
Soul – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง เหมือนจะเป็นแค่หนังการ์ตูนธรรมดาที่เอาไว้ให้เด็กดู แต่ไม่ใช่เลย ผู้ใหญ่อย่างเราก็ควรต้องดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีหลายแง่มุมที่ผู้ใหญ่อย่างเรา สามารถนำไปเปลี่ยนมุมมองในการใช้ชีวิตได้เลย
Soul – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นของทาง Disney Pixar ที่ได้เปิดฉายในช่วงปลายปี 2563 หนังเรื่องนี้ ดูเผินๆ ก็อาจจะเป็นแค่หนังการ์ตูนธรรมดา แต่หากเป็นค่ายอื่นทำก็อาจจะมองเป็นแบบนั้นได้ แต่นี่สร้างโดย Disney Pixar เรื่องนี้ต้องมีอะไรดีๆ ให้เราได้ดูอย่างแน่นอน และ ถ้าเรื่องนี้ไม่เจ๋งจริงๆ คงไม่เอามาออกฉายช่วงนี้แน่ๆ เอาเป็นว่า เราไปลองพิสูจน์กันว่าเรื่องนี้จะดีเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ เคยทำหรือเปล่า?

รู้หรือไม่ Pixar คือ ค่ายหนังที่ถือว่าเป็นเทพของหนังแอนิเมชั่น หลายเรื่องในอดีต สร้างปรากฎการณ์มากมายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนดู ไม่ว่าจะเป็น Toy Story, Finding Nemo, Wall-E, Up หรือ ล่าสุดกับ Inside Out แต่ละเรื่องต่างมีมุมมองที่น่าสนใจ เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศ ทุกวัย และ สามารถหยิบยกมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้
เรื่องย่อ Soul – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง
ที่เดินเรื่องราวผ่านชีวิตของตัวละครหลัก คือ โจ การ์ดเนอร์ (ให้เสียงโดย เจมี่ ฟ็อกซ์) ชายวัยกลางคน ครูสอนดนตรีที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวของเรื่องนี้ คือ ชีวิตของโจ เป็นครูสอนดนตรี ชีวิตของเขาค่อนข้างจะราบเรียบ ออกไปทางน่าเบื่อ ขนาดตอนสอนดนตรี ยังน่าเบื่อเลย โจไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย โจ มีแต่ความหวัง เขาอยากให้เกิดจุดเปลี่ยนของชีวิต เขาอยากประสบความำสเร็จ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ก็ได้แต่รอคอยความฝันนั้นต่อไป

ในเรื่อง โจ ชอบดนตรีแจ๊สมาก เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากพ่อของเขา ที่พาเขาไปฟังดนตรีแจ๊ส จึงทำให้เขาสนใจในเรื่องนี้ เขาเล่นเปียโนเก่ง และก็มีความใฝ่ฝันว่าอยากมีอาชีพนักดนตรีที่มีชื่อเสียงเหมือนพ่อของเขา แต่แล้ว ก็ไม่มีที่ใดให้โอกาสกับโจเลย ทำให้เขาต้องมาเป็นได้แค่ครูสอนดนตรีให้กับเด็ก
จนวันนึง โจ ได้รับโทรศัพท์จากอดีตลูกศิษย์คนนึงของเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นมือกลองของวงดนตรีแจ๊สที่มีชื่อเสียงโด่งดังวงนึง กำลังจะมาเปิดการแสดงในเมือง (ภายหลัง ลูกศิษย์คนนี้ เขาบอกว่า วิชาดนตรีที่โจสอน เป็นวิชาเดียวที่เขาอยากมาเรียนทุกครั้ง และเพราะสิ่งที่โจสอน ทำให้เขาได้กลายเป็นนักดนตรีอาชีพได้จริงๆ) เพราะวงกำลังมองหานักเปียโนเจ๋งๆ ลูกศิษย์คนนี้ ก็เลยชักชวนโจ ให้มาลองเล่นกับโดราธี วิลเลียม ศิลปินแซกโซโฟนแจ๊ส เผื่อว่าโจจะได้รับโอกาสมาเล่นในวันแสดงจริง
โจ ก็ดีใจมากตอบตกลง และได้ไปลองเล่น (ซ้อม หรือ จะเรียกว่า Audition ก็ได้) กับวงนี้ และ ให้หัวหน้าวง ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เล่น แซกโซโฟนเก่งมากอีกด้วย ตอนแรกก่อนจะเล่น โจ ก็เหมือนจะโดนดูถูกจากหัวหน้าวง ว่าเป็นแค่ครูสอนดนตรี จะเล่นกับวงได้เหรอ? แต่หลังจากได้ลงเล่นซ้อมกับวงไปแล้ว โดราธี วิลเลียม ถึงกับเอ่ยปากว่า “โจ นี่เธอไปอยู่ไหนมา มัวไปทำอะไรอยู่” คำพูดนี้บ่งบอกได้ถึงความสามารถของโจ ที่มีมากมาย แต่เขากลับไม่ได้ใช้ หรือ ไม่มีโอกาสได้นำมาใช้อย่างเต็มที่ โดราธี วิลเลียม ตอบรับให้โจ มาเล่นในวันแสดงจริงได้

โจ ดีใจมากที่เขาได้รับโอกาสที่รอคอยมาทั้งชีวิต ด้วยการได้รับเลือกให้ร่วมแสดงที่แจ๊สคลับที่ดีที่สุดของเมือง ระหว่างที่เดินทางกลับจากการ Audition โจประสบอุบัติเหตุตกท่อ ทำให้ต้องเสียชีวิต และทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ในโลกแห่งวิญญาณ
โจ ยังไม่อยากตาย เพราะเขายังมีเรื่องที่อยากทำ (แต่ยังไม่ได้ทำ) รอเขาอยู่ โอกาสที่เขาเฝ้ารอมาทั้งชีวิตกำลังจะมาถึงแล้ว แต่เขากลับต้องมาตายเสียก่อน โจ เชื่อว่ามันต้องมีทางแก้ไขในเรื่องนี้ เขาจึงได้ออกตามหาหนทางเพื่อกลับมาโลกมนุษย์อีกครั้ง
จนโจ ได้มาเจอกับ หมายเลข 22 (ให้เสียงโดยทีนา เฟย์) ดวงวิญญาณเด็ก ที่ไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์ โดย หมายเลข 22 ที่ผ่านมาก็หลีกเลี่ยงการมาเกิดโดยตลอด และ นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางกับการค้นหาสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต ทั้งของโจ และ หมายเลข 22

ทั้งโจ และ หมายเลข 22 ต่างก็ได้เรียนรู้จักตัวตนของกันและกัน มีหลายช่วงหลายตอนของการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงที่ได้กลับมาใช้ชีวิตในโลกมนุษย์อีกครั้งของโจ และ หมายเลข 22 ก็ได้มาเห็นชีวิตจริงๆ ในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก มุมมองในเรื่องเดิมๆ ของทั้งสองคนในอดีตของทั้งสองคน ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตได้เปลี่ยนไปอย่างส้ินเชิง
ทั้งโจ และ หมายเลข 22 ต่างก็รู้สึกเข้าใจความเป็นมนุษย์ ที่แท้จริงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ทันไร โจ และ หมายเลข 22 ก็ถูกจับกลับมาในโลกแห่งวิญญาณอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ ชีวิตเขาและหมายเลข 22 จะเป็นอย่างไรต่อไป โจ จะได้กลับมาโลกมนุษย์อีกไหม? แล้วหมายเลข 22 จะได้มาเกิดไหม?
ชีวิตของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร คงต้องไปหาคำตอบกัน กับ หนังเรื่องนี้นะครับ
“ดูละคร เหมือนย้อนดูตัวเอง”
ในบทความนี้ แอดมิน จึงจะขอนำเสนอสิ่งที่แอดมินได้เรียนรู้ จากการได้ดู Soul – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง ซึ่งสรุปออกมาได้ดังต่อไปนี้
“You can’t eat dream for a breakfast”
“ความฝันมันกินแทนอาหารเช้าไม่ได้” ถ้าเรายังมัวฝันและรอต่อไป อะไรที่อยากได้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น เหมือนเช่นเรื่องราวของโจ ซึ่งจริงๆ แล้วเขาเองก็ชอบและมีความสามารถในการเล่นเปียโน และมีความฝันที่อยากจะเป็นนักดนตรีอาชีพ แต่ก็ไปได้ไม่สุด แล้วก็เกิดอาการถอดใจ ใช้ชีวิตแบบน่าเบื่อต่อไป ทั้งๆ ที่ก็ยังแอบฝันในเรื่องเดิมๆ

“ระหว่างสร้างโอกาส กับ รอคอยโอกาส แบบไหนดีกว่ากัน?”
หากโจ เลือกที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ตามล่าหาความฝันของเขา ด้วยการลงมือทำขึ้นมาจริงๆ เขาอาจจะกลายเป็นนักดนตรีอาชีพไปนานแล้วก็ได้ ไม่ต้องรอจนเข้าสู่วัยกลางคน แล้วให้อดีตลูกศิษย์ นำเสนอโอกาสมาให้ ประเด็นนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึง ที่เราหลายคนบางครั้งเลือกที่จะรอโอกาส แต่หลายคนโชคไม่ดีเหมือนโจ พวกเขาได้แต่รอ และไม่เคยมีโอกาสดีๆ ผ่านเข้ามาอีกเลย
“Don’t judge someone until you have walked a mile in his shoes”
“เราไม่ควรตัดสินคนอื่น จากมุมมองหรือจากประสบการณ์ของเราเอง” ถ้าเราไม่เข้าใจ หรือ ไม่เคยเป็นแบบเขามาก่อน ในเรื่องนี้ก็มีหลายช่วงหลายตอนที่พูดถึงประเด็นนี้ เช่น ตอนที่ โจ ไปตัดผม หมายเลข 22 ซึ่งอยู่ในร่างของโจ (มีการสลับร่างกันด้วย สลับกันได้อย่างไร คงต้องไปหาคำตอบกันเองนะครับ) ถามช่างตัดผมว่า เขาอยากเป็นอะไร ช่างตัดผมบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเคยอยากเป็นสัตวแพทย์ แต่ด้วยปัญหาเรื่องการเงิน เขาก็ต้องมาลงเอยเป็นช่างตัดผม พอได้ยินเท่านั้น หมายเลข 22 ซึ่งอยู่ในร่างของโจ ก็ด่วนไปตัดสิน ช่างตัดผมว่าเขาคงไม่ชอบและไม่มีความสุขกับการเป็นช่างตัดผม

ช่างตัดผมบอกกับ โจ และ หมายเลข 22 ว่า เขามีความสุขดีกับอาชีพนี้ ความสุขของเขาเกิดจากที่ทำให้คนที่มาใช้บริการดูดีขึ้น นอกจากนี้เขายังที่ได้ฟังเรื่องราวของทุกคนที่แวะเวียนมาเล่าให้เขาฟังอีกด้วย ประเด็นนี้ ชี้ให้เห็นว่า ความสุขของแต่ละคน หรือ แม้กระทั่งตัวเราเอง ก็ไม่เหมือนกัน และเราไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาเปรียบเทียบ หรือ มาตัดสินว่าใครมีความสุขมากกว่ากันได้
“Follow your own passion—not your parents’, not your teachers’—yours”
“เชื่อมั่นใน Passion ของเรา เชื่อมั่นในตัวเอง และ เดินตามทางที่เราเองต้องการ” ดังเช่นบางช่วงบางตอนในหนังเรื่องนี้ ลูกศิษย์ของโจ มาบอกโจว่า จะเลิกเล่นดนตรี เพราะคนอื่นๆ มองว่ายิ่งเล่นไปเหมือนเป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่น แต่พอลูกศิษย์คนนี้ลองเล่นดนตรี ให้โจฟัง โจเห็นได้เลยในทันทีว่า ลูกศิษย์คนนี้ มีความสุขกับเรื่องนี้มาก เพียงแต่เขาขาดความมั่นใจในความชอบของตนเองเท่านั้น ประกอบกับคำพูดหรือการกระทำคนรอบข้าง สร้างความอึดอัด ทำให้ลูกศิษย์คนนี้ เกิดความลังเลที่จะเล่นดนตรีที่เขาชอบต่อไป

โจ เองก็เช่นกัน แม่ของโจ เป็นห่วงโจ เพราะโจ ก็อายุมากแล้ว เธออยากให้โจ มีงานดีๆ งานประจำที่มีรายได้มั่นคง มีสวัสดิการ แม่ของโจกลัวและเป็นห่วงว่า หากโจ ยังเพ้อฝันอยากเป็นนักดนตรีต่อไป และ หากเธอเสียชีวิตไปแล้ว อาจจะทำให้โจลำบากได้ ด้วยความเป็นห่วงของแม่ ก็ทำให้โจ หลายๆ ครั้งก็อาจจะไม่กล้าที่จะตาม Passion ของตัวเอง ส่วนนึง ก็ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง อีกส่วนนึง ก็อาจจะเป็นเพราะตัวโจ เอง ที่มักเก็บคำพูดดูถูก เหยียดหยาม มาบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง เช่นกัน
ประเด็นนี้ ไม่ได้หมายความว่า อย่าไปฟังเสียงคนรอบข้าง ซะทั้งหมด แต่ให้เลือกเอาว่า อันไหนที่เขาบอกมาแล้วเราสามารถทำให้ได้ หรือ สามารถเอาไปปรับปรุงได้ แต่อย่าฟังและเก็บมาคิดทุกเรื่องจนไม่เหลือพื้นที่ที่เป็นของตัวเองเลยก็แล้วกันนะครับ
“Happiness is not a destination, it is a byproduct of enjoying the journey”
“ความสุข ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เดินทางถึงเป้าหมาย แต่เกิดขึ้นได้ตลอดการเดินทาง” หากเรามัวแต่สร้างสมการความสุข ว่าต้องผูกติดกับการที่จะต้องถึงเป้าหมาย โดยละทิ้งเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง นั่นก็ยิ่งทำให้เราเป็นทุกข์
เช่นเรื่องราวของโจ เขาบอกว่า ความสุขของเขาคือ การได้เป็นนักดนตรีอาชีพ ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาอยู่ท่ามกลางชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่มีความสุขเลย เพราะสิ่งที่เขาอยากได้มาไม่ถึงซะที เขาก็เลยไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขกับเรื่องราวๆ เล็กๆ น้อยๆ หรือ สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และ เหมือนเป็นเรื่องตลกร้าย ในวันที่โจ ได้เป็นนักดนตรีสมใจ โจ กลับพบว่าตนเองไม่ได้มีความสุขในแบบที่ตนเองอยากได้อยู่ดี
สิ่งที่เราเองก็ต้องทำความเข้าใจกันซะใหม่ ก็คือ ความสุข ไม่ได้จำเป็นต้องประสบความสำเร็จก่อนเสมอไป ความสุขสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ จากเรื่องง่ายๆ จากเรื่องเล็กๆ จากตัวเราเอง คนรอบตัว หรือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
“Your purpose in life is to find your purpose and give your whole heart and soul to it”
“เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ของแต่ละคน ก็คือ เพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นตัวของเราเองที่เราทำแล้วมีความสุขอย่างแท้จริง” เป้าหมาย อาจจะไม่ใช่เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ อย่างเช่นเรื่องของโจ หลังจากที่ได้เป็นนักดนตรีสมใจแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขอย่างที่คิดเลย
ความฝัน หรือ เป้าหมาย เป็นส่วนนึงของการสร้างแรงจูงใจให้เราเดินหน้าและมีชีวิตต่อไปเท่านั้น แต่หากเราต้องการมีความสุขกับการดำเนินชีวิตต่อไปด้วย สิ่งที่เราต้องหาให้เจอนั่นก็คือ “เหตุผลของการมีชีวิตอยู่”
หมายเลข 22 หลังจากที่ได้เข้าไปอยู่ในร่างของโจ ได้ทำให้โจ ได้เห็นแล้ว ว่าการมีชีวิตอยู่แบบมีความสุข ในแบบที่เขาไม่เคยมี หรือ ไม่เคยเห็นเป็นอย่างไร?

เช่นเดียวกัน โจ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาจะไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ได้สำเร็จอะไรเลย แต่เขาก็สามารถเอาเรื่องราวของเขา ประสบการณ์ของเขา มาเป็นตัวอย่าง มาแสดงให้ หมายเลข 22 ได้เห็น จนในที่สุด หมายเลข 22 ก็เข้าใจความหมายและเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ และทำให้เขาอยากที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
บางที การที่เราได้เจอเพื่อนใหม่ เพื่อนต่างวัย หรือ ต่างวงการ เขาอาจจะทำให้เราเห็นในเรื่องที่เราเคยมองข้ามไปก็ได้ หรือ อาจจะทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติไปในทางที่ดีกว่าเดิมก็ได้เช่นกัน เพราะหากเรายังอยู่ในโลกเดิมๆ คนกลุ่มเดิม ก็อาจจะเป็นเรื่องยากที่เราจะมองเห็นเรื่องดีๆ ที่มีอยู่รอบตัวเรา หรือ โอกาสดีๆ ที่เรากำลังมองข้ามอยู่ก็เป็นได้
บทสรุป
เรื่องราวของ โจ การ์ดเนอร์ จาก Soul – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง ให้บทเรียนกับเราได้มากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะกับคนทำงาน หรือ คนที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาในเรื่องเป้าหมาย ความสุข และ ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เหตุผลของการมีชีวิต คืออะไร?
“เราควรเริ่มต้นจากพอใจในสิ่งที่มีก่อน แล้วค่อยมองหาสิ่งที่ขาด”
แทนที่จะวิ่งตามหา วิ่งไล่ตามสิ่งที่ไม่มี พยายามมากมายเพื่อให้ได้ในสิ่งอาจจะไม่ใช่สำหรับตัวเองเลยก็ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้ ไปไม่ถึงเป้าหมายเสียที มีแต่ความทุกข์ ทำให้ต้องเข้าสู่วงจรของการคิดลบ หากเราเลือกที่จะเริ่มต้นกับสิ่งที่มี ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสียก่อน การจะตามหาสิ่งที่ขาดหายไป ที่เหมาะสำหรับตัวเราก็จะง่ายยิ่งขึ้น (แบบนี้ ถือเป็นการต่อยอด)
“การเข้ามาของใครบางคน ทำให้เรารู้ว่าชีวิตที่งดงามเป็นอย่างไร?”
เราอาจจะมองว่าชีวิตเราไม่ดีเลย เพราะเรายังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แต่จากมุมมอง หรือ สายตาของคนอื่น ชีวิตของเราอาจจะมีความสุข หรือ มีเรื่องดีๆ รอบตัวอยู่แล้วก็ได้ หลายอย่างดีๆ เรามักมองข้าม ก็เพราะเราไปผูกติดความสุขกับความสำเร็จมากจนเกินไป ทำให้เรามีแต่ความทุกข์ และ มองสิ่งดีๆ รอบตัวไร้ค่าไป
คำถามที่สำคัญ ที่ทุกคนน่าจะต้องลองไปหาคำตอบ ก็คือ “อะไร คือ เหตุผลของการมีชีวิตอยู่เรา” หากเราตอบได้ชัดเจน เราก็จะใช้ชีวิตทุกๆ วินาที ได้อย่างมีความหมาย และ มีความสุขได้ตลอดไป
Source:
Soul – อัศจรรย์วิญญาณอลเวง : https://www.disney.co.th/
ขอขอบคุณ Pixar สำหรับภาพประกอบบทความ