How to win friends & influence people in Digital age หรือ วิธีผูกมิตรและจูงใจคนในยุคดิจิทัล ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องทำงานร่วมกับคนหลากหลาย Generation
อย่างที่เราเห็นกันในยุคนี้ว่า การทำความรู้จัก การสร้างความสัมพันธ์ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นสามารถทำได้ผ่านการพิมพ์ลงไปบนแป้นพิมพ์แล้วกดปุ่มส่งผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นผ่าน Direct Message Application ต่างๆ หรือ ผ่านทาง Social Media Platform อื่นๆ คำถามก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรื่องไหนเป็นความจริง และ เรืองไหนเป็นเรื่องโกหก เพราะในโลกออนไลน์ ยังมีช่องโหว่มากมายที่ทั้งตัวเราเอง หรือ ฝ่ายตรงกันข้ามสามารถเล่นตุกติกจากการปฏิสัมพันธ์ผ่านทางโลกออนไลน์ได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคนมากมายต้องมาเจ็บช้ำเพราะการหลอกหลวงให้เห็นกันทุกวันจากความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นและจบลงในโลกออนไลน์
How to win friends & influence people in Digital age หนังสือเล่มนี้ ถือเป็นหนังสือที่ร่วมสมัยมาก เพราะต้นฉบับถูกเขียนกันตั้งแต่โน่นในปี 1939 ซึ่งเนื้อหาสามารถเปลี่ยนชีวิตคนไปมากกว่าล้านคน ผู้คนมากมายได้เข้าถึงคำว่า รู้แจ้ง ในความลับของมิตรภาพและแรงจูงใจทางธุรกิจ โดยการตีพิมพ์ครั้งนี้ Dale Carnegie ได้มีการอัพเดทหนังสือเล่มนี้เสียใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น โดยเป็นการเปิดโลกของการปฏิสัมพันธ์ในยุคดิจิตอล ซึ่งน่าจะช่วยให้ทุกคนได้รู้แจ้งและเข้าใจในเรื่องมิตรภาพและแรงจูงใจทางธุรกิจที่เหมาะกับยุคสมัยนี้ได้
“การเรียนรู้ที่จะรับมือกับผู้คนในวิธีทางที่ถูกต้อง เปรียบเสมือนเป็นใบเบิกทางที่ดี สำหรับเรื่องความสัมพันธ์และเรื่องธุรกิจ”
ในโลกของการทำงานการบริหารจัดการและต่อรองกับผู้คนเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เราต้องเผชิญหน้าสู้ การสื่อสารเป็นศิลปะที่เราต้องทำความเข้าในทางที่สามารถพัฒนาได้ เราจึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จนเข้าใจถึงแก่นแท้ข้างในว่ามีความลับอะไรซ่อนอยู่ และเพื่อให้ตรงกับยุคสมัย เราก็คงจะไม่ได้เรียนรู้แค่การสื่อสารเฉพาะต่อหน้าเท่านั้น แต่เราจะต้องเรียนรู้แก่นแท้ของการสื่อสาร เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ในยุคดิจิตอลด้วย
“จงระมัดระวังสิ่งที่เราเป็น และสิ่งที่เราพูดไว้ให้ดี”
Social media เป็นเหมือนพรที่สามารถสร้างชื่อเสียงและเงินทองให้แก่ผู้คนจำนวนมากได้ในระยะเวลาอันสั้น บางคนสามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการทั้งๆ ที่ไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตามเหรียญมีสองด้านเสมอ ในทางกลับกัน Social media ก็สามารถเป็นคำสาป สร้างบาดแผลเป็นให้กับเราไปได้ชั่วชีวิตได้เช่นกัน ดังนั้นกิจกรรมใดๆ ก็ตามในโลกออนไลน์อย่าง Social media จึงเป็นสิ่งที่เราต้องรอบคอบมากที่สุด หากไม่อยากโดนสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้ย้อนกลับมาทำร้ายเราในภายหลัง
“ก่อนจะโพสต์อะไรลงใน Social media ให้คิดก่อนว่า อะไรคือสิ่งที่กระตุ้นให้เราทำ”
หากเรารู้ตัวว่าเป็นคนพูดจาอะไรไม่ดีและขาดสติได้ง่าย ต้องการหาที่ปลดปล่อย และ Social media ก็คือที่ที่ว่านั่นเอง ถ้าเคยทำแบบนี้ไปแล้ว หรือ กำลังคิดที่จะทำก็ขอให้เราหยุดแล้วใจเย็นๆ เอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรหรือประเด็นอะไรก็ตามที่เรากำลังจะกดโพสต์ จะเป็นเรื่องที่ทำให้เราโมโห ไม่พอใจ หรือ เรื่องนั้นมันทำร้ายจิตใจเรา และเราต้องได้รับการปล่อยออกมา หรือจะเป็นเรื่องราวดีๆ ที่เราต้องการอยากจะแบ่งปัน ก่อนกดปุ่มโพสต์หรือแชร์สิ่งเหล่านั้น ขอให้ทบทวนและคิดให้ดีเสียก่อนว่า อะไรคือแรงกระตุ้นที่ทำให้คุณต้องการจะแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้ลงใน Social media?
“คนที่เราด่าในวันนี้ อาจจะเป็นคนที่เราต้องทำงานด้วยในวันหน้า”
หากประธานาธิบดี Lincoln ยังมีชีวิตอยู่ เขาคงจะทำงานไปได้ดีในยุคดิจิทัลอย่างแน่นอน เพราะเขาเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการสื่อสารของมนุษย์ เขามักจะบอกทำใจให้เย็นก่อนที่จะพูดทุกครั้ง เขารู้จังหวะเวลาที่เหมาะสมว่าเมื่อไรที่ควรพูด เมื่อไรควรทิ้งช่วงให้ความเงียบทำงาน เขาระวังในการให้น้ำหนักทุกคำพูด และเขารู้ว่าจะดึงส่วนที่ดีที่สุดจากคนที่เขาต้องการมาได้อย่างไร? ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่ การสาดโคลนใส่ด้วยคำพูดร้ายกาจเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะ ถ้าในวันข้างหน้าเขากลายเป็นหัวหน้าของเรา วันนั้นที่ทำงานจะกลายเป็นนรกสำหรับเราในทันที
“ความเมตตาชนะเสมอ”
การแสดงออกถึงความเมตตาถือเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นความสัมพันธ์และสร้างแรงจูงใจให้แก่คนอื่น เป็นการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนที่มีความเอาใจใส่ต่อคนรอบข้างและตระหนักถึงสิ่งรอบตัวเสมอ เพราะในมุมของเรื่องความสัมพันธ์ คงไม่มีใครอยากโดนทิ้งไว้ข้างหลัง หรือ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย การแสดงออกถึงความเมตตาของเราจะทำให้พวกเขามั่นใจในการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันกับเรา พวกเขาจะรู้สึกว่าเราจะไม่ทอดทิ้งเขาแน่นอน
“เรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ควรมองหาข้อดี ไม่ใช่จดจ่อกับการหาข้อเสีย”
ในยุคดิจิทัลที่ Social media มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้คนเข้าสู่โลกออนไลน์ ไม่ใช่แค่คนธรรมดาเท่านั้นที่ก้าวเข้ามา แต่ยังรวมถึงคนมีชื่อเสียงและสิ่งต่างๆมากมายที่ล่องลอยอยู่ในโลกออนไลน์แห่งนี้ แล้วแต่ว่าเราจะหยิบอะไรขึ้นมาเชยชม สิ่งสำคัญของการค้นหาปฏิสัมพันธ์ที่ดีคือ อย่ามองเพียงจุดดำไม่กี่จุดบนผ้าขาว แต่ให้มองเข้าไปยังผ้าผืนนั้น มูลค่าของมันอาจจะอยู่ที่เนื้อผ้า ความยืดหยุ่น ขนาด หรือ การใช้สอย ซึ่งมันมันมีค่ามาพอที่จะกลบรอยดำด่าบนผ้าผืนนั้นได้
“คนเราต้องการอะไร? เพื่อที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้น”
การเข้าใจถึงความปรารถนาที่แท้จริงของผู้คนให้ได้เป็นอีกทางหนทางที่ดีในการสร้างแรงจูงใจที่มีผลต่อพฤติกรรมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของธุรกิจ ในการเข้าใจถึงความปรารถนาของคนอื่นให้สำเร็จ เราจำเป็นต้องคิดในมุมมองของคนอื่นก่อนเสมอ คิดเสมือนกับว่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะต้องการอะไร ผลประโยชน์อะไร ที่พวกเขาน่าจะต้องการ ที่สำคัญคือเราต้องเป็นคนฉลาดในการสร้างปฏิสัมพันธ์ เพราะพวกเขาจะดูออกหากการกระทำของเรามันไม่จริงใจ
“การรับฟัง ไม่ใช่แค่ได้ได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูด แต่เป็นการฟังให้ลึกลงไปถึงสิ่งที่ผู้คนพยายามสื่อสารจริงๆ”
แน่นอนว่าในส่วนของการสร้างมิตรภาพ เราต้องมีทักษะการรับฟังที่ดี ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะมีทักษะการฟังที่ดีได้ เพราะบางคนก็ทำเป็นแค่พูด แต่ปิดหูไม่ฟังคนอื่น ในแง่ของธุรกิจการฟังเป็นเหมือนการรับผลประโยชน์โดยที่ไม่ค่าใช้จ่าย ยิ่งหากเป็นการพูดจากลูกค้าหรือกลุ่มคนที่เราต้องการเข้าถึงพวกเขา ขอให้ฟังพวกเขาเอาไว้ให้เยอะ เพราะนั่นคือข้อมูลฟรีๆ ที่พวกเขาให้กับเรา
“แบ่งความสนใจให้กับคนอื่นบ้าง อย่ามัวแต่สนใจแต่ตัวเอง”
ในการทำความรู้จักและสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น สิ่งที่เราต้องการรู้ ก็คือเรื่องราวของพวกเขา ข้อมูลของพวกเขา แต่หลายคนมักพลาด เพราะเรามักจะจดจ่ออยู่กับการพูดเรื่องของตัวเอง บอกว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร ชอบอะไร ทำอะไรมาบ้าง แล้วก็ต้องมาพบว่าตัวเองต้องกลับบ้านไปมือเปล่า เพราะไม่ได้รับรู้ข้อมูลของใครเลย
“ไม่มีใครอยากยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิด”
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อน หรือคู่ค้าทางธุรกิจ ก็ต้องมีการกระทบกระทั่งให้เกิดการโต้แย้งขึ้นมาบ้างอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย และสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครอยากทำ ก็คือการยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิด แต่รู้ไหมว่าการพูดว่า “ฉันผิดเอง” สามารถสร้างผลลัพธ์ในแง่บวกได้อย่างเหลือเชื่อ เหตุการณ์นี้จะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เรา และเราจะดูเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้นเมื่อการยอมรับผิดของเราทำให้การโต้แย้งนั้นจบลง
“ปลดอาวุธทิ้งซะ แล้วเข้าหาอย่างสันติ”
มิตรภาพควรเริ่มจากพื้นฐานด้วยการทำตัวเองให้เปลือยเปล่าในการก้าวเข้าไปทำความรู้จักกับใครสักคนนึง ควรพกพลังบวกเข้าไป สร้างการเข้าหาในเชิงบวกไว้ก่อน จากผลการสำรวจพบว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้าหาคนอื่นด้วยความสดใสและความเป็นมิตร มักจะได้ในสิ่งเดียวกันกลับมา แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มนึงส่วนได้รับกลับมาเพียงความเฉยเมย ซึ่งถ้าหากเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับเรา การถูกเฉยเมยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหตุที่คนเฉยเมยกับเราก็เพราะเราเองก็เฉยเมยกับเขาเช่นกัน เหมือนที่ตัวละครในภาพยนต์หรือในละครพูดกันบ่อยๆ ว่า “ใครดีมากก็ดีกลับ ใครที่ร้ายมาก็ร้ายกลับเช่นกัน”
“การทำงานของความสัมพันธ์ มีกระบวนการ 2 รูปแบบ คือ ให้แล้วรับ กับ รับแล้วให้”
เราต้องเปิดและยอมให้ตัวเองเป็นผู้เริ่มต้นเสียก่อน ให้ก่อนบ้าง พูดก่อนบ้าง หรือเริ่มทำอะไรก่อนบ้าง ในทางธุรกิจเราอาจจะเป็นฝ่ายเสนอก่อนบ้าง เป็นฝ่ายที่ยอมเสียเปรียบก่อนบ้าง เมื่อมีการให้ในครั้งต่อไปที่เราเคยเป็นผู้รับ ฝั่งตรงกันข้ามเขาก็อาจจะตอบกลับเรามาในรูปแบบเดียวกัน แต่ทุกอย่างต้องทำไปอย่างชาญฉลาด สังเกตให้ดีและเรียนรู้ให้เยอะ เพราะคำว่ามิตรภาพก็ทำร้ายคนได้อย่างเจ็บแสบเช่นกัน แต่การพกความคิดเชิงบวกไปไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลยเช่นกัน
บทสรุป
ในยุคนี้ พวกเราหลายคนอยู่ในจุดที่กังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ หรือ สิ่งต่างๆในชีวิต ตลอดหลายปีที่โลกหมุนไป การทำความรู้จัก การเริ่มต้นมิตรภาพ การสร้างปฏิสัมพันธ์การรักษาความสัมพันธ์ และกระชับมันให้แน่นแฟ้น การสร้างแรงจูงใจผู้คนทางธุรกิจ หรือ ใรที่ทำงาน หรือ แม้กระทั่งในครอบครัว สิ่งเหล่านี้มันถูกเชื่อมโยงเข้าหากันระหว่างโลกดิจิทัลกับโลกแห่งความจริงอยู่ดี
มันเป็นไปได้เสมอ ที่เราจะสามารถยกระดับความสัมพันธ์กับใครสักคนที่เราต้องการอย่างซื่อสัตย์และเปิดเผย แต่ทุกอย่างต้องทำด้วยความรอบคอบและชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นในโลกออนไลน์ หรือโลกแห่งความเป็นจริง เพราะไม่มีสิ่งใดจะการันตีได้ว่าเขาจะคิดไปในทิศทางเดียวกับเราหรือเปล่า
ดังนั้นในเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์และแรงจูงใจผู้คน เราจำเป็นจะต้องซื่อสัตย์ เป็นตัวของตัวเอง ต้องสามารถยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองได้ ต้องพยายามมองในมุมมองคนอื่นบ้าง และเอาใจใส่กับคนอื่นให้มากขึ้น เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถกลายเป็นคนที่มีแต่คนต้องการได้แล้ว
“รอบคอบให้มากในยุคดิจิทัล เพราะเพียงแค่ในวินาทีเดียวที่กดปุ่ม “ส่ง” ธุรกิจ ความสัมพันธ์ มิตรภาพ เครือข่าย ทุกอย่างสามารถหายวับไปกับตาได้”