How to get a good job – คำถามที่หลายคนก็คงอยากรู้ว่า คนเก่งๆ เขาหางานดีๆ ได้จากที่ไหน? วันนี้เรามาลองหาคำตอบดู จาก คุณ Taylor Doe ที่เขาได้บรรยายเอาไว้ในงาน TEDxOklahomaCity
Taylor Doe เล่าว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์หรือวันวาเลนไทน์ ในปี 2016 เขามีช่วงเวลาร่วมกับกลุ่มชายหนุ่ม 5 คนที่รูปของพวกเขาได้ปรากฏอยู่ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโอกลาโฮมา ย้อนกลับไปพวกเขาเจอกันครั้งแรกตอนที่เด็กชายเหล่านี้อายุได้เพียง 8 ขวบเท่านั้น พวกเขาได้เจอกันเพราะ Taylor ทำงานที่โรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองโอกลาโฮมา เขาเลือกสอนที่นั่นเพราะตัวเขาเองต้องการอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวและเด็กๆ ซึ่งเขาก็ตัดสินใจเลือกถูก เพราะเด็กทุกคนสนิทกับเขาจนเหมือนกับเขามีหลานสักสิบหรือยี่สิบคนให้เลี้ยงดู
Taylor กลุ่มชายหนุ่มทั้ง 5 คนนี้ใช้เวลาในวันวาเลนไทน์ไปกับการเช่าชุดทักซิโด้ ขับรถลีมูซีนที่เช่ามา เข้าไปเที่ยวในเมืองเพื่อแบ่งปันน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการแจกการ์ด ช็อกโกแลตและดอกกุหลาบให้กับหนักงานสาวที่ทำงานในร้านอาหารในวันแห่งความรักเช่นนี้
“ทักซิโด้”
ความน่าสนใจของชุดทักซิโด้ คือเมื่อคุณสวมใส่มัน คุณจะรู้สึกราวกับว่าตัวเองมีเงินหลายพันล้านเหรียญ มันสร้างความรู้สึกของการเป็นคนมีฐานะให้กับคุณ การเดิน การพูด และการคิดของคุณจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นเหตุผลที่ในคืนนั้น กลุ่มชายหนุ่มหลังรถลีมูซีนคันหรูกำลังคุยเรื่องการทำงานที่สร้างเงินจำนวนมาก หุ้น หรือการเดินทางที่หรูหรา แม้พวกเขาทั้งหมดจะรู้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงเพราะพวกเขาใส่ทักซิโด้เท่านั้นก็ตาม
“How to get a good job ผู้คนจะมีงานดีๆ ได้อย่างไร?”
ระหว่างที่ความสนุกกำลังดำเนินอยู่นั้น Damarion ชายหนุ่มหนึ่งในห้าคนนั้นได้พูดกับ Taylor ว่าตัวเขาเองอยากจะโตไปมีงานดีๆ ทำ และเขากำลังสงสัยว่าคนเรามีงานดีๆ ทำกันได้อย่างไร ในตอนนั้น Taylor ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ปล่อยคำถามไว้ตรงนั้นกับความสนุกที่ดำเนินต่อไปกับดอกกุหลาบที่ถูกแจกจ่ายให้กับหญิงสาวในค่ำคืนนั้น ในใจของ Taylor ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ตอนนี้เขากำลังคิดเกี่ยวกับคำถามนั้น เพราะนั่นเป็นคำถามที่กำลังถามหากุญแจสู่ความสำเร็จของชีวิต เพราะงานดีๆ ไม่ได้หมายความว่างานที่ได้เงินเยอะเพียงอย่างเดียว แต่มันคือ งานที่ทำให้เรามีเงินเหลือกินเหลือใช้ ได้ตัวเลขตามจำนวนที่เราต้องการ เรามีความสุขกับงาน ในขณะที่มีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน
“ความสามารถในการก้าวขึ้นบันไดทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีกว่า”
Taylor ไม่สามารถดึงตัวเองออกจากคำถามของ Damarion ได้ เขาเริ่มต้นทำวิจัยและสัมภาษณ์ผู้คนที่ติด 20 อันดับของผู้ที่มีรายได้ดีในอเมริกา รายได้ดีไม่ได้หมายถึงการที่คุณทำเงินได้จำนวนมากที่สุด แต่หมายถึงการที่คุณมีรายได้ในระดับที่คุณพอใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้จัดการระดับกลาง วิศวกร หรือฟรีแลนซ์ทำงานที่บ้านก็ตาม
Taylor กล่าวว่าเขาได้นำบทสัมภาษณ์ 3 ชุดที่เขาได้จากงานวิจัยมาประกอบการบรรยายให้ครั้งนี้ด้วย โดยบทสัมภาษณ์ทั้ง 3 ชุดนี้จะทำให้คุณได้พบเจอกับลักษณะของคนที่มีรายได้ดี ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการใช้ชีวิตทั่วไปของเราด้วยซ้ำ แต่ทำไมเขาถึงมีงานที่ดี รายได้ดี และมีชีวิตตามที่เขาต้องการได้ เราไปดูกันเลย
- คนที่ 1 – Stacey เป็นครูในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เธอตั้งใจทำงานอย่างหนัก หลังจากนั้นเธอก็ได้ทำงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในอเมริกา
- คนที่ 2 – Rebecca เธอตั้งใจเรียนอย่างมากเพื่อให้เรียนจบจากมหาวิทยาลัยและได้ฝึกงานที่บริษัทประชาสัมพันธ์แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็ได้งานในบริษัทที่เธอฝึกงาน
- คนที่ 3 – Trevor เขาลาออกจากงานเดิม หลังจากนั้นเขาก็มาพยายามอย่างหนักกับการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วประสบความสำเร็จเสียด้วย
“การทำงานอย่างหนัก คือกุญแจสู่ความสำเร็จ”
แม้คุณจะเห็นกลุ่มคำ “การทำงานอย่างหนัก” จากทุกบทสัมภาษณ์ที่ Taylor เล่าให้ฟัง คุณอาจจะคิดว่ามันแน่อยู่แล้วที่หากต้องการจะประสบความสำเร็จ เราก็ต้องทำงานอย่างหนักสิ การทำงานอย่างหนักเป็นความพยายามที่น่าหลงใหลเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ แต่กุญแจสู่ความสำเร็จจากบทสัมภาษณ์ทั้ง 3 คน คือคำว่า “and then” แปลว่า “หลังจากนั้น”
“ได้เวลาขุดคุ้ย”
จากวลี “หลังจากนั้น” ก็ถึงเวลาให้เรามาลองขุดคุ้ยเรื่องราวของทั้ง 3 คนนี้กัน เบื้องหลังความสำเร็จของ Stacey คือมีครอบครัวของหนึ่งคนที่เป็นลูกศฺษย์ของเธอทำงานในบริษัทในอเมริกา ซึ่งเธอได้งานก็เพราะพวกเขา ต่อไปคือ Rebecca สิ่งที่เธอไม่ได้บอกคือ พ่อของแฟนหนุ่มของเธอเป็นผู้จัดการอยู่ที่บริษัทที่เธอฝึกงาน ซึ่งแน่นอนเขามีส่วนในการทำให้เธอได้ตำแหน่งงานในบริษัทนี้ คนสุดท้ายของเรา Trevor เขาไม่ได้บอกว่าลูกเขยของเขาเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีเงินมากพอที่จะปล่อยให้ Trevor และภรรยามีชีวิตที่อิสระ มีเงินใช้ และไม่ต้องทำงานเลยนานกว่า 10 เดือน ซึ่งระหว่างนั้นพวกเขาก็ขยับขยายธุรกิจส่วนตัวกันไปเรื่อยๆ
“สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ช่วงเวลา”
Taylor ได้ให้ความหมายคำว่าช่วงเวลาเอาไว้ว่ามันคือ ผู้คนที่ปลดล็อกทรัพยากร ความรู้ และโอกาสให้คุณได้ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น Taylor ได้เล่าเรื่องของคุณปู่ของเขาให้ฟัง คุณปู่ของเขาเริ่มต้นชีวิตด้วยความยากลำบาก เขาเริ่มต้นจากการปั่นจักรยานออกไปหางานทำ เขาได้งานที่ร้านขายของชำ เขาทำงานที่นั่นจนกระทั่งมีเงินมากพอจะจ่ายค่าเทอมโดยไม่ต้องทำงานระหว่างเรียน เมื่อย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ จักรยานคันนั้นคุณปู่ได้มาจากคุณลุงของเขาเป็นคนซื้อให้ งานที่ร้านขายของชำไม่ได้มีการแข่งขันมากนัก เขาได้งานเพียงเพราะว่าร้านนั้นเป็นร้านของคนข้างบ้าน และในตอนนั้นคุณปู่ของเขาไม่ได้มีเงินมากพอจะซื้อรถขับไปทำงานหรือนั่งรถประจำทาง สิ่งที่เขาทำก็คือติดรถของคนข้างบ้านไปทำงานทุกวัน
“บอกเล่าเรื่องราวสไตล์อเมริกา โดยการละทิ้งรายละเอียดสำคัญ”
เมื่อเราได้ฟังเรื่องราวของคุณปู่ของ Taylor มันจะทำให้เราตระหนักได้ว่า คนเรามักเล่าเรื่องโดยละทิ้งส่วนสำคัญของเรื่องไป ซึ่งส่วนสำคัญเหล่านั้นมันอาจจะทำให้เราดูเก่งน้อยลง หรือดูไม่ได้เป็นฮีโร่ในสายตาคนฟังขนาดนั้น จากการค้นคว้าเพิ่มเติม Taylor พบว่าเพื่อนข้างบ้านของคุณปู่ของเขาชื่อ Ray Simmons ซึ่งเป็นคนที่ทำให้คุณปู่ของเขาประสบความสำเร็จในชีวิตแต่ปรากฎว่าทุกครั้งที่คุณปู่เล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้ Taylor ฟัง คุณปู่ไม่เคยเอ่ยชื่อของ Ray ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ความสัมพันธ์ปลดล็อกช่วงเวลา จะทำอย่างไรถ้าคุณไม่มีความสัมพันธ์เหล่านี้?”
เรื่องราวของทั้ง 4 คนทำให้ Taylor ตระหนักได้ว่าความสัมพันธ์เป็นตัวปลดล็อกช่วงเวลา ซึ่งหมายถึงทรัพยากร ความรู้ และโอกาส เมื่อ Taylor ขุดคุ้ยลงไปให้ลึกยิ่งกว่านั้นในเรื่องราวของคุณปู่ เขาได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในช่วงเวลานั้น ละแวกบ้านที่คุณปู่ของเขาอาศัยอยู่มีแนวการปฏิบัติที่กีดกันไม่ให้คนผิวดำเข้ามาอาศัยอยู่ในละแวกเดียว มันทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของ Marion หนึ่งในเด็กหนุ่มผิวดำรถลีมูซีนที่เขาเป็นพี่เลี้ยงให้เคยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับคุณปู่ทวดของเขา ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม เขามักจะไม่ประสบความสำเร็จ และการหางานก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะเขามักจะจบลงที่ไม่ได้งานอยู่เสมอ สิ่งที่ตอบคำถามของเรื่องนี้คือคุณปู่ของ Taylor และคุณปู่ทวดของ Marion อยู่ในบ้านละแวกใกล้กัน
“โอกาสที่ถูกล็อก”
สิ่งที่คุณปู่ของ Taylor มีคือ โอกาสที่คนผิวดำไม่มี คุณปู่ของ Taylor มีกุญแจไขเข้าสู่ประตูแห่งความสำเร็จ และกุญแจนั้นก็คือ Ray มันคือแนวคิดที่เรียกได้ว่าโอกาสที่ถูกล็อก ซึ่งคุณไม่มีโอกาสเลยเว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีความสัมพันธ์ ดังนั้นกุญแจสู่ความสำเร็จก็คือความสัมพันธ์ เราลองย้อนกลับไปที่เรื่องราวของ Rebecca กัน เธอได้งานในบริษัทที่พ่อของแฟนเธอเป็นผู้จัดการอยู่ ในการสัมภาษณ์นั้นเธอได้ลงรายละเอียดไปอีกว่าครั้งหนึ่งที่เธอนั่งรับประทานอาหารกลางวันในโรงอาหารของเด็กฝึกงาน บนโต๊ะของเธอมีเด็กฝึกงานราวๆ 10 คนได้ มีคนหนึ่งลื่นล้มที่โรงอาหาร เธอเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาจึงได้รู้ว่าพ่อของเขารู้จักกับคนที่ทำงานในบริษัทนี้ เขาเลยได้งาน จากนั้นเด็กฝึกงานอีกคนก็พูดขึ้นมาว่าเธอทำงานกับ Katheryn ซึ่งรู้จักกับคนที่ทำงานที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอได้งาน นี่เป็นโอกาสที่ปิดตายหากคุณไม่รู้จักใครเลย
“ทุกคนเกิดมาพร้อมจำนวนกุญแจที่แตกต่างกันมาก”
โอกาสของการทำงานหรือชีวิตของเราถูกปลดล็อกผ่านกุญแจที่เรียกว่าความสัมพันธ์ นับครั้งไม่ถ้วนที่เราต้องเผชิญหน้ากับประตูที่ถูกล็อก ความสำเร็จหรือโอกาสที่ยากเกินจะได้รับเพียงเพราะเราไม่มีความสัมพันธ์กับใคร คุณก็รู้ว่าประตูเหล่านั้นมันถูกปิดตายสำหรับคนที่ไม่มีความสัมพันธ์ ความจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับประตูที่ล็อก แต่มันเกี่ยวกับคุณต้องใช้กุญแจกี่ดอกเพื่อไขประตูเหล่านี้ สิ่งนี้ทำให้เราเกิดชนชั้นหรือความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น เพราะแต่ละคนไม่ได้เกิดมามีจำนวนกุญแจเท่านั้น
“มันน่าตกใจมากที่เห็นว่าคนอื่นมีกุญแจกี่ดอก และยิ่งน่าตกใจเมื่อมานั่งคิดว่าตัวเองมีกุญแจกี่ดอก”
ย้อนกลับไปเรื่องของ Demarion การที่ Taylor ไปสอนเด็กในแถบตะวันออกทำให้เขาได้เห็นว่าเด็กแต่ละคนที่นั่นมีกุญแจคนละกี่ดอก แตกต่างกันอย่างไร มันทำให้เขาย้อนกลับมามองตัวเองด้วยว่าเขามีกุญแจกี่ดอก Demarion ทำให้เขาคิดถึงตัวเอง เด็กที่มีความฝัน ความพยายาม ทำงานอย่างหนัก แต่กลับมองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเขากับโอกาสดีๆเลย
“เราทำได้ดีกว่าเมื่อเราเชื่อมโยงกัน ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง”
Raj Chetty นักสังคมศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ของ Harvard ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกวับความสัมพันธ์ระหว่างคนรวยกับคนจนว่า คนรวยจะสามารถประสบความสำเร็จและทำงานได้คล่องตัวกว่ามีการทำงานของพวกเขาเชื่อมโยงกับคนจน การที่เขาร่วมมือกันเป็นการเพิ่มจำนวนกุญแจที่เขาจะสามารถไขประตูหลายๆ บานที่เคยปิดตายได้ แต่ความจริงแล้วเราทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่แยกจากกัน โดยชนชั้นและเชื้อชาติ กลายเป็นว่าคนที่มีกุญแจจำนวนมากทำงานและอยู่ร่วมกับคนที่กุญแจจำนวนมากเหมือนกัน ในขณะที่คนที่มีกุญแจน้อยก็ใช้ชีวิตเกาะกลุ่มอยู่กับคนที่มีกุญแจน้อยต่อไป
“เพื่อให้ฉันชนะ คุณต้องแพ้”
สังคมของเราทุกวันนี้ถูกขับเคลื่อนไปด้วยการที่ทุกคนหวงกุญแจของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าการให้กุญแจกับคนอื่น ทำให้ตัวเองมีกุญแจน้อยลง ยิ่งให้มากเท่าไรก็มีโอกาสที่กุญแจในมือของเราจะหมดมากเท่านั้น เราทุกคนมีความคิดในการเอาชนะไว้ในหัวว่าถ้าฉันชนะ คุณต้องแพ้ และหากคุณชนะ นั่นหมายถึงการที่ฉันแพ้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย เมื่อเราแจกกุญแจออกไป เราจะได้กุญแจกลับมาแบบทวีคูณ
“โอกาสเป็นทวีคูณ”
ความจริงแล้วเราสามารถทุบกำแพงแล้วเปลี่ยนกฎการใช้ประตูและกุญแจเหล่านี้ได้ หากบริษัทหนึ่งเปิดรับพนักงานเข้ามาใหม่ 50 คน นั่นหมายถึงการที่คุณอาจมีกุญแจใหม่เพิ่มขึ้น 50 ดอก หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ หรือถ้าคุณไปสถานที่ใหม่ๆ พบเจอคนใหม่ๆ นั่นคือจำนวนกุญแจที่เพิ่มขึ้น การที่คุณเข้าไปในคลับ ผับ หรือร้านเหล้า นั่นคือกุญแจใหม่ หากคุณเปิดใจที่จะเปลี่ยนแปลงกฎการใช้กุญแจกับประตูเหล่านี้ได้ ช่วงเวลาจะไม่ใช่ประตูที่ถูกล็อคตาย มันจะกลายเป็นประตูที่มีลูกกุญแจทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
บทสรุป
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงคือ การที่เราเริ่มต้นจากการเปิดใจเล่าเรื่องของเราโดยไม่ละทิ้งรายละเอียดใดในเรื่องเล่าเหล่านั้น ซื่อสัตย์กับความเป็นมาของตัวเอง สังคมเราประกอบไปด้วยคนที่มีความแข็งแกร่งและคนที่เปราะบาง และความเปราะบางของคนที่หนึ่งจะสามารถเสริมความเปราะบางของคนถัดไปได้ หากความเปราะบางทั้งหมดนั้นนำมารวมกัน พวกเขาจะกลายเป็นความแข็งแกร่ง
เมื่อคุณมีกุญแจอยู่ในมือ อย่าใจแคบเพราะกลัวกุญแจในมือของคุณจะหายไป กฎการใช้กุญแจในมือคือยิ่งคุณให้ คุณยิ่งได้กลับมา ใจกว้างในการเผื่อแผ่กุญแจของคุณให้กับคนที่ไม่มีโอกาสและถูกละทิ้งเอาไว้ระหว่างทาง ความเอื้ออาทรของคุณสามารถช่วยปลดล็อกประตูให้กับคนที่ไม่มีกุญแจดอกนั้นได้
“เผื่อแผ่กุญแจของคุณ ให้กับคนอื่นๆ บ้าง ในวันหน้า คุณอาจจะได้โอกาสดีๆ แบบคาดไม่ถึง”
How people get the good jobs | Taylor Doe | TEDxOklahomaCity