Magorium ธุรกิจ Start-up จากประเทศสิงคโปร์ ได้คิดค้นเทคโนโลยี ที่สามารถนำขยะพลาสติกเหลือทิ้ง มาแปรรูปมาใช้เป็นวัสดุที่ในการก่อสร้างถนนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้แล้ว
ขยะพลาสติกกำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่นับวันจะยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีมาตรการรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก ด้วยการส่งเสริมให้ใช้ถุงผ้า กระเป๋าผ้า หรือ ใช้ถุงพลาสติกแบบย่อยสลายได้ กับการซื้อของตามห้างสรรพสินค้า หรือ ร้านสะดวกซื้อ หรือ ร้านค้า ต่างๆ
แต่ดูเหมือนว่ามาตรการดังกล่าว ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากมาย เพราะปริมาณขยะพลาสติกในปี 2563 นี้ มีปริมาณสูงขึ้นกว่า 60% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เอาแค่ในกรุงเทพฯ ปริมาณขยะพลาสติกทั้งหมด 3,440 ตัน/วัน (37 % ของปริมาณขยะทั้งหมด 9,370 ตันต่อวัน) ในเดือนเมษายน 2563 เพิ่มขึ้นจากปี 2562 (2,120 ตันต่อวัน) โดยเพิ่มขึ้น 1,320 ตัน/วัน (เพิ่มขึ้นประมาณ 62 %) ประกอบด้วย ขยะพลาสติกรีไซเคิลได้ 660 ตัน/วัน (19 %) และขยะพลาสติกปนเปื้อน 2,780 ตัน/วัน (81 %)
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (Covid – 19) มีปริมาณขยะพลาสติกปนเปื้อนเพิ่มขึ้น จากช่วงสถานการณ์ปกติ อาจมีสาเหตุมาจากมาตรการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ (Work from home) การสั่งสินค้าออนไลน์ รวมถึงการสั่งซื้ออาหาร Delivery ที่เพิ่มขึ้น และขยะที่นำไปรีไซเคิล มีสัดส่วนที่ลดลง จากปกติ ประมาณ 27 % — ข้อมูลจาก TEI
หากพฤติกรรมของเราในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และ การสั่งซื้ออาหาร Delivery ยังเป็นแบบนี้อยู่ ปริมาณขยะพลาสติกทั้งหมด ใน กรุงเทพฯ อย่างเดียวก็ 1,255,600 ตัน ต่อปี ซึ่งจะมีขยะพลาสติกปนเปื้อนประมาณ 81% หรือ ประมาณ 1 ล้านตัน เราจะทำอย่างไรดี กับเรื่องนี้?
ปริมาณของขยะพลาสติกสร้างปัญหาใหญ่มากให้กับสิ่งแวดล้อม ต้นเหตุของขยะพลาสติก หลักๆ ก็เกิดจากพฤติกรรมการใช้ของมนุษย์ ซึ่งยากมากที่จะแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ ในเมื่อแก้ที่ต้นเหตุไม่ได้ ก็ลองหันมา เอาขยะเหล่านี้มาใช้ประโยชน์จากมันเพื่อนำไปแก้ปัญหาในด้านอื่นๆ จะดีกว่า
ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง ประเทศสิงคโปร์ เขาก็มีปัญหาเรื่องขยะพลาสติก เช่นเดียวกัน
ปัญหาเรื่องขยะพลาสติกในสิงคโปร์ ในปี 2019 มีปริมาณถึง 930,000 ตัน ต่อปี มีเพียง 37,000 ตัน หรือ ประมาณ 4% ของขยะพลาสติกเท่านั้นที่สามารถนำไปรีไซเคิล ต่อไปได้ ข้อมูลจาก CNA
และด้วยการมาของโควิด 19 ทำให้ปัญหาเรื่องปริมาณขยะพลาสติกสูงมากขึ้น หากไม่มีมาตรการ หรือ ไม่มีวิธีการมารองรับ ในอีกไม่ช้า ประเทศสิงคโปร์ คงต้องออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อลดปัญหาที่เกิดจากปริมาณขยอย่างแน่นอน
“ขยะที่ดูเหมือนไม่มีค่า แทนที่จะทิ้ง หากเอากลับมาสร้างมูลค่า ก็อาจจะเกิดเป็นธุรกิจใหม่ได้”
บริษัท Start-up จากประเทศสิงคโปร์ ชื่อ Magorium ที่มีเป้าหมายที่จะพัฒนาวัสดุในการก่อสร้างถนนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถนำขยะพลาสติกเหลือทิ้ง มาแปรรูปมาใช้เป็นวัสดุทดแทน (บางส่วน) ในการทำถนนได้
ด้วยเทคโนโลยีของล่าสุดของ Magorium ที่ผ่านการพัฒนามาเกือบ 4 ปี สามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกเหลือทิ้งได้ถึง 6 ประเภท ซึ่ง Magorium บอกว่า เทคโนโลยีล่าสุดของพวกเขาทำได้ดีกว่าเทคโนโลยี Plastic-Waste-to-Road ของรายอื่น อาทิเช่น MacRebur จากประเทศอังกฤษ ซึ่งสามารถทำได้แค่ 4 ประเภทเท่านั้น
“เทคโนโลยีล่าสุดของ Magorium น่าจะช่วยแก้ปัญหาของขยะพลาสติกโลกได้”
เทคโนโลยีของ Magorium สามารถแยก ขยะพลาสติกเหลือทิ้ง เช่น ถุงก๊อบแก๊บ ขวดน้ำพลาสติก หลอดพลาสติก แก้วพลาสติก ช้อนส้อมพลาสติก ก้านสำลีพลาสติก ออกเป็น ผง เม็ด ชิ้น ก่อนที่จะนำไปผสมกับบิทูเมน (เรียกว่า Plastic-Bitumen Mix) เพื่อนำไปทำเป็นยางมะตอยที่ใช้ในการลาดผิวหน้าถนนนั่นเอง
ผู้บริหารของ Magorium ธุรกิจ Start-up บอกว่า การนำ ขยะพลาสติกเหลือทิ้ง มาแปรรูปด้วยเทคโนโลยีของพวกเขา เพื่อนำไปใช้ทำถนน (Plastic-Waste-to-Road) สามารถช่วยลดปริมาณการใช้ บิทูเมนที่ต้องกลั่นมาจากน้ำมันดิบ ได้ราวๆ 10-20% นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ความทนทานของผิวถนนดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ด้วยนวัตกรรมล่าสุดของ Magorium ธุรกิจ Start-up นี้เอง ส่งผลทำให้ Magorium ครองตำแหน่งแชมป์ล่าสุด ของงาน Singapore’s inaugural waste-tech startup competition “WASTE 20/20”
“ปริมาณขยะพลาสติก คือ ปัญหาใหญ่ของทุกประเทศ”
เพราะเรื่องปริมาณขยะพลาสติกเป็นปัญหาใหญ่ของทุกประเทศ หนทางในการแก้ปัญหาจะหวังพึ่งแค่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค หรือ จะออกกฏหมายมาบังคับ เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติก คงไม่เพียงพออย่างแน่นอน เพราะเราก็เห็นแล้วว่า ปริมาณขยะพลาสติกไม่ได้มีทีท่าลดลงเลย
ดังนั้น ทางภาครัฐ หน่วยงานของรัฐ จำเป็นต้องลงมาสนับสนุนภาคเอกชน เช่นบริษัท หรือ องค์กร หรือ กลุ่มธุรกิจ Start-up ในส่งเสริมการคิดค้น การหานวัตกรรม เพื่อมาแปรรูป หรือ เพื่อรีไซเคิล กลุ่มขยะพลาสติกเหลือทิ้ง ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ให้กับงานในด้านอื่นๆ หรือ ในอุตสาหกรรมอื่นๆ
การทำแบบนี้ ถือเป็นวิธีการ ที่ช่วยการแก้ปัญหาในหลายด้าน เช่น เป็นการเพิ่มมูลค่า และสร้างอาชีพ สร้างรายได้จากของเหลือทิ้ง (ขยะพลาสติกที่เหลือทิ้ง) ลดปริมาณขยะพลาสติกที่เหลือทิ้ง สามารถไปทดแทน หรือ ลดการใช้วัสดุที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดเรื่องของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ที่เกิดจากการกระบวนการกำจัดขยะพลาสติก เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยของเรา
หากเราหันมาเลือกใช้ เทคโนโลยี Plastic-Waste-to-Road บ้าง ปริมาณขยะพลาสติกเหลือทิ้ง คงจะหายไปอีกเยอะ
ขอยกตัวอย่าง ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ความกว้าง 60 เมตร ระยะทาง 5.115 กิโลเมตร สมมุติว่ามีโครงการจะทำถนนลาดยางใหม่บนถนนเส้นนี้
ถ้าใช้วิธีการประเมิน Plastic Waste Calculator ของทาง MacRebur จากประเทศอังกฤษ เราจะสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกที่เกิดจาก ถุงพลาสติกประเภท Single Use Plastic Bag ไปได้ถึงเกือบๆ 37.9 ล้านถุงเลย หากเทียบเป็น น้ำหนัก ถุงพลาสติกประเภท Single Use Plastic Bag จะมีน้ำหนักประมาณ 5 กรัม
หากมีการราดยางมะตอย แล้วใช้ เทคโนโลยี Plastic-Waste-to-Road กับถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ความกว้าง 60 เมตร ระยะทาง 5.115 กิโลเมตร ก็จะช่วยลดประมาณของขยะพลาสติกที่เป็นกลุ่ม ถุงพลาสติกประเภท Single Use Plastic Bag ไปได้ถึง 189.4 ตัน
ผลลัพธ์ ที่ตามมา (หากมีการทำขึ้นจริงๆ) คือ
ขยะถุงพลาสติกลดลงหายไป 189.4 ตัน อาจจะดูน้อยไปบ้าง แต่นี่แค่ใช้กับถนนเส้นเดียว กับระยะทางแค่ 5 กิโลเมตร หากใช้เทคโนโลยีนี้กับทุกเส้นทาง ขยะถุงพลาสติกคงหายไปเยอะอย่างแน่นอน
ปริมาณการใช้ บิทูเมน ก็จะหายไป อย่างน้อย 10-20% ยังช่วยทำให้ความทนทาน และ คุณภาพของผิวถนนดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย จะได้หมดปัญหาเรื่องถนนพังบ่อย หรือ ต้องซ่อมถี่ๆ ในบ้านเราเสียที
สำหรับเรื่องต้นทุนของการใช้ Plastic-Waste-to-Road ด้วยเทคโนโลยี Plastic-Bitumen Mix พบว่า ต้นทุนอาจจะสูงขึ้นบ้าง (แต่ไม่ได้แพงจนเอื้อมไม่ถึง) เมื่อเทียบกับการใช้ บิทูเมน แบบปกติ
แต่ถ้าหากคิดแบบองค์รวม โดยพิจารณาไปถึงผลประโยชน์ที่ได้จากด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จากเรื่องการลดปริมาณขยะพลาสติกเหลือทิ้ง ลดผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ ยังได้คุณภาพถนนที่ทนทานมากขึ้น วิธีการนี้ ถือว่าคุ้มค่า มากกว่าอย่างแน่นอน
บทสรุปของเรื่องนี้
ต้องยอมรับกับวิสัยทัศน์ของภาครัฐของประเทศสิงคโปร์ ที่ให้การสนับสนุนกับธุรกิจ Start-Up ในการคิดค้นหาทาง หานวัตกรรมเพื่อมาแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และ ปัญหาสังคม นอกจากนี้
ตัวอย่างของ Magorium ธุรกิจ Start-up ของคนรุ่นใหม่ ที่ทนไม่ได้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในประเทศของพวกเขา อันเนื่องจากปริมาณขยะพลาสติกที่นับวันก็มีปริมาณมากขึ้น ทำให้พวกเขาอยากจะลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ด้วยการอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ สร้างเป็นธุรกิจ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาดังกล่าว
สำหรับบ้านเรา ดูแล้วอาจจะอีกไกล กว่าจะทำได้เหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ เพราะของเรา การจะหวังพึ่งพารัฐอย่างเดียวคงไม่ได้ อาจจะต้องหาแนวร่วมจากภาคเอกชน หรือ องค์กรที่มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม มาร่วมมือกัน เพื่อหาแนวทางในการจัดการกับปัญหาเรื่องขยะ ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และ ทำให้เกิดเป็นธุรกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพื่อที่จะได้นำไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาวต่อไป
Source:
https://www.macrebur.com/#environment
http://www.tei.or.th/th/blog_detail.php?blog_id=51