Show your work หรือ การโชว์ผลงานของเรา เราควรโชว์หรือไม่? หากเรามีผลงานเราควรโชว์หรือไม่? การโชว์ผลงานครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ หรือ จะกลายเป็นปัญหาให้เราแทน?
อันที่จริงก็ถือเป็นเรื่องที่ควรทำ หากเรามีผลงานที่โชว์ได้จริงๆ แต่บางคนกลับมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับการโชว์ผลงานที่ตนเองทำ มองไปในทางที่ลบในทำนองที่ว่ามันเหมือนกับการอวดมากเกินไป กลัวคนอื่นจะมองไม่ดี หรือ บางคนก็กลัวว่าหากโชว์ผลงานออกไป จะโดนเพื่อนร่วมงาน ขโมยไอเดีย หรือ ลอกผลงานของเราไป
บ่อยครั้งที่คนเรามักเลือกที่จะเก็บผลงานที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความคิดสร้างสรรค์และความพยายามอย่างหนักให้ลึกที่สุดราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า หวงแหนและกลัวว่าใครก็ตามที่ได้ล่วงรู้เรื่องผลงานนี้จะขโมยความคิดและวิธีการเหล่านั้นไปเพื่อที่จะลอกเลียนแบบแล้วทำให้เราพลาดโอกาสในการที่จะเป็นเจ้าของความสร้างสรรค์นั้น
Show your work: 10 ways to share your creatively and get discovery หนังสือเล่มนี้เป็น New York Times Bestseller เขียนโดย Austin Kleon ผู้เชี่ยวชาญทางด้านความคิดสร้างสรรค์ในยุคดิจิตอล ในหนังสือเล่มนี้จะสอนเราในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราเคยรู้มาก่อน จะทำให้เรากล้าที่จะเปิดเผยผลงานสุดหวงแหนของตัวเองให้คนอื่นได้เชยชมโดยไม่ลืมบอกวิธีการสร้างมันขึ้นมาเข้าไปด้วย แถมยังเปิดโอกาสให้คนมากมายที่พร้อมจะขโมยผลงาน ขโมยไปเลย ยิ่งมีคนขโมยผลงานของเราไปใช้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อตัวเรามากเท่านั้น
“ในฐานะนักสร้างสรรค์ คุณต้องโชว์สิ่งที่คุณมี และต้องทำให้มันถูกพบเห็นด้วย”
การมีผลงานและความคิดที่สร้างสรรค์อยู่ในมือ จำเป็นต้องเพิ่งการโปรโมทตัวเองลงไว้ในรายการสิ่งที่ต้องทำในทุกๆวัน การทำได้ดีอย่างโดดเดี่ยวในมุมมืดของบ้านไม่สามารถดึงลูกค้าให้มาพบเจอเราและผลงานของเราได้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือแนะนำตัว โชว์งานของเรา โชว์วิธีการสร้างงานของเรา แต่ไม่ได้หมายถึงให้เราบอกจนหมดเปลือก แต่ให้เราบอกเพียงเศษเสี้ยวหรือชิ้นส่วนเล็กๆ ของวิธีการทั้งหมดเท่านั้น ผู้คนที่สนใจในสิ่งที่เราทำจะติดตามเราเอง
“เราต้องรักษาจิตวิญญาณของมือสมัครเล่น โอบกอดความไม่แน่นอนและความไม่รู้เอาไว้”
ในการเป็นนักสร้างผลงานที่สร้างสรรค์ที่โดดเด่น ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเกิดมาแล้วมีความคิดสร้างสรรค์พกมาเลยตั้งแต่เกิด บางครั้งความคิดสร้างสรรค์ของเราก็มาจากประสบการณ์และสิ่งที่เราเคยเผชิญหน้ามาก่อน สิ่งสำคัญคือสิ่งเหล่านี้เข้ามาและผ่านไปตลอดการใช้ชีวิตของเรา เราควรทำตัวให้มีจิตวิญญาณของมือสมัครเล่นเอาไว้ ยึดถือความไม่แน่นอนและตระหนักเอาไว้เสมอว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ที่เรายังไม่รู้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้เรายังคงโหยหาการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ต่อไป
“เพื่อให้ผลงานของเราถูกพบเจอ เราจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้เสียงของเรา”
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้เราไปเรียนร้องเพลงหรือเรียนดนตรี เพียงแต่เป็นการเปรียบเปรยให้เราเห็นว่า ถ้าเราต้องการให้มีใครสักคนได้ยินเสียงของเรา เราก็แค่ต้องพูดมันออกมา เพราะเสียงของเราจะบอกได้ว่าเราคือใครและเรามีอะไร? คอนเซ็ปต์มันง่ายนิดเดียวถ้าเราอยากให้คนอื่นรู้อะไร เราก็บอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งนั้น ยิ่งเราเข้าใจคอนเซ็ปต์ของมันมากเท่าไร เราก็จะรู้เลยว่าเรื่องนี้คือการแบ่งปันที่ เราไม่มีอะไรต้องเสียเลย แถมสิ่งที่ได้กลับมายังเกินคุ้มด้วยซ้ำ
“การสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เราทำอะไร แต่รวมถึงเราทำอย่างไรด้วย”
การแบ่งปันวิธีการสร้างสรรค์ผลงานของเราให้คนอื่นได้รับรู้ ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มคนที่สนใจเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนคนที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้าได้ด้วย เพราะการแบ่งปันวิธีการจะทำให้พวกเขาอยากได้ผลงานของเรา แต่การแบ่งปันต้องเกิดขึ้นอย่างมีขอบเขต และอย่ามัวแต่อยากขายความสร้างสรรค์เพราะหากเราแบ่งปันความสร้างสรรค์ที่เกินกว่างานจริงของเรา สุดท้ายพวกเขาก็จะจับได้อยู่ดี
“แมวนั่งอยู่บนเสื่อไม่ใช่เรื่องเล่า แต่แมวนั่งอยู่บนเสื่อของหมาต่างหากที่เป็นเรื่องเล่า”
เพราะงานของเรามันเล่าเรื่องเองไม่ได้ มันจึงกลายเป็นหน้าที่ของเรา ยิ่งเราเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งมากแค่ไหน ประสิทธิภาพของเรื่องเล่าที่เราใช้แบ่งปันผลงานของเราก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เพราะสมองของคนเรามักเรื่องจดจำเรื่องเล่าของคนอื่นได้ดีเสมอ พวกเขาให้ความสำคัญพอๆ กับสี รูปร่าง และรูปแบบของผลงานที่พวกเขาต้องการเลยด้วยซ้ำ
เรื่องเล่าที่ดีเป็นอย่างไร?
เรื่องเล่าที่ดี แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ
- เปิดด้วยเรื่องราวในอดีต: บอกเล่าเท้าความถึงเรื่องราวในอดีตว่ากว่าที่เราจะมีวันนี้ เราทำอะไรมาบ้าง? เราผ่านอะไรมาบ้าง? อะไรเกิดขึ้นกับเราบ้างและอะไรคือสิ่งที่เราต้องการ?
- ตามด้วยเรื่องราวในปัจจุบัน: เป็นการเล่าว่าจากวันนั้นเดินทางมาสู่วันนี้ เราเดินทางมาไกลแค่ไหน? งานอะไรบ้างที่เราทำสำเร็จไปแล้ว และเกิดความพึงพอใจอย่างไร?
- วาดฝันถึงอนาคต: จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญ เราจะต้องพูดถึงอนาคตที่เราใฝ่หา โดยต้องทำให้เหล่าผู้ฟังสนใจมากพอที่พวกเขาจะลงมือพาคุณไปให้ถึงได้ พวกเขาจะต้องรู้สึกว่าการช่วยให้เราไปถึงฝัน ทำให้พวกเขาเป็นฮีโร่และตื่นเต้นไปกับเรื่องเล่าของเรามากพอ
“ยิ่งคุณแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ออกไปมากเท่าไร คุณจะยิ่งได้รับมันกลับมามากเท่านั้น”
กว่าเราจะสามารถก้าวมาถึงจุดที่สามารถสร้างผลงานได้ด้วยตัวเอง เราเองก็เคยต้องการการเรียนรู้และคำแนะนำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราวที่เราสามารถเป็นผู้ให้ได้ เราก็ควรทำตัวเองให้เปิดเผยและซื่อสัตย์ในการแบ่งปัน อย่ากักตุนความรู้ เคล็ดลับ หรือประสบการณ์เอาไว้คนเดียว ยิ่งเราให้ออกไปได้มากเท่าไร สุดท้ายวันหนึ่งมันจะย้อนกลับมาตอบแทนให้กับเราเอง
“อย่าเป็นคนที่เอาแต่พูด คุณต้องรับฟังด้วย”
เราอาจจะต้องการที่จะเอาชนะใจทุกคน แต่ถ้าหากเราเอาแต่พูดโดยไม่ได้รับฟัง เราก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ และเราก็จะไม่สามารถเสิร์ฟความต้องการของพวกเขาได้อย่างถูกต้องได้อย่างแน่นอน ในขณะที่เล่าเรื่อง เป็นความคิดที่ดีมาก หากจะมีช่วงหยุดฟังหรือเปิดให้ผู้ที่เข้าร่วมได้แสดงความคิดเห็นบ้าง เป็นการสร้างความรู้สึกว่าพวกเขาได้มีส่วนร่วมและเราเองก็พร้อมที่จะเปิดใจรับฟัง
“บางเรื่องจำนวนไม่สำคัญ เท่าคุณภาพ”
เมื่อเราได้เริ่มต้นแบ่งปันผลงานและวิธีการออกไป สิ่งที่เราต้องเริ่มสังเกตก็คือ คนที่ติดตามเราคือใคร ไม่ใช่คนจำนวนคนที่ติดตามเราอยู่เท่าไร เพราะจำนวนคนที่มาติดตามไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของผู้ติดตาม เราต้องเริ่มค้นหาว่าในผู้ติดตามได้สนใจไปในทิศทางเดียวกันกับเราหรือไม่ ยิ่งผลงานของเราถูกผลักดันออกไปมากเท่าไร ผู้คนก็ยังยิ่งเริ่มหลงใหลและถูกดึงดูดเข้ามาหาเรามากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่การดึงดูดจะดึงมาแต่คนที่คุณพึงพอใจ เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องเลือกเก็บความรู้สึกดีๆ และพลังเชิงบวกเอาไว้ แล้วผลักไสพลังลบที่ไม่ก่อประโยชน์ทิ้งออกไป
เพื่อจะต่อสู้กับความสิ้นหวังและการปฏิเสธที่อาจจะเข้ามา นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ
- ผ่อนคลายแล้วพักหายใจสักหน่อย
- ทำร่างกายของเราให้แข็งแรง
- เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ปกป้องตนเอง
- ปกป้องพื้นที่เปราะบางของเราเอาไว้
- รักษาสมดุลของตัวเองให้ดี
“เมื่อความสิ้นหวังและการปฏิเสธเข้ามา อย่าใช้เวลากันมันนานนัก ก้าวต่อไปและอย่ายอมแพ้”
เงินและรายได้ เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้โลกหมุนอยู่ทุกวันนี้ เมื่อมีคนเริ่มที่จะสนใจงานของเราแล้ว ก็อย่าลังเลที่จะมองหาตัวเงินจากผลงานและวิธีการที่เราได้แบ่งปันออกไป เป้าหมายของเราก็คือการเปลี่ยนผู้ชมที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้าที่เต็มใจจะซื้อผลงานของเรา
“เมื่อโอกาสเข้าหาคุณให้รีบคว้าไว้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งคุณทำมากเท่าไร ผลตอบแทนยิ่งมากเท่านั้น”
การสร้างรายได้ควรเป็นสิ่งที่อยู่ในรายการสิ่งที่ต้องทำหลังจากประสบความสำเร็จในการแบ่งปันผลงานและวิธีการ เรารู้จักเหล่าคนที่สนใจงานของเราดีอยู่แล้ว เราสามารถเจาะตลาดลงไปได้เลยว่าเราควรขายผลงานให้แก่คนกลุ่มไหน? และไม่ควรขายให้แก่คนกลุ่มไหน? ถ้าเป็นไปได้เราต้องทำให้เป้าหมายของเรารู้ว่าตอนนี้ เรามีอะไรที่เขาต้องการ แล้วเราจะสามารถสร้างเงินจากพวกเขาได้
“งานไม่มีคำว่าเสร็จ มีแต่ถูกถอดทิ้ง”
เมื่อคุณเดินทางมาถึงความสำเร็จ มันไม่ได้หมายความว่า เราเดินทางมาถึงเส้นชัยแล้วทุกอย่างจะจบ แต่คุณต้องถามตัวเองต่อไปว่า “ยังมีอะไรต่ออีกไหม?” “เราพลาดตรงไหนไปหรือเปล่า?” “เราทำดีกว่าเดิมได้อีกไหม?” หรือ “มีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำอีก?” เมื่อถามคำถามเหล่านี้จบ ก็รีบโยนตัวเองลงไปในงานต่อไปได้แล้ว งานก็เหมือนห่วงโซ่ที่ร้อยเรียงกันเอาไว้ มันไม่มีวันจบ เพราะมันสามารถเพิ่มห่วงเข้ามาได้เรื่อยๆ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะโยนโซ่เส้นนั้นทิ้งไป
บทสรุป
เมื่อเราตัดสินใจที่จะแบ่งปันงานของเรา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเล่าถึงผลงาน ความคิดสร้างสรรค์ และวิธีการสร้างลงไปให้คนสนใจ แต่หากเราทำตามแนวคิดสุดโลดโผนที่ไม่เหมือนใครในหนังสือเล่มนี้ เราจะทำมันได้อย่างแน่นอน เราจะมีผู้ติดตาม (ที่สามารถกลายเป็นลูกค้า) เราจะสามารถสร้างเงินจากมันได้ เราและผลงานจะเป็นที่รู้จัก และเราจะได้รับโอกาสในการพัฒนางานให้เจ๋งและดีเยี่ยมขึ้นไปอีก ดีกว่าเก็บผลงานนั้นเอาไว้คนเดียว จนในที่สุดก็กลายเป็นแค่ความคิดสร้างสรรค์ที่โดนฝุ่นเกาะและอาจจะใช้ต่อไปไม่ได้ เพราะในโลกภายนอกยังมีคนอีกมายมายที่สนใจในเรื่องเดียวกับเรา เรายังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และสิ่งที่รักระหว่างกันได้เสมอ
“เมื่อเรามีของดี ก็ต้องให้คนอื่นขโมย”
บทความแนะนำ
IKIGAI – แนวคิดการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขที่ยั่งยืนสไตล์ญี่ปุ่น