Move on ไปข้างหน้าสำหรับบางคน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะสามารถทำได้ ด้วยเพราะเราต่างก็มีช่วงเวลาแย่ๆ มีปัญหา หรือ มีเรื่องราวต่างๆ ที่มันยากมากที่จะลืมได้
“เรื่องที่อยากจะลืมกลับจำ เรื่องที่อยากจะจำกลับลืม”
พวกเราเคยติดอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ความทรงจำเดิมๆ กันบ้างไหม?
ความรู้สึกแบบที่ หากเปรียบเทียบก็เหนียวเหมือนหมากฝรั่ง ดึงยังไงก็ไม่หลุดออกไปสักที ซ้ำร้ายยังพาลติดตรงอื่นไปทั่วอีก บางทีก็อยากคายมันออกมาทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปเหมือนกัน แต่ก็ดันทำไม่ลง กลับอยากที่จะเคี้ยวต่อเฉยเลย บางทีก็แอบคิดนะ ว่าถ้าไม่หยิบหมากฝรั่งมันมาเคี้ยวตั้งแต่แรก มันก็คงไม่ต้องมาลงเอยแบบนี้
ถ้าเราไม่อยากติดอยู่ตรงนั้นแล้ว อยากหลุดออกมาจริงๆ แต่ทำไมมันถึงทำไม่ได้ล่ะ ทำไมมันถึงหลุดออกจากตัวเราไม่ได้สักที?
มันคือ งานที่เรายังไม่ได้สะสาง
เรื่องของหมากฝรั่ง ก็เป็นเรื่องเปรียบเปรย เปรียบเทียบกับอาการที่เราต้องตกอยู่ในวังวนปัญหา ไม่สามารถ Move on ออกจากวังวนนี้ได้
มันอาจจะมองว่า เป็นอาการ “ดราม่า” ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราก็ได้ เชื่อว่าทุกคนก็เคยเป็น และ ต้องเคยผ่านเรื่องเหล่านี้มาแล้วเหมือนกัน แต่ก็อาจจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถลุกขึ้นมาออกจากวังวนเหล่านี้ได้
ถ้าหากเราอยากเป็นหนึ่งในนั้น อยากเป็นหนึ่งในคนส่วยน้อย ที่สามารถ Move on ไปเริ่มต้นใหม่ได้ เราจะต้องทำอย่างไร?
เราจำเป็นต้องอ่านบทความนี้ให้จบแล้วล่ะ ในบทความนี้แอดมินขอใช้คำเรียกอาการแบบนี้ว่า “งานที่เรายังไม่ได้สะสาง” หรือ “Unfinished Business” ตาม Antonio Pascual-Leone นักจิตวิทยาคลินิกและหัวหน้าแล็ปวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของมหาวิทยาลัยวินด์เซอร์ในประเทศแคนาดา
คุณแอนโทนีโอ ได้ให้ความหมายคำว่า “งานที่ยังไม่ได้สะสาง” หรือ “Unfinished Business” ไว้ว่า มันคือ เรื่องของความรู้สึกที่ยึดติด ไม่สามารถก้าวออกมาจากความรู้สึกจุดที่ความสัมพันธ์ใดๆจบลงได้ ซึ่งความสัมพันธ์อาจจะเป็นได้ในหลายเรื่อง เช่น คู่รัก สามีภรรยา สัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่ง การโดนหักหลังในที่ทำงาน
ใน TEDxUniversityofWindsor หัวข้อ How to get over the end of a relationship? คุณแอนโทนีโอ เล่าว่าคนส่วนใหญ่ คิดว่าการมูฟออน หรือ การดึงตัวเองออกจากความรู้สึกแย่ๆ ล้วนเป็นเรื่องของเวลา พอเวลาผ่านไปนานๆเข้า ความรู้สึกแย่ๆ เหล่านี้ ก็จะจางหายไปเอง ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะใช้เวลาไม่เท่ากัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนะสิ
“แต่มันไม่ได้ง่ายเหมือนการนอนหลับ ทั้งที่แฮงค์หลังจากดื่มอย่างหนักหรอกนะ”
อาการ เดินหน้าสองก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว
สเต็ปการก้าวข้ามผ่านความรู้สึกแย่ของคนส่วนใหญ่ ก็คล้ายๆ กับตอนเต้นลีลาสในสมัยเรียน ม.ปลาย (หากได้ลงเรียนวิชานี้) การเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วถอยมาหนึ่งก้าว แต่สิ่งที่แย่ ก็คือ หลายคนมักติดอยู่กับสเต็ปบางสเต็ประหว่างทาง อาจจะหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ หรือ พยายามจะลุกขึ้นไปสเต็ปถัดไปแต่ทำไม่ได้
ก็เหมือนกับอาการของหลายๆ คน ซึ่งบางครั้งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่อยากจะออกจากความรู้สึกแย่ๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันแย่ แต่อยากจะออกก็ออกมาไม่ได้ แถมซ้ำร้ายก็ยังเอาเรื่องร้ายๆ เหล่านั้นมายึดเหนี่ยวเอาไว้ในตัวเรา เอาเข้ามาในใจเราหนักเข้าไปอีก
ข่าวดี สำหรับคนที่อยาก Move on คุณแอนโทนีโอ เขาได้ค้นพบวิธีการ 3 สเต็ปในการก้าวออกจากความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้น โดยที่เราจะได้เต้นได้ต่อไปจนจบเพลง โดยไม่ต้องติดอยู่ในสเต็ปไหนๆ ได้อย่างแน่นอน
สเต็ปที่ 1 : อะไร คือ สิ่งที่ทำให้เราเจ็บที่สุด?
เมื่อเราลองถามใครสักคนที่เพิ่งจบความสัมพันธ์มาว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร? คำตอบส่วนใหญ่มักจะมาในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือ “ไม่รู้เหมือนกัน”
คุณแอนโทนีโอ เล่าว่า มีนักธุรกิจผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นคนเก่งมาก เธอตั้งใจสอนงาน ดูแลรุ่นน้องที่ทำงานร่วมกันอย่างดีเสมอมา สอนทุกอย่าง พยายามพัฒนาความสามารถของรุ่นน้องคนนั้น และรู้สึกว่าสามารถทำงานร่วมกันได้ดีมาก จนกระทั่งรุ่นน้องคนนั้นขอแยกตัวออกไปทำงานคนเดียว เพราะรู้สึกว่าหากได้ทำงานคนเดียวจะสามารถทำได้ดีกว่า ถึงตรงนี้เราคิดว่านักธุรกิจผู้หญิงคนนี้จะรู้สึกอย่างไร?
“ฉันแค่รู้สึกอับอายละมั้ง ถ้าเธออยู่ตรงนี้คงอึดอัดน่าดู ไม่รู้สิ”
นี่เป็นสิ่งที่นักธุรกิจผู้หญิงคนนี้พูดออกมา เธอพูดหลังจากความสัมพันธ์ในที่ทำงานระหว่างเธอกับรุ่นน้องได้จบลงโดยที่เธอเองก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาก่อน แต่คำว่า “ไม่รู้สิ” เนี่ยแหละ คือ คำตอบแรกที่ได้จาก สเต็ปที่ 1
ทั้งหมดที่เราต้องทำในสเต็ปที่ 1 คือ เราต้องคิดให้ออก เราต้องหาให้เจอ และบอกให้ได้ว่าจริงๆ แล้วคำว่า “ไม่รู้สิ” ของเราคืออะไรกันแน่?
ทุกครั้งที่เราเข้าใกล้ความรู้สึกนั้น เรามักจะหลีกเลี่ยงมันโดยที่ไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น ในตอนที่เราคบกับแฟนไปกินร้านอาหารเดิมทุกวัน แต่เมื่อเลิกกันแล้ว เราก็จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปที่ร้านนั้นอีกเลย เพราะกลัวจะต้องเจอกับความรู้สึกแย่ๆ หรือ กลัวว่าความรู้สึกแย่ๆ ในอดีตจะกลับมาอีก
แต่วิธีการนี้แหละ คือ วิธีการที่จะทำให้คุณได้คำตอบที่แท้จริง ดังนั้นอย่าเลี่ยงสถานการณ์ เหตุการณ์ หรือ สิ่งที่จะทำให้คุณได้เกิดคำว่า “ไม่รู้สิ” อีกครั้ง แต่ให้เข้าไปทำความเข้าใจในเรื่องปัญหาที่แท้จริง จดจ่อ คิด แล้วเอาคำตอบออกมาให้ได้ว่า “ไม่รู้สิ” ของเราคืออะไร?
สเต็ปที่ 2 : ทำความเข้าใจสิ่งที่ตัวเราเองต้องการจริงๆ
หลังจากที่เราผ่านสเต็ปที่ 1 ได้แล้ว ในกระบวนการนี้ คำตอบที่บางคนได้กลับเป็นการซ้ำเติมตัวเอง เห็นความผิดของตัวเอง เลยเผลอรู้สึกไปว่าที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็สมควรแล้ว หรือสิ่งที่เราได้จากสเต็ปที่ 1 อาจจะเป็นคำพูดเจ็บแสบที่แฟนเก่าพูดทิ้งไว้ให้คุณ “ไม่น่าสนใจ” หรือ เจ้านายเก่าพูดแดกดันดูถูกเราเอาไว้ว่า “เราดูเป็นคนที่ล้มเหลว” หรือ “ดีไม่พอ” หรือ คำพูดจากเพื่อนร่วมงานที่บอกว่า “น่ารำคาญ” หรือ คำพูดอะไรก็ตามที่คุณสลัดมันออกจากสมองไม่ได้สักที
อย่างที่แอดมินบอกไว้ในสเต็ปที่ 1 คือ อย่าหลีกเลี่ยงแล้วจดจ่ออยู่กับมัน ในสเต็ปที่ 2 นี้ให้เราลองถามตัวเองถึงสิ่งที่ต้องการจริงๆ เราอาจจะต้องการเป็นคนที่น่าสนใจ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่ดีพอสำหรับใครสักคน หรือเป็นคนไม่น่ารำคาญ
เราจะเริ่มเห็นความแตกต่างหลังจากหาความต้องการเจอ แล้วเทียบกับผลลัพธ์ที่เราได้รับ ยกตัวอย่างเช่น เราอยากเป็นคนที่มั่นคง แต่การหย่าร้างทำให้เรารู้สึกถึงความแน่นอน ทำให้คุณรู้สึกโดนทิ้ง เมื่อไรที่เราหาจุดขัดแย้งนี้เจอ ให้เริ่มคิดว่าจุดขัดแย้งนี้มันเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไร และ อะไรบ้างที่ทำให้เกิดผลลัพธ์แบบนี้?
“ถึงแม้เราจะรู้สึกว่า ไม่มีทางได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ให้พูดออกมาดังๆถึงสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ”
สเต็ปที่ 3 : ย้อนกลับมองว่าเราสูญเสียอะไรไปบ้างจากการความสัมพันธ์ที่จบลง
ในสเต็ปสุดท้ายนี้ หลายคนมักพลาดเพราะจดจ่ออยู่กับสิ่งดีๆที่เคยมีในตอนที่ความสัมพันธ์ยังไม่จบ และได้แต่จมปลัก เศร้า เสียใจ และ เสียดายกับทุกอย่างที่เคยมี เคยได้รับ ซึ่งตอนนี้จะไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น เราเคยไปเที่ยวด้วยกัน เราเคยกินข้าวพร้อมหน้ากัน หรือเราเคยไปมีช่วงเวลาดีๆร่วมกัน หนึ่งในคนที่ คุณแอนโทนีโอ ได้รับฟังเรื่องราวของเขาเล่าว่า ในตอนที่เขารับการบำบัดอยู่ในคุก เขารู้ว่าคนรักของเขาได้ทิ้งเขาไปแล้ว เขาต้องอยู่ในคุกกับความคิดที่ว่า
“เราจะไม่ได้ไปเที่ยววันหยุดด้วยกันอีก แม้แต่สถานที่ที่เคยคุยไว้ว่าจะไปด้วยกัน โบรชัวร์ที่เคยเก็บไว้ดู ก็จะไม่มีอีกแล้ว”
ความคิดเหล่านี้คือความคิดถึงสิ่งดีๆที่เคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว หลังจากนั้นเราก็จะร้องไห้ เสียใจให้กับการสูญเสียสิ่งดีๆเหล่านั้น แต่ในสเต็ปที่ 3 นี้ กลับกัน เราต้องบอกลาแล้วขุดหลุมฝังสิ่งเหล่านั้นทิ้งไปซะ ด้วยการลองย้อนกลับไปมองความสัมพันธ์ แล้วดูว่ากว่าจะถึงวันนี้คุณสูญเสียอะไรไปบ้าง
ถึงแม้มันจะไม่ใช่คำถามที่จะหาคำตอบได้ง่ายนัก เพราะในบางครั้งเราเองก็เลือกที่จะทิ้งคำตอบนั้นไป เพราะเรายอมรับมันกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ไหว แต่ถ้าเราได้ลองทำมันจริงๆ จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน สำหรับการจบความสัมพันธ์นี้
บทสรุป
เราคงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่าเราเองก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี มีประสบการณ์ผิดหวัง มาก่อนเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นในเรื่องความรักในเชิงชู้สาวเท่านั้น แต่ความรักกับเพื่อน ครอบครัว สัตว์ หรือเพื่อนร่วมงานต่างๆ ก็เกิดเป็นความสัมพันธ์ได้ทั้งนั้น
เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นสัตว์สังคมอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องจัดการให้ได้ก็คือ เมื่อความสัมพันธ์นั้นจบลง เราต้องอยู่ให้ได้ โดยไม่เอาตัวเราเองไปยึดติดเอาไว้กับสิ่งที่มันจบลงไปแล้ว
ลองเอาวิธีการ 3 สเต็ป ในการ Move on ออกจากความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นเมื่อความสัมพันธ์จบลง ของคุณแอนโทนิโอ ไปลองปรับใช้ดู ถือเป็นทางเลือกที่น่าลองนำไปใช้ สำหรับใครที่ยังติดอยู่ในวังวนของความรู้สึกที่ไม่จบ ทั้งๆ ที่เรื่องมันจบไปแล้ว
มันไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยที่จะ Move on แค่เรา…“รู้สึกถึงมัน แสดงออกมา และนั้นแหละ เราทำได้แล้ว”