Growth Mindset และ Fixed Mindset ก่อนจะเราไปพูดถึงเรื่องนี้ เรามาทำความเข้าใจจุดเริ่มต้นกันเสียก่อนว่า Mindset จริงๆ แล้ว คืออะไร? แล้วมีผลอย่างไร ต่อการดำเนินชีวิตของเรา
บางคนเชื่อว่า “เพราะเขาเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน เขาคงไม่มีทางที่จะได้ร่ำเรียนสูงๆ และ คงไม่มีทางที่จะได้มีโอกาสเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่ๆ ได้อย่างแน่นอน”
แต่บางคน ก็มีความเชื่อที่ว่า “ถึงแม้เราจะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ บวกกับมีความพยายาม หาหนทางใหม่ๆ เสมอ เพื่อที่จะได้มีโอกาสเรียนในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเป็นบันไดที่จะทำให้เราได้งานที่ดี และ มีโอกาสเป็นผู้บริหารได้ในอนาคต”
เราคิดว่าอีกสัก 10 ปีข้างหน้า อนาคตของทั้งสองคนนี้ จะเป็นอย่างไร?
คนแรก มีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นแบบเดิม คือ ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่ได้มีโอกาสได้งานที่ดีทำ แล้วคิดว่าชีวิตของเขามีความสุขไหม ที่ต้องมาลงเอยแบบนี้?
คนที่สอง ถึงแม้อาจจะไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูง แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้บริหารระดับกลาง หรือ อย่างน้อยก็ต้องได้เป็นระดับหัวหน้า
ถึงแม้ว่าทั้งสองคน จะมีจุดเริ่มต้น และมาจากสังคมแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บั้นปลายชีวิตจะต้องลงเอยเหมือนกัน
เหมือนที่โบราณเขาว่าเอาไว้ “คิดอย่างไร เชื่ออย่างไร ก็จะได้อย่างนั้น”
นี่แหละครับ ที่เขาเรียกว่า Mindset คือ เรื่องของความคิด ที่มีผลมาจากความเชื่อ และ มีผลมาจากประสบการณ์ของเราที่สะสมมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทั้งความคิดและความเชื่อของเรา ก็จะส่งผลต่อพฤติกรรม และ การดำเนินชีวิตของเราด้วย
ดังนั้น “ถ้าความเชื่อของเรามีมากพอ บวกกับความพยายามของเรา จะทำให้เราเติบโต และ มีโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคตได้”
Carol Dweck ผู้เขียนหนังสือ Mindset : The New Psychology of Success (2007) ได้ทำการศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ว่าปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกระทบทั้งเชิงบวก และ เชิงลบ ต่อความสำเร็จของมนุษย์ ผลของการศึกษาของเธอ ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า
“ความเชื่อของมนุษย์คนนึง มีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถ หรือ ศักยภาพของคนคนนั้น และ ส่งผลต่อความล้มเหลวและความสำเร็จของเขาได้เช่นกัน”
“นอกจากนี้ความเชื่อ ยังมีผลในเรื่องของการเข้าใจความรู้สึกของตนเอง (Self-Awareness) การรับรู้คุณค่าของตัวเราเอง (Self-Esteem) ความคิดสร้างสรรค์ของเรา (Creativity) และ ความสามารถในการรับมือปัญหา หรือ อุปสรรค หรือ ความผิดหวังได้”
จากการศึกษาและการวิจัยของเธอ Carol Dweck ได้แบ่ง Mindset ของมนุษย์ออกมาเป็น 2 กลุ่ม คือ Growth Mindset และ Fixed Mindset โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลุ่มแรก Fixed Mindset : เป็นกลุ่มที่ มีความเชื่อที่ว่า คนมีทักษะ มีความสามารถ มีศักยภาพ มีความฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ หรือ มีพรสวรค์ ได้เพียงเท่านี้ หรือ ได้เพียงแค่ระดับนึง แต่จะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
กลุ่มที่สอง Growth Mindset : เป็นกลุ่มที่ มีความเชื่อที่ว่า ทักษะ ความสามารถ ศักยภาพ หรือ ความคิดสร้างสรรค์ สามารถสร้างกันได้ หรือ สามารถพัฒนาได้
เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างของ คนที่มี Fixed Mindset และ Growth Mindset มากขึ้น จึงขอยกตัวอย่างของนักศึกษา 2 คน หลังจากที่ทั้งคู่ทราบผลคะแนนของการสอบกลางภาคในวิชาคณิตศาสตร์ ว่าได้คะแนนเพียงแค่ 20 คะแนนเท่ากัน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน
นักศึกษาคนแรก เพราะเขาเชื่อว่า เขาไม่เก่งเลขเลย และก็เคยสอบตกเลขมาก่อนในวัยเด็ก เมื่อได้เห็นคะแนนสอบออกมาแบบนี้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย เพราะในใจเขาก็รู้อยู่แล้วว่าผลต้องออกมาแบบนี้
พวกเราคิดว่า ผลการสอบในครั้งต่อไปของนักศึกษาคนแรกจะเป็นอย่างไร? คะแนนสอบปลายภาคของเขาจะดีขึ้นไหม?
คำตอบคือ ไม่มีทางดีขึ้นแน่นอน มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ เพราะ นักศึกษาคนแรก เชื่อโดยสนิทใจไปแล้วว่าเขาไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์ เขาก็จะเลือกที่จะไม่พยายามเรียนรู้ หรือ ทุ่มเทเพื่อฝึกฝนทักษะนี้ ผลที่ตามมาก็คือ ไม่ใส่ใจในห้องเรียน เรียนให้ผ่านๆ ไปแต่ละวัน ในที่สุด ก็อาจจะสอบตกวิชานี้อีกก็เป็นได้ หรือ อาจจะผ่านแบบฉิวเฉียด
มาดู นักศึกษาคนที่สอง หลังจากที่ได้เห็นผลคะแนนสอบออกมาไม่ดี เขาเชื่อว่า เขาอาจจะยังไม่เก่งเลข หรือ ยังไม่เข้าใจมันมากพอ เลยทำให้เขาทำข้อสอบไม่ได้ เขาจึงหันมาใส่ใจ ทุ่มเทให้กับการเรียนเลขมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจเรียนในห้องเรียน หรือ การฝึกฝนทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม เพราะเขาเชื่อว่า หากเขาตั้งใจ และ ฝึกฝนมากขึ้น ผลลัพธ์ ย่อมออกมาได้ดีกว่าเดิมแน่นอน
ซึ่งแนวทางของนักศึกษาคนที่สอง เขามองเรื่องของความผิดหวัง หรือ ความผิดพลาด ที่ทำให้ได้คะแนนน้อยในการสอบกลางภาค คือ โอกาสในการปรับปรุง แก้ไข และ พัฒนาตนเอง เพราะเขายังมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งในการสอบปลายภาค ซึ่งต่างจากนักศึกษาคนแรก ที่ยอมแพ้ตั้งแต่แรก และก็ยอมรับว่าตนเองไม่เก่งในเรื่องเลขอีกด้วย
ตอนนี้ เราพอจะแยกออกหรือยังว่า นักศึกษาคนไหน เป็น คนที่มี Fixed Mindset หรือ Growth Mindset?
เฉลย นักศึกษาคนแรก เป็นคนที่มี Fixed Mindset
ส่วน นักศึกษาคนที่สอง คือ คนที่มี Growth Mindset นั่นเอง
แล้วเราเองจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเป็นคนที่มี Mindset แบบไหน?
พวกเรา ลองตอบคำถามเรานี้ดูว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่
ถ้าเราเชื่อว่า “ความสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากการมีพรสวรค์”
“คนเก่งเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ ส่วนคนโง่ ไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ”
“ความท้าทาย คือ อุปสรรค หรือ คือ ความกดดัน”
“ความผิดพลาด หรือ ความผิดหวัง คือ ความไม่เอาไหนของตัวเราเอง”
“คำแนะนำ หรือ คำติชม จากผู้อื่น คือ การให้ร้าย หรือ การประจานตัวเรา”
“เมื่อต้องเจอกับงานที่ยาก หรือ งานที่ไม่เคยทำมาก่อน เราจะหลีกเลี่ยงที่จะรับมาทำ”
“เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานประสบความสำเร็จ เรารู้สึกไม่พอใจ และ รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในวันข้างหน้าของเราได้”
หากเราตอบว่าไม่ใช่ ไม่ว่าในข้อใดก็ตาม นั่นแสดงว่า เราเองก็มี Fixed Mindset ปะปนอยู่ในชุดความคิดของเราเช่นกัน
แล้ว กลุ่มคนที่เป็น Growth Mindset เขาเป็นอย่างไร มีมุมมองต่อสถานการณ์เดียวกันอย่างไร?
พวกเขา เชื่อว่า “ความสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากความพยายาม”
“ความเก่ง ความสามารถ ทักษะต่างๆ สามารถพัฒนาได้”
“ความท้าทาย คือ โอกาสที่จะได้พัฒนาตนเอง และ เติบโตต่อไปได้”
“ความผิดพลาด หรือ ความผิดหวัง คือ บทเรียน ที่สอนให้เราไม่ต้องทำผิดซ้ำแบบเดิมอีก”
“คำแนะนำ หรือ คำติชม จากผู้อื่น ช่วยให้เราแก้ไข และ ปรับปรุงตัวเองได้อย่างตรงจุด”
“เมื่อต้องเจอกับงานที่ยาก หรือ งานที่ไม่เคยทำมาก่อน พวกเขาก็จะลองลงมือทำไปก่อน ถึงแม้ว่าอาจจะต้องเจอปัญหา หรือ อุปสรรคบ้างก็ตาม”
“เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานประสบความสำเร็จ พวกเขาจะรู้สึกยินดีกับเพื่อนร่วมงานด้วย และ มองเพื่อนร่วมงานเป็นแบบอย่าง”
อันที่จริงแล้ว ทุกคนก็ย่อมมีส่วนผสมของทั้ง Fixed Mindset หรือ Growth Mindset ในตัวอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใครมีตัวไหน ในเรื่องไหน มากน้อยกว่ากัน
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเคยมี Mindset แบบไหนมาก่อน ถ้าได้อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงพอจะมองเห็นหนทาง ของการเลือกที่จะมี Mindset ที่ดีต่อตนเองได้แล้วนะครับ ว่าแบบใด ที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้มากกว่าเดิม
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : Fixed Mindset ที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยในการทำงาน หรือ ในที่ทำงาน