Procrastinator หรือ คนที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง เป็นนิสัยที่ใครต่อใครหลายคน พยายามจะหาทางแก้ หรือ อยากตัดนิสัยเสียในเรื่องนี้ทิ้งไปให้ได้จริงๆ แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย แล้วเราจะรับมืออย่างไร หากเราต้องการแก้ไขนิสัยผัดวันประกันพรุ่งจริงๆ
ตัวแอดมิน ก็มีปัญหานี้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นการผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง แต่เป็นกับบางเรื่องเท่านั้น ครั้งหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงปี 4 มันเป็นเวลาก่อนสอบกลางภาคเพียง 2 อาทิตย์ และเป็นเวลาก่อนนำเสนอโปรเจคจบ 1 เดือน ตอนที่รู้ความตระหนักทำให้แอดตื่นตัวมาก คิดว่าคนอื่นก็คงเป็นเหมือนกันกับเรา พยายามจะหาหนังสืออ่านเพื่อสอบกลางภาค พยายามจะเขียนโปรเจคให้ได้สักบทสองบทเพื่อให้มีความความคืบหน้าบ้าง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ในที่สุด ก็มาจบด้วยการอดนอน 2 วันติดกัน เพื่ออ่านหนังสือก่อนสอบกลางภาค และอดนอนต่อเนื่องอีก 3 วันก่อนนำเสนอโปรเจค เพราะที่ผ่านมาทำงานไม่เสร็จ เสียเวลาไปมากมายที่มี ใช้หมดไปกับการเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม ปิดคอมพิวเตอร์ ออกไปเที่ยว พอมารู้ตัวอีกทีก็ถึงเดดไลน์ที่ต้องส่งงานเสียแล้ว
“เราแค่อยากจะดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่คนบอกว่า เรานั้นสุดยอด!”
Tim Urban เขาได้เปิดบล็อกเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคนผัดวันประกันพรุ่งขึ้น เพราะเขาเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เขาเล่าว่า ในสมัยเรียนเขาจำเป็นต้องส่งรายงานจำนวนมาก แต่เขามักทำแบบนี้เสมอ “ผัดวันประกันพรุ่ง” เขาทำวิทยานิพนธ์ 90 หน้าภายใน 72 ชั่วโมง เพราะเขาเหลือเวลาอยู่แค่นั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมีเวลาทำเป็นปีให้ทำ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะเป็นงานที่ต้องเผาแค่ไหน เขาก็ยังคาดหวังในความสุดยอดของ 72 ชั่วโมงที่เขาได้ทำลงไป แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ “นี่เป็นวิทยานิพนธ์ที่แย่มาก ถือว่าแย่สุดๆ”
“จริงๆ แล้ว การอดหลับอดนอนไม่ใช่เรื่องที่เราควรทำ”
แม้คนเราจะพูดว่า “ฉันน่ะ อดหลับอดนอนเพื่องานนี้เลยนะ” เพื่อให้ดูเหมือนกับว่าเราทุ่มเทกับงานนี้ที่สุดเลย แต่ความจริงแล้ว มันแสดงให้เห็นถึงการจัดการเวลาที่ผิดพลาดไปของเราเอง ในช่วงแรกเราจะมีแรงกระตุ้นบางอย่างว่าถ้าทำเสร็จเร็ว หลังๆ เราจะว่างนะ แต่เพราะเวลาที่เยอะทำให้แรงกระตุ้นเหล่านั้นถูกปัดตกไป พอถึงช่วงกลางของเวลา เรากลับมองเห็นเวลาที่เหลืออยู่ในช่วงหลัง และเมื่อถึงช่วงหลัง นี่แหละ คือช่วงที่แรงกระตุ้นรุนแรง จนเราปฏิเสธไม่ได้ ทำให้เราต้องอดหลับอดนอนเพื่อทำมันให้เสร็จ
ลิงรักสนุกกับผู้ตัดสินใจอย่างมีหลักการ
เมื่อได้ทำการลองแสกนสมองและเปรียบเทียบระหว่าง คนผัดวันประกันพรุ่งกับคนที่ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง Tim เขาพบสองตัวละครที่ต่างกัน คนที่ไม่ผัดวันประกันพรุ่งจะมีผู้ตัดสินใจอย่างมีหลักการคอยบังคับและควบคุมอยู่ในสมอง ในขณะที่ลิงรักสนุกสามารถควบคุมสมองของคนผัดวันประกันพรุ่งได้ทั้งหมด
“เพราะลิงไม่ชอบแผน และมักบอกกับว่าเราไปหาอะไรสนุกๆ ทำกันเถอะ”
เมื่อเราปล่อยให้ลิงตัวนี้มันควบคุมสมองของเราต่อไป แผนที่เราวางเอาไว้ก็จะล่มไปเสียทั้งหมด เพราะลิงไม่ชอบแผนการทำงานของเรา ลิงมันก็ไม่ชอบการทำงาน หรือต้องมาทำอะไรที่น่าเบื่อ หากเราเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน ลิงจะชวนให้เราดูหนัง หรือหากเราพยายามจะอ่านหนังสือ ลิงมันก็จะชวนให้เราเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรกิน หรือ ชวนเราไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่จะได้ไม่ต้องทำตามแผนงานที่เราวางเอาไว้ เช่น ไปแอบฟังคนข้างบ้านคุยกันแทน เป็นต้น
“ลิงไม่มีความจำเกี่ยวกับอดีต และไม่มีความคิดเกี่ยวกับอนาคต”
ลิงที่ควบคุมในสมองของเรา มันจะทำให้เราหลงลืมเหตุผล หลักการ และหน้าที่ของเราไป สิ่งที่เดียวที่มันทำให้เราสนใจก็คืออะไรก็ได้ที่ “ง่ายและสนุก” ไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องทำงานตามแผน เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเรื่องที่แสนจะน่าเบื่อ และถ้าการเลือกใช้ชีวิตแบบนี้มันไม่เป็นไรเลย ถ้าเราอยู่ในโลกของสัตว์ อย่างเช่น การเป็นหมา แมว หรือ การเป็นลิงสักตัว เป็นต้น
“เพราะลิงไม่รู้วิธีการใช้ชีวิตอย่างมีอารยธรรมอย่างมนุษย์”
แม้ว่ามนุษย์จะนับเป็นสัตว์สปีชีส์หนึ่งบนโลกใบนี้ แต่เราไม่ได้แค่กินอิ่ม นอนหลับเท่านั้น เรามีการดำรงชีวิตอย่างมีอารยธรรม ซึ่งลิงในหัวตัวนั้นทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ผู้ตัดสินใจอย่างมีหลักการจึงต้องเป็นคนทำหน้าที่นั้น เขาจะทำให้เราทำอะไรก็ตามที่สมเหตุสมผล เช่น ทำงานเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอีกสองอาทิตย์เราอาจจะโดนงานทับตายแน่ๆ หรือ เราต้องอ่านหนังสือได้แล้ว ถ้าไม่อยากอ่านแบบอัดสามวิชาภายในคืนเดียว เป็นต้น
“สนามเด็กเล่นที่มืดมิด”
เมื่อความบันเทิงเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ควรจะเกิด สนามเด็กเล่นมืดมิดแห่งนี้ไม่ได้สนุกนัก เพราะคนที่เข้ามาเล่นส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกผิด วิตกกังวล กลัว เครียด หรือเกลียดตัวเองได้ขณะที่อยู่ภายในสนามเด็กเล่น เพราะแม้เราจะเสพความบันเทิงเข้าไปมากแค่ไหน ส่วนลึกข้างในสมองเราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด และมันไม่ใช่เวลาที่ถูกต้องเลยที่เราจะเอาเวลาที่มีค่ามาใช้หาความบันเทิงเช่นนี้ อย่างไรก็ตามต่อให้เราเลือกไปทำสิ่งที่ถูก ก็ยังคงเลือกที่จะไม่ทำอยู่ดี และก็ยังเต็มใจที่จะก้าวเข้ามายังสวนสนุกอันมืดมิดแห่งนี้อยู่ดี
“รู้ไหม ว่าลิงกลัวอะไร?”
ลิงไม่ได้สามารถควบคุมสมองของเราได้ตลอดไป และเราเองก็ไม่สามารถอยู่ในสนามเด็กเล่นที่มืดมิดนั้นได้ตลอดไป เราต้องขอบคุณ เทพผู้พิทักษ์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ อสูรกายสติแตก มันมักจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อขับไล่ลิงออกไป และไล่เราออกมาจากสนามเด็กเล่นด้วยเช่นกัน แถมมันยังใจดีเรียกผู้ตัดสินใจอย่างมีหลักการกลับมาด้วย น่าเสียดายที่เขามักจะมาตอนที่เวลาของเราใกล้หมดแล้ว ซึ่งนั่นก็คือเวลาที่ใกล้กับเดดไลน์ส่งงานของเรา
“เมื่ออสูรกายสติแตกปรากฏ ทุกอย่าง คือหายนะ”
มันอาจจะดูเป็นข่าวดีที่มีบางอย่างไล่ลิงในหัวเราออกไปได้ และเราก็จะได้กลับมาทำงานเสียที แต่เราจะพบว่าอสูรกายออกมาก็เพราะเวลามันใกล้จวนจะหมดแล้ว หายนะเริ่มเข้ามาใกล้เรา เราจะเริ่มสติแตกตามอสูรกายในหัวของเรา เพราะงานที่เราผัดวันประกันพรุ่งมาเรื่อยๆ ยังไม่เสร็จสักอย่าง และในตอนนั้นเองที่เราต้องอดหลับอดนอนเพื่อทำงานที่ค้างอยู่ทั้งหมดให้เสร็จอีกครั้ง
“เพราะการมีเดดไลน์ การผัดวันประกันพรุ่งจึงจบลงอย่างง่ายดาย”
ถึงแม้ว่าจะเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง มาทำงานเอาสองสามวันสุดท้าย แต่งานก็เสร็จตามเดดไลน์ที่ได้วางไว้ บางคนอาจจะคิดว่าแล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน? ในเมื่อหลายคนก็เลือกที่จะมีความสุขกับเวลาที่ได้ และเลือกที่จะทุกข์ทรมานแค่ไม่กี่วันหลังจากนั้น แต่งานก็เสร็จเหมือนกัน แน่นอนว่าเราอาจจะคิดแบบนี้ก็ได้ เพราะลักษณะงานเหล่านั้นมีเดดไลน์ให้ การผัดวันประกันพรุ่ง จึงเป็นปัญหาระยะสั้นที่จบตามเดดไลน์เท่านั้น
“การผัดวันประกันพรุ่ง ที่ไม่มีเดดไลน์”
งานที่เข้ามาในชีวิตเราไม่ใช่ทุกงานที่จะมีคนคอยกำหนดเดดไลน์ให้เสมอไป ตัวอย่างเช่น การทำงานในบริษัทลงทุน การทำงานเกี่ยวกับศิลปะ หรือ การทำงานด้านดนตรี ถ้ามีงาน ก็มีเงิน เป็นอาชีพอิสระที่ไม่มีการกำหนดเดดไลน์ หรือการใช้ชีวิตอย่างการไปมาหาสู่ครอบครัวที่ต่างจังหวัด การไปเยี่ยมคนในครอบครัวที่โรงพยาบาล การดูแลสุขภาพตัวเอง หรือการเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอด เป็นต้น
“การผัดวันประกันพรุ่งบ่อยๆ มักนำพาความเสียใจระยะยาวมาให้”
ตัวอย่างคำว่า “เดี๋ยวก่อน” “พรุ่งนี้ค่อยทำ” “ไม่รีบ” หรือ “อีกสักพักค่อยทำ” คำพูดเหล่านี้ที่เรามักเลือกใช้เพื่อขอเลื่อนการริเริ่มทำอะไรสักอย่างออกไปก่อน แม้เราจะตั้งใจใช้เพื่อเลื่อนมันออกไปเพียงชั่วครู่ แต่บางครั้งมันอาจจะหมายถึงการดึงความเสียใจในระยะยาวมาให้กับเราโดยที่เราอาจจะคาดไม่ถึงได้เลย โดยเฉพาะหากเรื่องของการผัดวันประกันพรุ่งของเราเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตของเรา เช่น เป็นโอกาสได้ทุนเรียนต่อ ตำแหน่งงานที่ดีขึ้น การร่วมทำงานกับบริษัทชั้นนำ หรือ แม้แต่ชีวิตของคนใกล้ตัวของเราและชีวิตของคุณเอง
“เพราะเราไม่ได้มีเวลาเยอะขนาดนั้น บางทีอาจจะมีเวลาเหลือแค่วันนี้เท่านั้น”
เวลาในชีวิตของเราทุกคนไม่ได้มีเยอะมากพอจะทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้ แต่เรากลับใช้เวลาที่มีค่าเหล่านั้นไปกับการผัดวันประกันพรุ่ง ทั้งๆ ที่ถ้าเราเริ่มทำมันเลยในตอนแรก ในวันหลังๆ ที่เราก็จะไม่ต้องมานั่งเร่งงานให้เสร็จแบบลวกๆ เราอาจจะใช้เวลาที่เหลือในช่วงหลังมาทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่า มีความสุขมากกว่า และเหนื่อยน้อยกว่าอีกด้วย แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่เรา เราคนเดียวที่สามารถดึงผู้ตัดสินใจอย่างมีหลักการ มาทำงานแทนลิงที่รักสนุกได้ตลอดเวลาโดยเราสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องรออสูรกายสติแตกมาปรากฏตัว
บทสรุป
Procrastinator หรือ การผัดวันประกันพรุ่ง เป็นนิสัยที่ใครหลายคนพยายามหาทางแก้ หรือ อยากตัดนิสัยนี้ทิ้งไปให้ได้จริงๆ เราทุกคนต่างก็มีข้ออ้างให้ลิงมารักสนุกในสมองของเราเสมอ เช่น วันนี้เราเหนื่อย วันนี้เราง่วง วันนี้เราไม่อารมณ์ทำงาน เราสร้างเหตุผลมากมายมารองรับความผิดแทน เพราะเราเองก็ไม่ได้อยากจะยอมรับความผิดที่วันนี้เราไม่อยากทำงาน ทางแก้เดียวที่ทำได้ก็คือทำงาน ดังนั้นอย่าให้ลิงมามีอำนาจเหนือคุณ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรที่เวลาของเราจะหมดลงจนไม่สามารถผัดวันประกันพรุ่งได้อีก
“เหล่าคนที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง พวกเขาไม่ได้หดหู่เพราะไม่สามารถทำตามฝันได้ แต่ที่พวกเขาหงุดหงิดเพราะเขาไม่แม้แต่จะไล่ตามมันต่างหาก”
Inside the mind of a master procrastinator | Tim Urban
บทความแนะนำ :
POMODORO Technique – บริหารจัดการเวลาดี ชีวิตเปลี่ยน
นิสัยที่ไม่ดี ของตัวเรา ส่งผลอย่างไรกับชีวิตของเรา แล้วเราจะแก้ไขอย่างไรดี?