมื่อพวกเขารู้สึกเครียดกับงาน หลังจากพนักงานได้อิเมล์ที่ค่อนข้างรุนแรงหรือเป็นลักษณะเชิงต่อว่าจากหัวหน้า มันจะส่งผลให้พวกเขาเกิดความเครียด มองโลกแง่ลบ และมันเริ่มลามไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันเหมือนกับโรคระบาด ผู้คนรอบข้างจะได้รับผลกระทบจากอารมณ์ที่ไม่คงที่ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าความเครียดในการทำงานส่งผลต่อการเป็นพ่อแม่ที่ดีของคนคนนั้นอีกด้วย
“ศักยภาพในการทำงานที่หัวหน้าเป็นคนกำหนดได้”
งานวิจัยจาก Georgetown University แสดงให้เห็นว่าพนักงานที่ทำงานร่วมกับหัวหน้าที่มีความเห็นอกเห็นใจสามารถดึงศักยภาพในการทำงานออกมาได้ดีกว่า และ พนักงานที่เกิดความเครียดในการทำงาน ไม่ว่าจะเกิดจากความไม่เข้าใจในเรื่องงาน หรือ เกิดจากความหยาบคายจากหัวหน้างาน สิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้ศักยภาพในการทำงานทั้งส่วนตัวและงานเป็นทีมลดลง รวมถึงการรับมือกับลูกค้าอีกด้วย
“ความเห็นอกเห็นใจมีส่วนช่วยในการสร้างผลลัพธ์ทางด้านบวก”
ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สามารถสร้างพลังบวกทั้งต่อบุคคลและต่อทีมที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมาก จากการศึกษาพนักงานกว่า 899 คน โดย Catalyst พบว่าความเห็นอกเห็นใจจากหัวหน้ามีส่วนช่วยในการสร้างผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ให้แก่ลูกน้องได้ เช่น เรื่องการหมดไฟในการทำงาน การต่อสู้กับงานที่ยากลำบาก หรือ การทำงานที่ท้าทายเพื่อยกระดับความสามารถของตัวเอง เป็นต้น
“การสร้างสรรค์ที่มาจากความเห็นอกเห็นใจ”
จากงานวิจัยพบว่ากว่า 61% ของพนักงานที่มีหัวหน้าเข้าอกเข้าใจและคอยสนับสนุนในการทำงานตลอด พวกเขาสามารถสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่พนักงานที่ร่วมงานกับหัวหน้าที่ไม่ทำความเข้าใจพนักงานเลยและมีพฤติกรรมเป็นคนหยาบคาย สามารถสร้างสรรค์งานใหม่ๆ ออกมาได้มีเพียง 13% ของพนักงานทั้งหมดเท่านั้น
“เพราะทุกคนต้องการรับรู้ถึงการมีคุณค่าและการให้เกียรติ”
จากการสอบถามผู้หญิงผิวขาวและผู้หญิงผิวสีในบริษัทแห่งหนึ่ง พบว่า 57% ของผู้หญิงขาว และ 62% ผู้หญิงผิวสี บอกว่าพวกเธอไม่มีความคิดจะลาออกจากบริษัทที่มีหัวหน้า เคารพ ให้เกียรติ และเห็นคุณค่าของพวกเธอ นอกจากนี้ 76% ของพนักงานที่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากหัวหน้า พวกเขามีความคิดที่จะต่อสัญญาว่าจ้างในบริษัทเดิม เมื่อเทียบกับบริษัทที่หัวหน้าบริหารโดยปราศจากความเห็นอกเห็นใจ พนักงานในบริษัทมีความคิดจะต่อสัญญาว่าจ้างเพียง 32% เท่านั้น
“ความเห็นอกเห็นใจที่ไม่ใช่แค่ต้องมี แต่ต้องมีอย่างครอบคลุม”
50% ของพนักงานที่ทำงานร่วมกับหัวหน้าที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ลงความเห็นว่าที่ทำงานของพวกเขามีความครอบคลุมและครบครันเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พนักงานทุกคนไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกคนได้รับความใส่ใจเท่าเทียมกันหมด เมื่อเทียบกับ 17% พนักงานที่ทำงานร่วมกับหัวหน้าที่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ หัวหน้าไม่ได้สนใจใครในตำแหน่งไหน สถานที่ทำงานไม่ได้อำนวยความสะดวกใดๆเลยด้วย
“สายสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับพนักงานที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจกัน”
งานวิจัยจาก Lund University แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจว่า ยิ่งเด็กเท่าไร ยิ่งมีการชื่นชมคุณค่าของสิ่งรอบตัวง่ายมากขึ้น แต่เมื่อเราโตมากขึ้น ความเห็นอกเห็นใจจึงเป็นเรื่องที่ยากในการจะให้หรือได้รับ ดังนั้นการที่หัวหน้ามีทักษะด้านความเห็นอกเห็นใจพนักงานคนอื่นๆ จะทำให้เกิดสายสัมพันธ์อันดีระหว่างหัวหน้าและพนักงาน แน่นอนว่ามันจะคุ้มสำหรับผู้ให้แน่นอนไม่ว่าจะเป็นศักยภาพในการทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ ความจงรักภักดี หรือ มิตรภาพในที่ทำงาน
โดยผู้นำหรือหัวหน้า สามารถตระหนักถึงความเห็นอกเห็นใจในได้ 2 ทาง ด้วยกันดังต่อไปนี้
- พวกเขาอาจจะพบเห็นความจริงเกี่ยวกับพนักงานที่ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นความยากลำบากทางครอบครัว การเดินทางมาทำงาน ปัญหาชีวิตหรือปัญหาด้านสุขภาพ เป็นต้น ความจริงเหล่านั้นจะทำให้หัวหน้าเริ่มหันมาถามตัวเองว่าถ้าเราเป็นพนักงานคนนั้น เราจะทำอย่างไรดี เราจะคิดอะไรอยู่ เมื่อคิดได้ความเห็นอกเห็นใจจะเกิดขึ้น
- หัวหน้าไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุขภาพจิต พวกเขาแค่ต้องบริหารอย่างมีการตระหนักถึงผู้อื่น มันเพียงพอแล้วกับการลองถามหรือสนใจพนักงานเกี่ยวกับเรื่องราวที่พวกเขาอาจจะอยากจะแบ่งปัน ซึ่งหัวหน้ายังสามารถสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในด้านอื่นๆให้แก่ พนักงานได้อีกด้วยเช่น สวัสดิการ การหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้คำปรึกษา หรือเชิญนักจิตวิทยามาให้คำแนะนำในด้านต่างๆ เป็นต้น
“คนอาจจะจำไม่ได้ว่าคุณพูดกับพวกเขาว่าอะไร แต่พวกเขาจะจำได้ว่าคุณทำให้เขารู้สึกอย่างไร”
หัวหน้าที่ดี ไม่ใช่หัวหน้าที่คอยพูดว่าจะดูแลพนักงานอย่างไร? การกระทำที่แสดงออกว่าหัวหน้าเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจเหล่าพนักงานของเขา เช่น การให้กำลังใจ หรือ การเสนอความช่วยเหลือให้แก่พนักงานทุกคน สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งที่หัวหน้าที่ดีควรทำ คำพูดอาจจะซื้อใจได้เพียงชั่วครู่ แต่การกระทำต่างหากที่จะทำให้พนักงานให้ใจและจงรักภักดีกับหัวหน้าไปตลอด
บทสรุป
การเป็นหัวหน้าที่ดีสำหรับพนักงานทุกคน ไม่ใช่เพียงการทำงานเก่งเท่านั้น เพราะถ้าเก่งงาน แต่ไม่เก่งการบริหารคนคงเป็นหัวหน้าคุมใครให้ทำงานดีไม่ได้ หากจากประสบความสำเร็จในงานไม่ใช่แค่หัวหน้าที่พยายามก้าวไปข้างหน้า แต่เราต้องไปด้วยกันทั้งทีม เพราะฉะนั้นความเห็นอกเห็นใจกันและกันเป็นสิ่งจำเป็น ทีมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจกันและกัน จะเป็นทีมที่แข็งแกร่ง งานที่มีคุณภาพจะมาจากทีมที่มีประสิทธิภาพ และทีมที่มีประสิทธิภาพต้องการหัวหน้าที่ดี
“การเป็นหัวหน้าที่ดีมันเกี่ยวกับการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น เชื่อมต่อระหว่างคนกับจุดประสงค์ของงาน สร้างแรงบันดาลใจและมอบพลังชีวิตให้กับพวกเขา”
Oprah winfrey
Reference:
Empathy Is The Most Important Leadership Skill According To Research
บทความแนะนำ:
After watching this, your brain will not be the same