
Smash fear and Learn anything – ก้าวข้ามความกลัว ด้วยการเรียนรู้ เพราะบนโลกนี้ เราทุกคนเริ่มต้นจากสิ่งที่ไม่รู้ ไม่เป็น ไม่เคย กันทั้งนั้น
หลายครั้งที่เราเคยได้ยินคำพูดปลุกใจที่ว่า “ไม่มีใครเป็นตั้งแต่เกิด” ซึ่งมันก็คือความจริง เราต้องเริ่ม หัด ทำซ้ำ จนในที่สุดก็เป็น แต่คนเราก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “ความกลัว” อยู่ดี กลัวที่จะเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ว่าจะกลัวอาย กลัวโง่ กลัวพลาด หรือกลัวว่าตัวเองจะล้มเหลวในตอนจบ

Tim Ferriss นักลงทุน นักเขียน เจ้าของหนังสือขายดีมากมายอย่าง The 4 hours body, Tools of Titans, The 4 hours work week และอีกมากมาย เขาได้บรรยายในเรื่องฝ่าความหวาดกลัว แล้วเรียนรู้ทุกสิ่ง ซึ่งวิดีโอบรรยายของเขาถูกจัดเป็นที่สุดของเว็บ TED.com ในลักษณะวิดีโอที่ไม่ใช่ TED talks แต่เป็นไอเดียที่คุ้มค่าต่อการเผยแพร่ที่สุด
“สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมทำไม่ได้”
Tim เล่าให้เราฟังว่า ในตอนเด็กเขาคิดเสมอว่าเขาเป็นเหมือนฮีโร่ยักษ์ตัวเขียวหรือฮัลค์ในหนัง ซึ่งสามารถทำได้ทุกอย่าง มีพลังกำลังแข็งแกร่งมาก จนกระทั่ง 7 ขวบเขาเดินทางไปเข้าค่ายตามที่พ่อกับแม่บอก ขณะที่อยู่ในค่าย จะมีกิจกรรมเล่นน้ำให้เข้าร่วมอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยชอบน้ำเท่าไร เพราะมีโรคประจำตัว แต่เขาตัดสินใจที่จะกระโดดลงไปในน้ำแบบเด็กคนอื่นดู แต่โชคไม่ดีเท่าไร เด็กเกเรคนหนึ่งจับข้อเท้าเขาไว้ แล้วอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น เขาตะเกียกตะกายหาอากาศ ดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย แม้จะรอดมาได้เพราะครูเห็นเสียก่อน แต่เหตุการณ์ความทรงจำ และความกลัวในครั้งนั้น ทำให้เขาคิดได้ว่า เขาไม่ใช่ฮัลค์ในหนัง เขาว่ายน้ำไม่เป็น
“ผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตมักจะล่าช้า เพราะการสร้างสรรค์แบบผิดๆ และสมมติฐานที่ไม่ได้รับการทดสอบ”
แน่นอนว่าเมื่อเขาโตขึ้น เขาก็ยังคงว่ายน้ำไม่เป็น และจัดเรื่องของการว่ายน้ำเป็นหนึ่งในความกลัวของเขาไปเลย จนกระทั่งเขาได้รับการท้าทายจากเพื่อนคนหนึ่งให้ลงแข่งว่ายน้ำในทะเลเปิด 1 กิโลเมตร มันจุดประกายเขาในเรื่องการว่ายน้ำอีกครั้ง
Tim เริ่มต้นลงเรียนว่ายน้ำ เรียนกับอาจารย์สอนว่ายน้ำชื่อดังหลายคน หรือโรงเรียนสอนว่ายน้ำหลายแห่ง ดูวิดีโอ ถามผู้เชี่ยวชาญ จนถึงขั้นเรียนว่ายน้ำกับนักกีฬาว่ายน้ำที่เคยแข่งในโอลิมปิก แต่แล้วมันก็ไม่ได้ผล เขายังคงว่ายน้ำไม่เป็น จนกระทั่ง Christ Sacca เพื่อนรักของเขา แนะนำให้เขาได้รู้จักกับ Terry Lauglin เจ้าของโรงเรียนสอนว่ายน้ำ Total Immersion Swimming นี่ฉีกกฎการสอนว่ายน้ำทั้งหมดที่เขาเคยรับรู้มา
“ผมกลับมาเป็นฮัลค์อีกครั้ง”
เขาเรียนวิธีการว่ายน้ำ โดยเริ่มจากสิ่งที่เรียกว่า “กลศาสตร์ชีวภาพ” ศึกษาเกี่ยวกับการลอยตัว มวลของน้ำ มวลของร่างกายคน ทำอย่างไรให้ตัวคนบาลานซ์และลอยอยู่ในน้ำและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ แน่นอนว่าไม่ต้องไปสนใจวิธีเตะขาให้เร็วและแรงอีกเลย ในวันที่เขาพิชิตการแข่งว่ายน้ำในทะเลเปิดที่ระยะทาง 1 กิโลเมตร เขาขึ้นมาจากน้ำด้วยชุดว่ายน้ำสไตล์ยุโรป แล้วเก๊กท่าเท่ๆด้วยความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้กลับมาเป็นยักษ์ตัวสีเขียวอีกครั้ง
สิ่งที่ตั้งใจจะพูด “กรุณาปลุกผมตอน 8 โมงเช้านะครับ” แต่สิ่งที่พูดจริงๆ “กรุณาข่มขืนผมตอน 8 โมงเช้านะครับ”
Tim เล่าว่าตอนมัธยมปลาย หลังจากที่ย้ายโรงเรียน โรงเรียนใหม่ของเขาก็ยังให้เลือกเรียนสักภาษา และเขาก็มีเพื่อนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ เขาจึงเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างไม่คิดอะไรมาก 6 เดือนต่อมา เขาได้รับโอกาสในการไปเรียนที่ญี่ปุ่น ครูบอกเขาว่ามันเป็นโอกาสที่ดีนะ มันเป็นความทรงจำที่วิเศษมาก และแน่นอนเขาเชื่อเธอ ในคืนแรกของการอาศัยร่วมกับโฮสต์ที่ญี่ปุ่น หญิงชาวญี่ปุ่นเกิดความสับสนอย่างหนัก เมื่อเด็กแลกเปลี่ยนที่เพิ่งมาอยู่บ้านเธอได้ไม่ถึงวัน ขอให้เธอข่มขืนเขาตอน 8 โมงเช้า….
“เริ่มการค้นคว้าอย่างวิตกจริต เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย”
ในวันแรกของการเรียนที่ญี่ปุ่น เขาค้นพบว่าวิชาภาษาญี่ปุ่น มันไม่ใช่การสอนภาษาญี่ปุ่นสำหรับเด็กแลกเปลี่ยนอย่างเขา แต่เป็นการสอนสำหรับเด็กญี่ปุ่นเลยต่างหาก อาจารย์ของเขายื่นจดหมายบางอย่างให้ ซึ่งเนื้อหาข้างในประกอบด้วยตัวคันจิภาษาญี่ปุ่นมากมาย แน่นอนว่าเขาอ่านมันไม่ออกเลย และเมื่อเขาถามหาความหมายภายในจดหมายจากอาจารย์ เธอก็เริ่มอธิบายด้วยภาษาญี่ปุ่นอย่างช้าๆ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจขึ้นมาได้เลย
Tim กลับมาศึกษาค้นคว้าการเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด จนกระทั่งเขาเจอเข้ากับ Joyo kanji หรือแผ่นจารึกอักษร 1945 ตัวที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ในปี 1981 โชคดีมากที่หนังสือพิมพ์ บทความ หรือหนังสือส่วนใหญ่พยายามจำกัดตัวอักษร โดยการใช้ตัวอักษรในแผ่นจารึกนี้เป็นส่วนใหญ่ เขาก้าวกระโดดระดับภาษาญี่ปุ่นจาก 1 ไปถึง 4 ได้สำเร็จ สร้างรายได้จากการรับงานแปลเอกสารภาษาญี่ปุ่นได้ตั้งแต่อายุ 16 อีกด้วย
“การมีประสิทธิผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง การมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งต่างๆได้ดี ไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่”
นี่คือความแตกต่างระหว่างการมีประสิทธิผลกับการมีประสิทธิภาพ Tim พบว่าเขาสามารถเรียนรู้ภาษาได้ 5 – 6 ภาษาเช่นกันในเวลาที่กำหนด เขาค้นพบ 6 ประโยคที่จะช่วยในการจำแนกไวยากรณ์ให้ชัดขึ้น แสดงให้เห็นถึงประธาน กรรม กริยา และการวางตำแหน่งของคำแต่ละคำได้ โดยการแปลงประโยคเหล่านี้เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งมันใช้ได้ในการเรียนภาษาทุกภาษา
- The apple is red.
- It is John’s apple.
- I give John the apple.
- We want to give him the apple.
- He gives it to John.
- She gives it to him.
ในบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางของใครที่เขาบอกว่าถูก หรือบอกว่ามันเป็นขั้นตอนที่ต้องทำสำหรับการเรียนรู้ คนเรามักมีวิธีการเรียนรู้ของตัวเองเสมอ วิธีการเรียนรู้เพียงวิธีเดียวไม่สามารถดึงให้คนทั้ง 100% รู้เหมือนกันได้
“สมัยมหาวิทยาลัย ผมเต้นลีลาศคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วผมก็เหยียบเท้าเธอด้วยส้นเท้าของผม”
Tim เล่าว่าเขายังจำมันได้ดี เขาตัดสินใจเข้าร่วมชั้นเรียนเต้นแทงโก้ในปี 2005 โดยไม่คิดจะทดลองเรียนก่อนเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่เขาเคยเหยียบเท้าหญิงสาวที่เต้นคู่เขาในสมัยมหาวิทยาลัยเขาคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเต้นมาตลอด แต่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้ครั้งใหม่ของเขา
“ตามกฎพาร์กินสัน ความซับซ้อนของงาน จะขึ้นอยู่กับเวลาที่ได้รับ”
หลังจากเข้าเรียนแทงโก้ เขาเริ่มจดบันทึกและเรียนรู้คุณลักษณะของผู้ตามหรือก็คือการเต้นของผู้หญิงที่จะต้องเต้นคู่กับเขาก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการเหยียบเท้าขึ้นซ้ำสอง
เขาลิสต์ 3 สิ่งที่เขาได้ จากการสังเกต วิเคราะห์ และสัมภาษณ์นักเต้นเก่งๆเปรียบเทียบกับคนธรรมดาไร้ประสบการณ์การเต้น หนึ่งคือการก้าวยาวๆ ซึ่งนักเต้นแทงโก้ส่วนใหญ่จะมีการก้าวที่ค่อนข้างสั้น แต่เขาพบว่าการก้าวยาวจะทำให้ท่วงท่าสวยกว่า สองคือการหมุนแต่ละชนิดที่เขาต้องทำให้ได้ และสามคือความหลากหลายของจังหวะ
“นี่เป็น 3 สิ่งที่จำเป็นต่อการสู้กับนักแทงโก้ที่ฝึกมา 20 – 30 ปี”
มันดูเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ ผู้หญิงในตอนมหาวิทยาลัยคนนั้นจะรู้ไหมว่าผู้ชายที่เคยเหยียบเท้าเธอในงานวันนั้น สามารถเป็นแชมป์แทงโก้ที่บัวโนสไอเรสใน 4 เดือนหลังจากจ่ายเงินเข้าร่วมชั้นเรียน เขาได้แข่งขันชิงแชมป์โลก ถึงขั้นเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ 1 เดือนหลังจากนั้น และเขาทำลายสถิติโลกหลังจากนั้น 2 อาทิตย์
“ความกลัวเป็นเพื่อนของคุณ ความหวาดกลัวเป็นตัวชี้วัด”
เพราะการเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ เป็นการก้าวเข้าไปในดินแดนที่เราไม่เคยรู้จัก หรือเป็นดินแดนที่เราเคยเข้าไปแล้วแต่มันแสนจะโหดร้ายกับเรา จึงไม่แปลกถ้าจะเกิดความกลัวเข้ามาเกาะกุมภายในจิตใจ บางครั้งมันทำให้เห็นว่าอะไรคือสิ่งที่เราไม่ควรทำ แต่มากกว่านั้น มันแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว เราควรทำอะไรต่างหาก
“ผลงานที่ดีที่สุดและช่วงเวลาที่สนุกที่สุดของผม เริ่มจากคำถามที่ว่า อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น?”
Tim ไม่ได้เริ่มต้นทำเรื่องต่างๆ จากการมองผลลัพธ์ในอนาคตในทางที่ดีที่สุด เขาไม่ได้มองผลสำเร็จของมันเพื่อจูงใจให้ตัวเองเริ่มทำ แต่เพราะเขามองไปถึงความกลัวในอดีต ความทรงจำวัยเด็ก หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาได้ ถ้าเขาไม่ได้ทำ ถ้าเขายังไม่เคย หรือถ้าเขายังไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านั้น นั้นเอง
บทสรุป
ถ้าเราไม่ทำอะไร ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนเราจะหยุดอยู่กับที่ตลอดไปไม่ได้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีความต้องการในการจะก้าวไปข้างหน้า
ในวันนี้ มีความกลัวที่ฉุดรั้งเราอยู่เอาไว้หรือเปล่า อะไรที่ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือเปล่า?
ในตอนเด็กเคยมีสิ่งที่เรากลัวที่สุดไหม? เราได้ลองวิ่งฝ่ามันไปแล้วหรือยัง?
ถ้าวิธีที่คนอื่นบอกเรามันยังไม่ได้ผล เราได้ลองหาวิธีวิ่งฝ่าความกลัวเหล่านั้นด้วยตัวเองดูแล้วหรือยัง?
ความกลัวในตอนนั้น อาจจะกลายเป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตของเราในอนาคตก็ได้
“เราควรใช้ความสามารถที่เรามี เปลี่ยนความกลัวในวัยเด็กให้มันกลายเป็นฝันที่ใหญ่โตสำหรับเรา”
Smash fear, learn anything | Tim Ferriss
Source :
Learn How Billionaires Manage Their Time From Tim Ferriss
If You’re Not Happy With What You Have, You Might Never Be Happy