ทัศนคติเป็นลบต่อคนอื่น ถึงจะเป็นคนเก่งแค่ไหน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคม หรือ เต็มใจที่จะร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งกรณีแบบนี้ ก็พบได้บ่อยในสังคมทำงาน
การเก่งอยู่คนเดียวแล้วมองว่าคนอื่นแย่หมด ส่วนนึงก็มาจากทัศนคติที่เป็นลบที่มีต่อคนอื่นนั่นเอง ในบทความนี้ แอดมินจะพาเราไปพบกับ เรื่องราวของคนเก่ง ที่ไม่มีใครเอา
เรื่องนี้ เกิดขึ้นที่องค์กรชื่อดังระดับโลกแห่งหนึ่ง
โจ อดีตพนักงานขายดาวรุ่ง ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย
โดยสามารถสร้างผลงาน ด้วยการสร้างยอดขายทะลุเป้าหมายของตนเองได้อย่างต่อเนื่องแต่แค่นี้ยังไม่พอ โจยังสร้างสถิติใหม่ๆ เกิดขึ้นในองค์กรอีกหลายอย่าง
เช่น พนักงานขายที่มียอดขายดีเด่นติดต่อกัน 3 ปี และ 5 ปี และ ผลงานล่าสุดคือ พนักงานขายที่ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ขององค์กร
รางวัลทั้งหมดที่โจได้มา รางวัลตัวล่าสุด คือรางวัลที่ โจ ภาคภูมิใจมากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่ารางวัลนี้ จะส่งผลทำให้เขาได้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายได้อย่างแน่นอน (ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายตอนนี้กำลังว่างอยู่)
เรื่องราวของโจ และความสำเร็จของโจ มันดูแล้วเหมือนง่ายๆ
เพราะถ้าเราดูแค่เรื่องผลงานเพียงอย่างเดียว มันดูเหมือนกับว่า ชีวิตของโจ เดินทางอยู่บนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะ “โจ น่าจะเป็นคนเก่ง คนที่มีความสามารถอยู่แล้ว พอเป็นคนเก่ง จะทำอะไร ก็ง่ายไปหมด และ สำเร็จไปหมด”
จากผลงานที่สุดยอดขนาดนี้ กับการที่โจคาดหวังในตำแหน่งของผู้จัดการฝ่ายขาย ตำแหน่งนี้ น่าจะการันตีได้เลยว่าต้องเป็นของโจแน่นอน
แต่เอาเข้าจริง มันกลับไม่ใช่อย่างงั้นนะสิ
ผู้บริหาร ตัดสินใจเลือกรุ่นพี่ท่านนึงในแผนกของโจ ให้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายคนใหม่แทน
โจ พอทราบเรื่องเข้า ก็รู้สึกเสียหน้าและอายมาก เพราะก่อนหน้านี้ เขาเที่ยวประกาศไปทั่วว่า เขาต้องได้ตำแหน่งนี้แน่ๆ เขารู้สึกประหลาดใจว่า พี่คนนั้นได้ตำแหน่งนี้ได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมา พี่เขาก็ไม่มีอะไรเลยที่จะคู่ควรกับตำแหน่งนี้เลย
และที่สำคัญ พี่ท่านนั้น ก็ไม่เคยทำสถิติสร้างผลงานอะไรที่โดดเด่นมาก่อนเลย
โจ จึงมองว่า เรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย
เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ว่า “ผู้บริหารตาถั่ว เลือกคนที่ไม่มีผลงาน มาเป็นผู้จัดการได้อย่างไร”
ในใจของเขาก็ยังคิดต่อไปอีกว่า “ต่อไป เราคงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักขนาดนี้ก็ได้ เพราะทำไปก็เท่านั้น ผู้ใหญ่เขาก็ไม่เลือกเราอยู่ดี”
ด้านนึงที่เราเห็น ผลงงานของโจ มันยอดเยี่ยมก็จริง และทุกคนต่างก็ยอมรับว่า ใช่เขาประสบความสำเร็จจริงๆ
แต่ในอีกด้านนึง โจ กลับ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (แต่เขาไม่รู้ตัวเลย) และจุดที่เขาล้มเหลวนี่แหละ ดันเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทำให้เขาพลาด ไม่ได้ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย
“ทุกครั้งที่ร่วมงานกับโจ มันอึดอัดมาก เขาไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานเลย” – โดม ทีมงานออกแบบ
“งานที่โจขายไป ส่วนมากสร้างปัญหา สร้างความปวดหัวให้กับทีมงานหลังบ้านเป็นประจำ มันเหมือนกับว่า เขาอยากจะขายงานให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงเลยว่า ทีมงานหลังบ้านจะทำในสิ่งที่เขาขายได้หรือเปล่า” – เอ๋ หัวหน้าทีม ฝ่ายผลิต
“หลายๆ งานที่โจ ขายไป เวลาลูกค้ามีปัญหา ไม่พอใจในเรื่องสินค้า หรือ บริการของเรา โจมักจะโยนความผิดมาให้ทีมเราเสมอ เขาไม่เคยเลยที่จะช่วยพวกเราไกล่เกลี่ย หรือ เคัยร์ปัญหาที่เรามีกับลูกค้า” – หนุ่ย หัวหน้าทีม งานบริการหลังการขาย
“โจ เป็นคนหวงงาน เขามักจะขอลูกค้ารายใหญ่ ไปดูและเสมอ และ มักโยนลูกค้ารายเล็กๆ หรือ รายที่น่าจะขายได้ยาก ไปให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ” – เจ เพื่อนร่วมงาน ในทีมขาย
“ผู้บริหารชอบโจมาก เพราะเขาขายเก่ง ก็แน่นอนละสิ ที่เขาขายเก่ง ก็เพราะเลือกเอาแต่ลูกค้าดีๆ ไปดูเองหมด พนักงานขายที่เหลือก็ได้แต่เคสยากๆ พอขายไม่ค่อยได้ ผู้บริหารก็หาว่าคนที่เหลือไม่มีความสามารถ” – โอ เพื่อนร่วมงาน ในทีมขาย
“โจ เป็นคนหวงความรู้ และ หวงข้อมูล เขารู้อะไรดีๆ มา หรือ มีข้อมูลอะไรดีๆ จากลูกค้า หรือ ข้อมูลคู่แข่งในตลาด เขาจะเก็บไว้คนเดียว ไม่เคยคิดที่จะแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้เพื่อนฟัง ในทีม” – เค เพื่อนร่วมงาน ในทีมขาย
“โจ เป็นคนที่ห่วงหน้าตา และชื่อเสียงของตนเองมาก ความผิดพลาดในการทำงาน หรือ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน เขามักจะโบ้ยให้คนอื่นรับไปเสมอ” – ตุ้ย เพื่อนร่วมงาน ในทีมประเมินราคา
“โจ ชอบกดดันเพื่อนร่วมงาน เช่น เวลาที่เขาอยากได้ข้อมูล เขาจะต้องเอาเดี๋ยวนี้ เอาให้ได้ทันที โดยไม่คำนึงถึงเพื่อนร่วมงานเลยว่า เขาจะมีเวลาเพียงพอที่จะทำให้ได้ไหม หรือ ไม่คำนึงถึงเลยว่า เพื่อนร่วมงานกำลังติดงานอื่นอยู่” – จอย เพื่อนร่วมงาน ในทีมสนับสนุน
ในมุมมองของโจ
โจ คิดถึงแต่สิ่งที่ตนเองจะได้ (คิดว่าตนเองคู่ควร คนอื่นไม่สำคัญ) โจ เอาเป้าหมายของตนเองเป็นใหญ่ (อยากเป็นผู้จัดการเลยต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่า การกระทำของเขาจะทำให้ใครเดือนร้อน)
โจ ให้ความสำคัญแต่ตัวเองเป็นใหญ่ มองเห็นแต่สิ่งที่ตนเองจะได้ประโยชน์ (จะทำอะไรก็ตาม จะทำก็ต่อเมื่อเขาได้ประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว) ในยามที่มีปัญหา โจ มองว่าคนอื่นคือ ตัวปัญหา และ เขาคิดว่า เขาคือ เหยื่อ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้น
โจ ไม่เคยคิดว่าเขาผิด เขามองว่าคนอื่นต่างหากที่ไม่เก่งพอที่จะทำงานร่วมกับเขา
ซึ่งแท้จริงแล้ว โจ ทัศนคติเป็นลบต่อคนอื่น ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ และ ทำงานเป็นทีมไม่ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผู้บริหารตัดสินใจไม่เลือกเขา
โจ มี ทัศนคติเป็นลบต่อคนอื่น นั่นแหละ ที่ทำให้เขาพลาดตำแหน่งนี้เอง
อาการของโจ บ่งบอกถึง การมีทัศนคติที่เป็น Inward Mindset
กล่าวคือ อาการ หรือ ความรู้สึกที่ มักมองว่า ตนเองเป็นฝ่ายถูก การชอบแบ่งแยก การให้ร้ายคนอื่น โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับตนเองเป็นหลัก
ผลที่ตามมาก็คือ การหลอกตัวเอง (Self Deception) ด้วยการปฏิเสธว่าตนเองก็มีปัญหา มองสถานการณ์อย่างบิดเบือน โดยโยนความผิด หรือ กล่าวโทษไปที่คนอื่น สิ่งนี้แหละ ที่ทำให้ชีวิตของคนเก่งอย่างโจ ไปได้ไม่ไกล
เราจึงมักจะเห็นกรณีแบบนี้ได้บ่อยๆ ในที่ทำงาน ที่คนทำงานเก่ง แต่ไม่มีใครเอา ไม่มีใครอยากทำงานด้วย
ตราบใดที่ โจ ยังคงมีทัศนคติที่เป็น Inward Mindset แบบนี้ การทำงานร่วมกับคนอื่น ก็จะยังคงมีปัญหาอยู่ดี และ นับวันจะมีปริมาณปัญหามากขึ้นแน่นอน
แล้วถ้าโจ ดันกลายไปเป็นหัวหน้า หรือ ผู้จัดการเข้าจริงๆ คงจะไม่มีลูกน้องที่ไหน อยากจะทำงานด้วยแน่นอน ทนที่เหลืออยู่ก็คงรีบลาออกกันเป็นแถว นี่แหละครับ ความเห็นแก่ตัวของคนคนนึง ที่มุ่งเน้นแต่ตนเองเป็นที่ตั้ง เพราะสุดท้าย ก็ไปไม่ถึงเป้าหมายอยู่ดี
จึงเป็นที่มาของ ทฤษฎี Outward Mindset “Seeing Beyond Ourselves”
หากเราเปิดใจ ให้ความสำคัญกับคนอื่น เทียบเท่าหรือมากกว่าตนเอง เราก็จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น การทำงานร่วมกันก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยผลลัพธ์ที่ได้ จะเป็นผลลัพธ์ที่ทั้งเราและคนอื่น ได้ประโยชน์ร่วมกัน
Outward Mindset เป็นการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีเยอะเกินไปสำหรับตัวเราเอง
ไปเป็นการให้ ความสำคัญต่อคนอื่นมากขึ้น ทำให้ระดับความสัมพันธ์ของเราและเพื่อนร่วมงานดีขึ้น เมื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แน่นอนว่า เราก็ย่อมได้รับการสนับสนุนที่ดีและเต็มที่จากเพื่อนๆ แน่นอน
ผลลัพธ์ และ เป้าหมาย ที่ต้องการ ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดาย นอกจากนี้ อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่สำคัญมาก ของการมี Outward Mindset ก็คือ ความสุขในการทำงาน และ ความสุขในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
“ทำงาน ด้วยความสุข ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเสมอ”
ทฤษฎี Outward Mindset จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เข้ามาช่วยทำให้หลายๆ องค์กร หลายๆ หน่วยงาน สร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ ส่งผลทำให้การทำงานเป็นทีม มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น ปัญหาในเรื่องของความขัดแย้ง ก็ลดน้อยลงไป
“พนักงานอยู่กันอย่าง Happy องค์กร ก็ Happy”
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า องค์กรที่มีวัฒนธรรม และ ทัศนคติที่เป็น Outward Mindset จะช่วยลดปัญหาการเข้าออกของพนักงานไปได้มากเลยทีเดียว และ ผลที่ตามมา ยังช่วยทำให้ Employee Engagement Score สูงขึ้นอีกด้วย
Outward Mindset เริ่มต้นที่เรา แต่ส่งผลลัพธ์ที่ดีให้กับคนรอบตัว รวมไปถึงสังคมที่เราอยู่
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Outward Mindset สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
ความผิดพลาด กับผลลัพธ์ที่ตามมา ถ้าเราเป็นคนผิด เราจะกล้ายอมรับผิดไหม?