Personality type หรือ ประเภทบุคลิกภาพ เป็นการจัดกลุ่มประเภทบุคลิกภาพของคน โดยอ้างอิงแนวโน้มของพฤติกรรมของบุคลิกภาพของกลุ่มคนในแต่ละประเภทว่าเป็นแบบไหน อย่างไร?
เรื่องความสามารถในการหารายได้ เกี่ยวข้องกับ Personality type หรือ ประเภทบุคลิกภาพ อย่างไร?
ถ้าพูดถึงระดับรายได้ที่เราแต่ละคนสามารถทำได้ คิดว่าปัจจัยที่สามารถทำให้มันสูงหรือต่ำได้จะมีอะไรบ้าง? จะเป็นเรื่องของการศึกษา ความสามารถ ประสบการณ์ทำงาน หรือโอกาสที่ได้รับ ประมาณนี้ใช่ไหม? แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวกันเลย แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก นั่นก็คือ เรื่อง Personality type หรือ ประเภทบุคลิกภาพ นั่นเอง รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วบุคลิกภาพเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับรายได้ของเราอย่างเห็นได้ชัดเลย
“คนที่มีลักษณะ เปิดเผย มีเหตุผล ช่างคิด และใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน เป็นบุคลิกภาพที่สามารถสร้างรายได้ที่สูงได้”
จากการทำวิจัยโดยมีผู้เข้าร่วมวิจัยมากกว่า 72,000 คน พบความเกี่ยวข้องกันระหว่างระดับเงินเดือนกับบุคลิกภาพของคนนั้นๆ หมายความว่าบุคลิกภาพที่แต่ละคนมี หรือแสดงออกมานั้นส่งผลถึงระดับรายได้ที่แต่ละคนได้รับ และยังได้ผลลัพธ์ต่อมาอีกว่ากลุ่มคนที่มีรายได้สูงๆ จะมีบุคลิกภาพเป็นคนเปิดเผย มีเหตุผล ใช้ความคิดในการตัดสินใจ และใช้ชีวิตอย่างมีแบบแผน
ถ้าหลังจากการนำเสนองานของเรา มีคนโต้แย้งเกี่ยวกับงานที่เราเพิ่งเสนอไป เราจะทำอย่างไร?
คำตอบจากคำถามนี้ ไม่ได้วัดเพียงแค่บุคลิกภาพของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแสดงถึงระดับรายได้ที่เราสามารถจะทำได้อีกด้วย ซึ่งจากสถานการณ์นี้ สิ่งที่เราจะทำต่อไป สามารถแบ่งออกไปได้ 2 ทางเลือก หลักๆ ด้วยกันดังต่อไปนี้
- โต้แย้งอย่างเป็นมิตร อธิบายและอภิปรายไอเดียของเราให้กระจ่างมากขึ้นอย่างใจเย็น
- หลีกเลี่ยงการขัดแย้ง โดยการยอมรับและปรับเปลี่ยนหัวข้อตามที่คนอื่นแนะนำ
เราคงพอจะนึกภาพออกใช่ไหมว่าคนประเภทไหนที่จะมีเงินเดือนสูงกว่า? การปล่อยให้ตัวเราเองไหลตามความคิดคนอื่น จะทำให้เราไม่มีงานที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานของเราได้จริงๆ แต่การโต้แย้งก็ควรกระทำอย่างใจเย็นและเป็นมิตรโดยไม่ดึงอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
16 บุคลิกภาพของ Myers-Briggs
การทดสอบ 16 บุคลิกภาพของ Myers-Briggs กลายเป็นแก่นหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพกับระดับรายได้ ซึ่งมันง่ายในการทำความเข้าใจความเหมือน ความคล้าย หรือความต่างกันของผู้คนจำนวนมากที่เดินสวนกันไปมาบนโลก เค้าโครงของทฤษฎีบุคลิกภาพสามารถอธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ได้โดยการนำลักษณะบุคลิกภาพที่ตรงข้ามกันมาเปรียบเทียบกัน ดังนี้
- คนที่เปิดเผย Extraversion (E) กับ คนที่มีโลกส่วนตัวสูง Introversion (I) : คนที่มีบุคลิกเปิดเผยจะสามารถเพิ่มพลังให้แก่คนอื่นๆรอบตัวได้ ในการทำงานพวกเขายินดีและพร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือ พูดคุย หรือเข้าสังคมกับคนรอบข้างได้อย่างไม่อึดอัดและเป็นกันเอง ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นไม่ว่าจะที่ทำงานหรือระแวกที่พักอาศัยก็ตาม ในขณะที่คนโลกส่วนตัวสูงจะมีพลังงานที่คงที่จากการทำงานคนเดียว งานจะออกมาดีมากก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ใช้เวลาในการทำงานคนเดียว แต่เมื่อไรที่ต้องเข้าทำงานร่วมกับคนอื่นจะเกิดความรู้สึกอึดอัด จึงยากที่จะทำงานเป็นทีม หรือเข้าสังคมต่างๆ
- คนที่มีเหตุผล Sensing (S) กับ คนที่ใช้สัญชาตญาณ Intuition (N) : คนที่มีเหตุผลจะรับรู้ข้อมูลด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อยู่กับปัจจุบัน มองทุกอย่างตามความเป็นจริง สามารถสร้างข้อมูลที่เป็นรูปธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ในขณะที่คนที่ใช้สัญชาตญาณจะรับรู้ข้อมูลด้วยสัญชาตญาณ ลางสังหรณ์ และการหยั่งรู้ ในการทำงานจะมีจินตนาการและแรงบันดาลใจสูง ชอบทำอะไรจากแนวคิดกว้างๆ สามารถยืดหยุ่นได้ในการตีความข้อมูล
- คนที่ใช้ความคิด Thinking (T) กับ คนที่ใช้ความรู้สึก Feeling (F) : นักคิดมักตัดสินใจด้วยเหตุผล มีตรรกะการคิดวิเคราะห์ มีหลักการ ทำตามสมองสั่ง สร้างการตัดสินใจที่มีเหตุผลและอยู่บนหลักแห่งความเป็นจริง ในขณะที่การตัดสินใจที่เกิดจากความรู้สึกพาไป จะเป็นการตัดสินใจด้วยความรู้สึก ค่านิยม และสถานการณ์ทางสังคม ณ เวลานั้น ทำตามใจของตัวเอง คำนึงถึงความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
- คนที่มีแบบแผน Judging (J) กับ คนที่ใช้ความยืดหยุ่น Perceiving (P) : การมีบุคลิกภาพที่ใช้ชีวิตแบบมีแบบแผนและจะทำตามแผนที่วางไว้เพื่อไล่ล่าเป้าหมายให้สำเร็จ จะไม่สบายใจถ้าหากไม่มีแผนการในการทำอะไรสักอย่าง ในขณะที่คนมีบุคลิกยืดหยุ่นจะใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆ พร้อมจะปรับเปลี่ยนทุกสถานการณ์ เปิดทางเลือกไว้เสมอ ไม่ชอบตัดสินใจอะไรถ้ายังไม่จำเป็นเพราะรอได้ข้อมูลไปเรื่อยๆ ไม่ชอบระเบียบหรืออะไรที่เคร่งครัด
ดังนั้นเวลาที่เราจะเรียกบุคลิกภาพของเราว่าเราเป็นคนอย่างไร จึงจะประกอบด้วย 4 ตัวอักษรด้วยกัน ดูจากบุคลิกที่ตรงข้ามกันเหล่านี้ เช่น หากคุณเป็นคนเปิดเผย มีเหตุผล ใช้ความคิดในการตัดสินใจ และทำสิ่งต่างๆอย่างมีแบบแผน จะสามารถบอกได้เลยว่าคุณมีบุคลิกภาพประเภท ESTJ เป็นต้น
เราสามารถทดสอบหา Personality type หรือ ประเภทบุคลิกภาพ ได้ที่นี่ : https://www.16personalities.com/free-personality-test
“ทำไม ESTJ ถึงเป็นประเภทบุคลิกภาพที่ทำรายได้ได้สูงสุด?”
อาชีพและบริษัทส่วนใหญ่จะต้องการคนที่มีบุคลิกภาพทั้ง 4 นี้เข้าทีมเพราะคนที่เปิดเผยจะเข้าสังคมเก่ง เขาจะสามารถเข้าถึงทุกคนในทีมได้อย่างกลมกลืน และกล้าที่จะโต้แย้งเพื่อความคิดของตัวเอง การเป็นคนมีเหตุผลทำให้ได้สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงมากกว่าการใช้สัญชาตญาณที่ต้องมานั่งลุ้นว่าถูกหรือผิด เพราะในแง่ของการลงทุนคงเอาเงินจำนวนมากไปแขวนไว้บนสัญชาตญาณของใครไม่ได้ การใช้ความคิดในการตัดสินใจก็เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้วหากเราอยู่ในองค์กรที่ยังคงต้องการแสวงหาผลกำไรอยู่ เราคงตัดสินใจเพราะสงสารหรือเห็นใจใครลำบาก และอย่างสุดท้ายการทำทุกอย่างตามแบบแผน ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนการทำงานที่ควรเกิดขึ้นในบริษัทมากกว่ารอไปเรื่อยๆ โดยไม่มีรูปแบบการทำงานเลย
“INFP ประเภทบุคลิกภาพที่ทำรายได้ได้ต่ำสุด”
INFT คือประเภทบุคลิกภาพ เก็บตัว ทำตามสัญชาตญาณ ตัดสินใจตามความรู้สึก และไม่มีแบบแผนในการใช้ชีวิต ซึ่งจากผู้เข้าร่วมวิจัย 72,000 คนพบว่าประเภท INFT มีค่าเฉลี่ยรายได้อยู่ที่ 34,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ ESTJ มีค่าเฉลี่ยรายได้อยู่ที่ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งห่างกันเกือบเป็นเท่าตัว จากงานวิจัยพบว่า INFT มักจะเป็นคนที่มองโลกแง่ดี หลีกเลี่ยงการทะเลาะ และมีความคิดสร้างสรรค์มาก แต่ข้อเสียก็คือพวกเขาใจดีเกินไป มองโลกแง่ดีเกินไป จนโดนเอาเปรียบ อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้าใจยากบวกกับความเก็บตัวทำให้ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจตัวเองได้อีก ทำให้การร่วมงานกับ INFP เป็นเรื่องยาก
“ไม่ใช่ว่า ESTJ จะเหมาะกับทุกงาน”
หากใครก็ตามที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีบุคลิกอย่าง ESTJ ก็ยังไม่ต้องน้อยใจไป แม้ ESTJ จะเป็นประเภทที่สามารถทำรายได้สูงสุด แต่ไม่ใช่ว่าทุกงานจะเหมาะกับบุคลิกภาพนี้ เพราะยังมีอีกหลายงานที่ไม่ได้ต้องการคนเปิดเผย ยกตัวอย่างเช่น นักเขียน โปรแกรมเมอร์ ศิลปิน เป็นต้น อาชีพเหล่านี้เป็นการทำงานคนเดียว ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อให้ได้ผลงานของตัวเองออกมา หรือการเป็นคนมีเหตุผลก็ทำให้ยากที่จะสร้างจินตนาการในงานศิลปะ งานดนตรี หรืองานออกแบบสิ่งต่างๆ ได้ เพราะคนเรามีจินตนาการ เราถึงได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่เหนือความเป็นจริงออกมาได้
Put the right man on the right job
สังเกตไหมว่าไม่ว่าจะ ESTJ หรือ INFP ต่างก็จะมีงานที่เหมาะกับบุคลิกของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ใช่ INFP ทุกคนที่จะรายได้ต่ำ เพราะ INFP บางคนที่เจองานที่เหมาะกับตัวเองก็มีรายได้ที่สูงกว่า ESTJ ได้เช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ เราอยู่ถูกที่แล้วหรือยัง? เราเลือกงานที่เข้ากับตัวเราแล้วหรือยัง? การเฉิดฉายหรือประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องเลือกสถานที่และงานให้ถูกต้องกับบุคลิกภาพของเราด้วย
“ท้ายที่สุดแล้ว บุคลิกภาพอาจจะเป็นเพียงหน้ากากที่เราสวมเพื่อให้ประสบความสำเร็จก็ได้”
หลายคนสร้างตัวตน หรือแสดงออกว่าตัวเองมีบุคลิกภาพนั้นๆ เพื่อให้เดินในเส้นทางที่ตัวเองเลือกได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนรอบตัวเราเป็นคนแบบนี้ ทำแบบนี้ มีบุคลิกภาพแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาเป็นจริงๆหรือการแสดง เพราะฉะนั้นในเดินสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ เราก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสังคมบ้าง เพื่อสร้างความสัมพันธ์และโอกาสที่ดีในเส้นทางที่เราได้เลือกแล้ว
บุคลิกภาพจึงไม่ใช่สิ่งเดียวที่ตัดสินระดับของรายได้
ในขณะที่บุคลิกภาพเป็นเหมือนการสวมบทบาทเพื่อสร้างเส้นทางแห่งความสำเร็จ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับของรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน ประเภทอาชีพ ประเภทอุตสาหกรรม อาชีพเฉพาะที่ไม่สามารถให้สายงานอื่นๆ ทดแทนได้ เป็นต้น และนอกจากนี้ ยังพบอีกว่าทุกคนก็ยังสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้สูงๆได้จากการมี 2 สิ่งนี้
- ตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และมีความทะเยอทะยานที่จะไปให้ถึง
- กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงของเรา
บทสรุป
ถึงแม้ว่าบุคลิกภาพกับรายได้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ว่าเราจะมีบุคลิกภาพแบบใด ก็อย่าที่จะเผลอด้อยค่าตัวเอง เพียงเพราะว่าเกิดมาเป็นคนมีบุคลิกเช่นนั้น ลองหันมาพิจารณาดูว่า เราได้เลือกงานที่เหมาะสมกับตัวเราหรือยัง หากคิดว่างานนั้นใช่แล้ว ให้ลองปรับตัว ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเล็กน้อยเพื่อให้การงานเข้าที่เข้าทางกับตัวเราให้มากขึ้น และเพื่อให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น แต่ถ้าหากคิดว่างานที่ทำอยู่ยังไม่ใช่ งานที่ทำกำลังทำให้เราเดินย่ำอยู่ที่เดิมและไม่มีความสุขเอาเสียเลย เราก็ควรลองเปิดใจหางานที่ตรงกับบุคลิกภาพของเรา งานที่เราไม่ต้องมารู้สึกเหนื่อยกับการสวมหน้ากากเป็นคนอื่นเพื่อเพราะต้องการประสบความสำเร็จในแบบที่ตัวเองอาจจะไม่อยากเป็นด้วยซ้ำ ลองเปิดใจหางานที่จะทำให้เราเป็นตัวของตัวเอง มีคนเข้าใจ และสามารถแสดงศักยภาพของเราในการทำงานได้อย่างเต็มที่จะดีกว่า
“การเป็นคนที่ใช่มันไม่พอ คุณต้องเป็นคนที่ใช่ ในสถานที่ที่ใช่ด้วย”
Reference:
How does your personality type affect your income?
บทความแนะนำ:
After watching this, your brain will not be the same