Fear is the Enemy of Success – หากเรามัวแต่ที่จะกลัวคำพูดของคนรอบข้างแล้วเมื่อไหร่เราจะกล้าออกไปทำตามความฝันและเป้าหมาย ได้อย่างจริงจังสักที
ถ้าหากคุณยังไม่มีแรงบันดาลใจ ลองหาและศึกษาสิ่งเหล่านี้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน แล้วคุณจะได้รับพลังบวก แถมยังได้แนวคิด และวิธีการต่างๆมากมายจากพวกเขา
หากพูดถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นมีมากมาย และคงจะไม่มีใครไม่รู้จัก พี่ดุ๋ง คุณ พาที สารสิน หรือว่า อดีต CEO ของสายการบินนกแอร์ ซึ่งหลายๆคนคงเข้าใจว่าที่พี่ดุ๋งออกจากการเป็น CEO นกแอร์ เพราะว่าล้มเหลว แต่ใครจะรู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ในปัจจุบันนี้พี่ดุ๋งจะไม่ได้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทสายการบินนกแอร์แล้ว แต่ความฝันในการคิดริเริ่มและลงมือทำอะไรหลายๆอย่างของพี่ดุ๋งก็ไม่ได้หยุดลง
วันนี้แอดมินจะพาทุกคนมารู้จักและทำความเข้าใจวิธีการคิดในแบบฉบับของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ ชนิดที่ว่ากล้าได้กล้าเสีย กล้าที่จะเสี่ยง ถ้าเปรียบกับกีฬาก็ถือว่าเป็นกีฬาที่โลดโผนเหมือนดั่งกีฬา Extreme เลยก็ว่าได้
จุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
จากบทสัมภาษณ์ พี่ดุ๋ง ได้เล่าว่าแรกเริ่ม พี่ดุ๋งได้ทำงานด้านโฆษณาและด้านการตลาดมาก่อนซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนได้มีโอกาสมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสายการบินนกแอร์ ซึ่งได้รับคำเชิญจาก ดร.ทนง พิทยะ ถึงแม้จะไม่มีพื้นฐานการทำงานด้านนี้มาก่อน แต่พี่ดุ๋งก็ไม่เคยกลัวและลังเลที่จะลงมือทำ
การที่จะก้าวข้ามผ่านในสิ่งที่ไม่เคยนั้น ทุกคนล้วนกลัว แม้กระทั่งพี่ดุ๋งเองก็กลัวแต่สิ่งที่ทำให้พี่ดุ๋งกล้าที่จะทำคือการที่เราจะต้องมองไปในอนาคต ต้องเป็นคนกล้าเสี่ยง และด้วยลักษณะนิสัยพื้นฐานที่เป็นคนกล้า บ้าบิ่น อยู่แล้ว บนพื้นฐานของความกล้านั้นก็มีวิธีคิดที่ทำให้เราเชื่อมั่นในตนเอง เพราะว่าในการเริ่มทำบริษัทโฆษณานั้น บริษัทก็มีขนาดเล็ก มีพนักงานแค่เพียง 30 คน แต่ก็สามารถที่จะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จได้ จึงทำให้พี่ดุ๋งเกิดความมั่นใจในการกล้าที่จะทำมากขึ้น
การเป็น CEO ของสายการบินนกแอร์นั้นได้เข้าดำรงตำแหน่งด้วยอายุเพียงแค่ 30 ปี นั้นหมายความตลอดชีวิตของการทำงานล้วนมีความเสี่ยงและกล้าที่จะลงมือทำมาโดยตลอด และด้วยการเป็นนักเรียนเมืองนอกตั้งแต่วัยเพียง 4 ขวบทำให้ได้รับการปลูกฝังและหล่อหลอมให้เป็นเด็กที่ต้องใช้ชีวิตด้วยการช่วยเหลือตนเอง เอาตัวรอด มาตลอด เนื่องจากไม่ได้อยู่กับคุณพ่อและคุณแม่ ชีวิตส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทำให้ตนเองมีความกล้าที่จะเผชิญออกไปในสิ่งที่ไม่เคยทำและไม่เคยเห็นมาก่อน
บทบาทของ CEO จบลงสู่การทำธุรกิจท่องเที่ยวสไตล์ใหม่
พี่ดุ๋งได้เริ่มต้นการทำธุรกิจแบบ OTA (Online Travel Agency) เนื่องจากมีความสนใจในธุรกิจด้านนี้อยู่แล้ว ซึ่งพี่ดุ๋งได้เปิดเผยว่า ในช่วงที่เป็น CEO บริษัทสายการบินนกแอร์ ก็มีแนวคิดที่จะกระจายแบรนด์นกแอร์ไปเป็นธุรกิจต่างๆมากมาย เช่น NOK Hotel, NOK Cafe และอื่นๆอีกมากมาย เนื่องจากแบรนด์มีความแข็งแรงมากพอ จึงมีความตั้งใจที่จะขยายแบรนด์ออกไปให้ครอบคลุมทุกอย่างของการท่องเที่ยวนอกเหนือจาก NOK Air โดยมีแนวคิดว่า “เพื่อไม่เอาไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว เมื่อมีปัญหาก็จะมีธุรกิจอื่นรองรับ” ซึ่งก็ยังไม่ได้รับความคิดเห็นจากจากผู้บริหารท่านอื่น จึงทำให้สายการบินแอร์ไม่สามารถขยายไปยังธุรกิจอื่นๆได้
“เราไม่ควรเอาไข่ใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว เพราะเมื่อมีปัญหาเราก็จะไม่มีแผนสำรอง”
ซึ่งในยุคสมัยใหม่อายุของธุรกิจบางอย่างสั้นมาก หากใช้กระบวนการเดิมๆที่เคยประสบความสำเร็จแต่ใช้เวลานาน มาใช้กับยุคปัจจุบันจะไม่เหมาะสมและไม่ทันการได้ ด้วยความที่ช่วงอายุของธุรกิจในสมัยนี้สั้น และด้วยบุคลิกและแนวคิดของพี่ดุ๋งที่มีความกล้า อยากจะลงมือทำ จึงตัดสินใจลาออก จากการเป็นผู้บริหารของบริษัทสายการบินนกแอร์มาเริ่มทำธุรกิจท่องเที่ยวภายใต้ชื่อแบรนด์ที่ว่า “Really Really Cool” เพื่อที่จะสามารถครอบคลุมได้หลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ถือได้ว่าเป็นการสานต่อแนวคิดที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่เป็น CEO ของสายการบินนกแอร์ และที่ใช้คำว่า Cool เพราะ แปลว่าดี
เหตุผลที่เลือกทำธุรกิจท่องเที่ยว Tech-travel เป็นธุรกิจแรก นอกจากที่มีความสนใจและสานต่อแนวคิดแล้ว ก็เพราะว่าตนเองมีสมาคมกับสายการบินอยู่ซึ่งก็เป็น Connection ของตนเอง และพี่ดุ๋งมีความรู้ด้านนี้เยอะ จึงเข้ามาทำโดยตั้งตัวเป็น ผู้ประกอบการ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปีจึงได้เริ่มเห็นภาพและแนวทาง โดยปีแรกก็ได้ทำการศึกษา เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่ และใหญ่กว่าการบริหารงานสายการบิน จึงได้ทำการศึกษาต้นแบบ และออกแบบคิดค้นรูปแบบการทำงาน ลงทุนเข้าไปเพื่อวัดผลว่าแนวทางที่กำหนดสามารถปฏิบัติแล้วประสบผลสำเร็จได้ หลังจากนั้นในปีที่ 2 ก็ได้ทำการเริ่มปูทางธุรกิจ และปีที่ 3 ก็จะนำธุรกิจออกสู่ตลาดแต่ก็เจอกับปัญหากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งก็ทำให้ธุรกิจเกิดการชะงักตัวนิดหน่อย แต่ด้วยพี่ดุ๋งเองก็ได้ทำการวางแผนการดำเนินงานอื่นๆ สำรองไว้ จึงทำให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อได้
การดำเนินธุรกิจภายใต้วิกฤติของสถานการณ์ COVID-19
ในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 ระบาดอย่างหนักมีหลายธุรกิจได้หยุดลง บางธุรกิจปิดตัว และก็มีหลายธุรกิจที่เติบโตได้
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวแล้วสถานการณ์ COVID-19 ถือว่ามีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจเป็นอย่างมาก หลายธุรกิจไม่กล้าที่จะเสี่ยง แต่สำหรับ พี่ดุ๋ง คุณ พาที สารสิน แล้ว นี่คือโอกาสของการทำธุรกิจ
ถึงแม้ว่าในช่วงนี้จะยังคงมีสถานการณ์ COVID-19 แต่พี่ดุ๋งก็ไม่ได้หยุดหรือชะลอการดำเนินงานธุรกิจ และยังคงทำตามแผนที่วางไว้ในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งได้จัดทำเป็น แอพพลิเคชันออกมาที่แปลกใหม่และอย่างสุดท้ายจะทำการเปิด OTA ที่ได้ร่วมกับสื่อใหญ่ของต่างประเทศซึ่งเป็นการทำธุรกิจก้าวที่ใหญ่
ซึ่งในขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะทำธุรกิจ food delivery กับน้องสาว ที่มาจากแต่เดิมเคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว Doong Deng Dai และภรรยาของพี่ดุ๋งก็ได้ทำธุรกิจเจลอาบน้ำ รวมไปถึงเจลแอลกอฮอล์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในตอนนี้
โดยการทำธุรกิจในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 กำลังระบาดนี้จะต้องคำนึงถึงปัจจัย 4 คือ อาหาร ยา เครื่องแต่งกาย และที่อยู่อาศัย หมายความว่า สิ่งที่เราจะขายจะต้องอยู่ในปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นและเป็นความต้องการของผู้บริโภคในขณะนี้
การบริหารและการส่งต่อ
การที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้จะต้องมีทีมงานที่ดี และต้องบริหารคนให้เป็น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่ดุ๋งสามารถที่จะบริหารงานได้หลากหลายโดยที่ทุกอย่างประสบผลสำเร็จได้
นอกเหนือจากการทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ส่งอาหารและเจลแอลกอฮอล์ ก็ยังมีในเรื่องของการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ที่จากสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้อื่น ถ่ายเทความรู้ เปิดมุมมองในสิ่งที่ไม่เคยเห็นและคิดมาก่อน สอนวิธีคิดให้รู้จักในการทำธุรกิจว่าไม่ใช่จะคิดแค่ทำสินค้าและออกไปแข่งกับคู่แข่งขัน แต่สอนให้เปลี่ยนมุมมองหันมามองที่พฤติกรรมของคน ผู้บริโภค มองธุรกิจให้รอบด้าน ที่ไม่จำเป็นต้องศึกษาจากแค่จุดใดจุดหนึ่ง แต่เราสามารถเรียนรู้จากหลายๆที่ หลายๆแบรนด์ ดึงเอาจุดเด่นออกมาและมาพัฒนาสินค้าของเราได้ ใส่อะไรที่เกี่ยวกับพฤติกรรมลงไปในสินค้า
โดยแนวคิดเหล่านี้ล้วนเกิดมาจากการสั่งสมประสบการณ์มาเป็นระยะเวลานาน ไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฎีแนวปฏิบัติจากตำรา แต่ได้กรองความรู้จากตำราและกลั่นออกมาให้เป็นทางปฏิบัติและถึงนำมาสอน เท่ากับว่า สิ่งที่สอนเป็นแค่แนวทางแต่ถ้าอยากเรียนรู้จริงต้องลงมือทำและเรียนรู้จากของจริง คนที่มาเรียนจะได้ความมั่นใจกลับไป ผลที่ได้ คนที่เข้าเรียนหลังจากจบคอร์สแรกก็สามารถมีธุรกิจเป็นของตนเองได้ โดยสิ่งที่พี่ดุ๋งทำ คือแค่กระตุ้นให้คิดและลงมือทำ หากทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จก็กลับมาคุยกันและทำใหม่ เอาใหม่
ทักษะอะไรบ้างที่ควรมีแล้วจะประสบความสำเร็จ ในยุคนี้
- เปิดใจ เปิดความคิด รับฟัง และจงเรียนรู้ : อย่ามัวที่จะไปดูและไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นในทางที่ไม่ดี แต่ให้หันมาพัฒนาตนเอง
- ทำงานกับคนอื่นให้เป็น : ให้เกียรติผู้อื่น ต้องรู้จักสร้างพันธมิตรไว้เยอะๆ เพราะในยุคปัจจุบัน การทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียวมันประสบความสำเร็จได้ยาก
- คิดให้ลึกแต่ทำให้กว้าง : เพราะการคิดทำธุรกิจถึงแม้เราจะมีความเชี่ยวชาญ แต่ในปัจจุบันแค่ทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างเดียวมันไม่พออีกต่อไปแล้ว เราต้องวางเส้นทางทำให้ธุรกิจของเราสามารถไปสู่ระดับโลกได้ด้วย เพราะตอนนี้เราสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะมีอินเทอร์เน็ต มีระบบออนไลน์รองรับแล้ว
บทสรุป
จากบทสัมภาษณ์เรื่องราวของพี่ดุ๋ง สิ่งที่แอดมินได้เห็นก็คือ ในช่วงต้นที่พี่ดุ๋งได้กล่าวถึงชีวิตวัยเด็กที่ได้ฝึกการเอาตัวรอดทำให้เป็นคนที่กล้าคิดกล้าลงมือทำ เท่ากับว่า สังคมในการใช้ชีวิตมีส่วนในการปลูกฝังและหล่อหลอมความคิดและวิธีการของคนเรา นั่นทำให้พี่ดุ๋งเป็นคนที่มีความกล้าที่จะลงมือทำ ไม่กลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น
แล้วในกรณีของพวกเรา ถ้าหากเราเกิดในสังคมไทยที่ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก ตลอดเวลาเราไม่ได้กล้าที่จะลองและลงมือทำ หรือแม้แต่จะคิดที่จะก้าวข้ามในสิ่งที่เรากลัวและไม่เคยลงมือทำ เราจะทำอย่างไรดี?
“อย่ากลัวไปก่อน กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือ กับสิ่งที่อาจจะไม่เกิดขึ้นจริงก็ได้”
วิธีการที่ดีที่สุด นั่นก็คือ เราต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนวิธีคิด เลิกกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และหันมาลองลงมือทำ ผ่านการศึกษาและหาข้อมูล ในเรื่องของแรงบันดาลใจเยอะๆ และต้องกล้าที่จะเสี่ยงในช่วงที่ยังไม่มีพันธะ และภาระใดๆให้ต้องรับผิดชอบ
เพราะการผิดพลาด หรือ ผิดหวังในช่วงที่อายุยังน้อย ถือเป็นการล้มเล็กๆ เราสามารถเก็บประสบการณ์ และเรียนรู้กับมันได้ ดีกว่าไปล้มใหญ่ๆ ล้มตอนที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี และเมื่อเราประสบผลสำเร็จเราจะไม่ล้มกับปัญหาที่เราเคยเจอ
“เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็ไม่ควรสนใจสิ่งรอบข้างที่ทำให้เสียความมั่นใจ”
เราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย หากยังคงมีความคิดที่ กลัวไปก่อน กลัวว่าจะขาดทุน กลัวว่าจะล้มเหลว ซึ่งสิ่งที่เรากลัวล้วนเป็นสิ่งที่เรายังไม่เคยได้ลงมือทำเลย หากทำแล้วล้มเหลวก็ไม่เป็นไรเพราะเราได้ลองทำอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าหากประสบความสำเร็จ เราจะเสียดายไหมที่ไม่ได้ลงมือทำ เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะประสบความสำเร็จ
“เราไม่มีทางทำอะไรถูกใจทุกคนได้ คำวิพากษ์วิจารณ์คือหนทางแห่งการพัฒนาตนเอง และ เราต้องเชื่อมั่นบนเส้นทางที่เราเลือกเดิน”
ในบางครั้งการทำงานย่อมมีบ้างที่จะไม่ถูกใจใคร และอาจจะมีคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆ เราสามารถรับฟังได้แต่ก็เลือกที่จะนำกลับมาคิด สำหรับคำชม ข้อคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ก็รับฟัง นำกลับมาพัฒนา แต่สำหรับข้อคิดเห็นเชิงลบรับฟังได้แต่ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เชื่อมั่นในตนเองและเดินตามทางของตนเอง ในบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายรายละเอียดทั้งหมด เพราะเรารู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร?
“สิ่งที่จะลงมือทำ ถึงแม้ว่าจะต้องเสี่ยงบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องมีความมั่นใจ”
พี่ดุ๋ง บอกกับเราว่า “You have to be arrogant. If you’re not, you’re dead.” เราต้องมีความเชื่อมั่นว่าเราทำได้ กล้าที่จะทำ ต้องกล้าที่จะแตกต่างและโดดเด่น แล้วจะประสบความสำเร็จ แม้ในตอนแรกจะไม่มีใครเห็นด้วยก็ไม่ต้องสนใจ แต่จงเชื่อมั่นในตนเอง
“Growth Mindset จะทำให้เราไม่หยุดนิ่ง พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา และจะทำให้เราไม่กลัวความผิดหวัง”
การเรียนรู้ไม่ควรหยุดอยู่กับที่แม้จะประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้อยู่เสมอ เพราะโลกไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ทุกอย่างล้วนพัฒนาและก้าวหน้าออกไปทุกวัน หากอยากประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนและถาวรก็ไม่ควรที่จะหยุดเรียนรู้
ความคิดและทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกอย่างล้วนเกิดจากความคิด หากคุณอยากประสบความสำเร็จจงเปลี่ยนวิธีการคิดของคุณใหม่ ฝึกให้เป็นคนที่มีความคิดแบบ Growth Mindset เพราะความคิดสามารถเป็นตัวกำหนดชีวิตของคุณได้
และนี่คือ เรื่องราวดีๆ จาก พี่ดุ๋ง คุณ พาที สารสิน กับ “Fear is the Enemy of Success”