
Imposter Syndrome หรือ โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อคุณประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง แต่กลับรู้สึกว่า “ตัวเองไม่เก่งจริง” หรือคิดว่า “ความสำเร็จที่ได้มานั้นเพียงเพราะโชคช่วย” ความคิดนี้ทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจ และกลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นว่าคุณไม่มีความสามารถที่แท้จริง
ทำความเข้าใจกับ โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
แม้ว่าคุณจะมีหลักฐานชัดเจนว่าคุณประสบความสำเร็จ เช่น การได้รับคำชม ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือมีผลงานที่ดีเยี่ยม ความรู้สึก “ฉันยังไม่ดีพอ” ก็อาจยังคงอยู่ ความคิดนี้อาจทำให้คุณ:
- ขาดความมั่นใจในตัวเอง
- กลัวความล้มเหลวอย่างมาก
- พยายามทำงานหนักเกินไปเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
- สูญเสียพลังงานและความสุขในชีวิต
ตัวอย่างของ Imposter Syndrome ในชีวิตจริง
ตัวอย่างที่ 1: คนที่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่ง
สถานการณ์: คุณได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีม แต่คุณคิดว่า “ฉันได้ตำแหน่งนี้เพราะหัวหน้าไม่มีตัวเลือกอื่น” และเริ่มกลัวว่าลูกทีมจะมองว่าคุณไม่เหมาะสม
ความรู้สึก: คุณสงสัยว่าคุณจะทำงานนี้ได้ดีพอหรือไม่ และกลัวว่าการทำผิดพลาดจะทำให้คุณเสียชื่อเสียง
ความจริง: คุณได้รับตำแหน่งนี้เพราะหัวหน้าเห็นศักยภาพในตัวคุณจากผลงานในอดีต ไม่ใช่เพราะโชคช่วย
ตัวอย่างที่ 2: นักเรียนที่ได้คะแนนสูง
สถานการณ์: คุณได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน แต่กลับคิดว่า “ฉันโชคดีที่ข้อสอบออกตรงกับที่ฉันอ่าน ไม่ใช่เพราะฉันเก่งจริง”
ความรู้สึก: คุณกังวลว่าคุณอาจไม่สามารถรักษาความสำเร็จนี้ได้ และกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าคุณไม่ได้ฉลาดจริง
ความจริง: คะแนนที่สูงเป็นผลจากความพยายามและการเตรียมตัวของคุณเอง ไม่ใช่โชคช่วยเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างที่ 3: ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ
สถานการณ์: ธุรกิจของคุณเริ่มทำกำไรและได้รับการยอมรับ แต่คุณคิดว่า “ลูกค้าแค่บังเอิญเลือกฉันเพราะไม่มีตัวเลือกอื่น”
ความรู้สึก: คุณรู้สึกว่าความสำเร็จนี้ไม่ยั่งยืน และกลัวว่าจะถูกมองว่าไม่มีความสามารถในระยะยาว
ความจริง: ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จเพราะคุณวางแผนและนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า ไม่ใช่เพียงโชคช่วย
วิธีจัดการกับ Imposter Syndrome ด้วย Self-Coaching
1. สะท้อนความคิดและสำรวจความจริง: แทนที่จะปล่อยให้ความสงสัยครอบงำ ให้ถามตัวเองเพื่อหาความจริง
คำถาม Self-Coaching:
- มีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าฉันสมควรได้รับความสำเร็จนี้?
- คนรอบตัวเคยเห็นอะไรในตัวฉันที่ฉันมองข้ามไป?
- ความสำเร็จในอดีตของฉันคืออะไร?
เขียนรายการความสำเร็จ เช่น การทำโครงการสำเร็จ การได้รับคำชม หรือรางวัลที่เคยได้รับ เพื่อย้ำเตือนว่าคุณคู่ควรกับความสำเร็จที่คุณมี
2. เปลี่ยนความสงสัยให้เป็นแรงผลักดัน: ใช้ความรู้สึก “ยังไม่ดีพอ” เป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเองแทนที่จะปล่อยให้มันลดทอนความมั่นใจ
“อย่าปล่อยให้ความสงสัยในตัวเองลดทอนคุณค่าในสิ่งที่คุณทำได้”
คำถาม Self-Coaching:
- ฉันสามารถเรียนรู้หรือพัฒนาทักษะอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง?
- ขั้นตอนเล็ก ๆ ที่ฉันสามารถเริ่มทำวันนี้คืออะไร?
หากคุณรู้สึกว่าขาดทักษะในบางเรื่อง ลองสมัครคอร์สเรียนใหม่ อ่านหนังสือ หรือ ขอคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงาน
3. พูดกับตัวเองเชิงบวก: หยุดวิจารณ์ตัวเองด้วยคำพูดเชิงลบ และเปลี่ยนมาให้กำลังใจตัวเองเหมือนที่คุณพูดให้กำลังใจเพื่อน
“ความกลัวว่าไม่ดีพอ เป็นเพียงเงา อย่าปล่อยให้มันบดบังแสงสว่างในตัวคุณ”
คำถาม Self-Coaching:
- ถ้าฉันพูดกับตัวเองเหมือนพูดกับเพื่อน ฉันจะพูดอะไร?
- คำพูดแบบไหนที่ฉันอยากได้ยินจากคนอื่น?
ลองพูดกับตัวเองว่า “ฉันทำดีที่สุดแล้ว” หรือ “ฉันมีความสามารถและสมควรได้รับความสำเร็จนี้”
4. ยอมรับว่าคุณไม่ต้องสมบูรณ์แบบ: ไม่มีใครที่เก่งทุกด้าน การยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบช่วยลดความกดดัน และเปิดโอกาสให้คุณเรียนรู้และเติบโต
“ทุกคนมีความไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความสำเร็จที่แท้จริงคือการยอมรับและพัฒนาตัวเองในทุกวัน”
คำถาม Self-Coaching:
- ฉันตั้งความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลกับตัวเองหรือไม่?
- ฉันสามารถเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดที่ผ่านมา?
เปลี่ยนความคิดว่า “ฉันต้องเก่งทุกอย่าง” เป็น “ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด และเรียนรู้จากทุกประสบการณ์”
5. ฝึกมองตัวเองในแง่บวก: เขียนสิ่งที่คุณทำได้ดีหรือสิ่งที่คุณรู้สึกภูมิใจในแต่ละวัน เพื่อเสริมสร้างมุมมองในเชิงบวก
“การยอมรับว่าคุณเก่ง ไม่ได้แปลว่าคุณหยิ่ง มันแปลว่าคุณรู้จักคุณค่าของตัวเอง”
คำถาม Self-Coaching:
- วันนี้ฉันทำอะไรที่ควรภูมิใจ?
- มีอะไรในตัวฉันที่ทำให้ฉันแตกต่างและมีคุณค่า?
การเขียนบันทึกช่วยให้คุณสะท้อนความคิด และมองเห็นความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ
6. ขอคำแนะนำจากคนที่ไว้ใจ: บางครั้งมุมมองจากคนอื่นสามารถช่วยให้คุณเห็นคุณค่าในตัวเองที่คุณอาจมองข้าม
“ถ้าคุณรู้สึกไม่คู่ควรกับความสำเร็จ ลองถามตัวเองว่าใครที่คุณให้คุณค่ามากที่สุด และพวกเขาเห็นอะไรในตัวคุณ”
คำถาม Self-Coaching:
- ฉันสามารถขอคำแนะนำหรือความคิดเห็นจากใครได้บ้าง?
- มีใครที่ฉันสามารถพูดคุยเพื่อสร้างความมั่นใจได้?
พูดคุยกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือที่ปรึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณ คุณอาจได้รับมุมมองที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ
7. ฉลองความสำเร็จเล็กๆ บ้าง: ฝึกมองหาความสำเร็จในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การทำงานเสร็จตามกำหนด หรือการช่วยเพื่อนร่วมทีม
คำถาม Self-Coaching:
- ฉันทำอะไรได้ดีในวันนี้ที่ควรภูมิใจ?
- ฉันสามารถให้รางวัลตัวเองอย่างไรสำหรับความสำเร็จนี้?
ฉลองความสำเร็จด้วยกิจกรรมที่คุณชอบ เช่น ดูหนัง ออกไปทานข้าวกับเพื่อน หรือพักผ่อนอย่างเต็มที่
บทสรุป:
ก้าวข้าม โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
“ความสำเร็จของคุณไม่ได้มาจากโชค แต่เกิดจากความพยายามและศักยภาพที่คุณสร้างขึ้นเอง”
โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่การจัดการด้วย Self-Coaching ช่วยให้คุณสะท้อนความคิด เปลี่ยนมุมมอง และมองเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างแท้จริง จำไว้ว่าความสำเร็จของคุณไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่เป็นผลลัพธ์จากความพยายาม ความสามารถ และศักยภาพที่คุณมีอย่างแท้จริง
บทความแนะนำ:
Assertiveness – ความกล้าแสดงออก มีประโยชน์กับเราอย่างไร? ด้านใดบ้าง?
โรคที่คิดว่าตนเองไม่เก่ง หรือไม่ดีพอ เริ่มเป็นกันเยอะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี