Storytelling for Leader : เปลี่ยนทีมให้เก่งขึ้นด้วย 6 เทคนิคการสื่อสารที่ทรงพลังที่ผู้นำหรือหัวหน้าควรมีเอาไว้ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
ในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำที่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่สั่งงาน แต่ยังต้องสร้างแรงบันดาลใจและความเข้าใจในทีมผ่านการสื่อสารที่มีพลัง การใช้ Storytelling หรือการเล่าเรื่องเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสื่อสารที่เชื่อมโยงทั้งเหตุผลและอารมณ์ให้ทีมรู้สึกมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ตามที่ Simon Sinek กล่าวไว้ในหนังสือ “Leaders Eat Last” การสร้างความเชื่อใจและความผูกพันในทีมเป็นหน้าที่สำคัญของผู้นำ และการเล่าเรื่องสามารถช่วยสร้างพื้นฐานนี้ได้ ลองจินตนาการว่าการเปลี่ยนโครงการหรือแนวทางใหม่จะไม่เจอกับการต่อต้าน หากคุณสามารถอธิบายเรื่องราวที่ทำให้ทีมรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง
ต่อไปนี้คือ 6 เทคนิค ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้ Storytelling ในการเป็นผู้นำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตัวอย่างที่เห็นได้จริงในการนำไปใช้ในโลกการทำงาน
1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างลึกซึ้ง (Empathy-Focused Storytelling)
เรื่องราวที่มีพลังเริ่มต้นจากการรู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างแท้จริง ผู้นำที่มีทักษะในการเล่าเรื่องที่ดีต้องเข้าใจสิ่งที่ทีมของพวกเขากังวล สิ่งที่พวกเขาต้องการ และสิ่งที่พวกเขาหวัง ตัวอย่างจากหนังสือ “The Power of Story” ของ Jim Loehr แสดงให้เห็นว่าการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับอารมณ์และความรู้สึกสามารถผลักดันคนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ตัวอย่าง: ก่อนที่จะเริ่มโปรเจกต์ใหม่ ลองพูดคุยแบบไม่เป็นทางการกับทีมของคุณเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับความวิตกกังวลหรือข้อสงสัย จากนั้นปรับแต่งเรื่องเล่าที่ตรงกับความรู้สึกและ Pain Points ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น หากทีมกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีใหม่ คุณอาจเล่าเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่คุณเคยประสบกับความไม่แน่นอน แต่ในที่สุดการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างไร
2. ใช้เหตุผลควบคู่ไปกับอารมณ์ (Balance Logic with Emotion)
ใน “Made to Stick” Chip และ Dan Heath อธิบายว่าเรื่องราวที่มีประสิทธิภาพจะต้องสามารถเชื่อมโยงระหว่างเหตุผลและอารมณ์ได้ ผู้นำควรทำให้ทีมเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของการตัดสินใจทางธุรกิจ และในขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางนี้
ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณกำลังแนะนำเครื่องมือซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีม อธิบายว่าเครื่องมือนี้จะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความแม่นยำอย่างไร พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จจากบริษัทอื่นที่นำเครื่องมือนี้มาใช้ และพนักงานในบริษัทเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงานของพวกเขาให้ดีขึ้นอย่างไร
3. ทำให้เรื่องราวของคุณมีความเป็นมนุษย์ (Humanize Your Story)
เรื่องเล่าที่ดีต้องมีส่วนที่สื่อถึงความเป็นมนุษย์ “Dare to Lead” ของ Brené Brown กล่าวถึงการแสดงความเปราะบาง (Vulnerability) ว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความเชื่อใจ การยอมรับทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวของคุณจะทำให้คนฟังรู้สึกว่าคุณเป็นผู้นำที่เข้าใจและเข้าถึงได้
ตัวอย่าง: ในขณะที่คุณแบ่งปันเรื่องราวของโครงการที่ประสบความสำเร็จ อย่าลืมเล่าเรื่องราวของความล้มเหลวที่คุณได้เรียนรู้และเติบโตมา การแสดงให้ทีมเห็นว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต จะทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจที่จะพยายามและยอมรับความล้มเหลวมากขึ้น
4. ทำให้เรื่องราวของคุณง่ายแต่ทรงพลัง (Keep It Simple, Yet Powerful)
การเล่าเรื่องที่ดีไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เรื่องราวที่เรียบง่ายแต่ชัดเจนสามารถสร้างผลกระทบได้มากกว่า หนังสือ “Made to Stick” เน้นว่าความเรียบง่ายของเรื่องราวจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจำได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่าง: หากคุณต้องการให้ทีมของคุณเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ อย่าทำให้เรื่องราวซับซ้อนเกินไป แทนที่จะแสดงแผนงานที่ซับซ้อน ลองเล่าเรื่องสั้นๆ เกี่ยวกับความสำเร็จในโปรเจกต์อื่นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกัน และแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้น
5. เล่าเรื่องเชิงกลยุทธ์ (Strategic Storytelling)
ใน “The Storytelling Animal” ของ Jonathan Gottschall อธิบายว่าการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพสามารถเป็นเครื่องมือในการสร้างกลยุทธ์ได้ ผู้นำที่มีทักษะจะเชื่อมโยงเรื่องเล่ากับเป้าหมายองค์กรและภาพใหญ่ให้ชัดเจน และให้ทีมมีส่วนร่วมในการสร้างเรื่องราวนั้นด้วย
ตัวอย่าง: แทนที่จะสั่งงานตรงๆ ลองอธิบายวิสัยทัศน์องค์กรในระยะยาวว่าเป็นอย่างไร และโครงการใหม่จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของทีมอย่างไร จากนั้นให้ทีมมีส่วนร่วมในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่ามีบทบาทสำคัญในความสำเร็จ
6. แสดงความถ่อมตนและเปิดใจรับฟัง (Stay Humble and Open to Feedback)
ผู้นำที่ยอดเยี่ยมไม่เคยลืมว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกคน “Leaders Eat Last” ของ Simon Sinek ชี้ให้เห็นว่าผู้นำที่ถ่อมตนและยอมรับฟังความคิดเห็นจะสร้างความไว้วางใจในทีมได้ดีกว่า การยอมรับว่าคุณไม่ได้มีคำตอบทุกอย่างจะทำให้ทีมรู้สึกมั่นใจและเต็มใจที่จะร่วมมือมากขึ้น
ตัวอย่าง: เมื่อคุณนำเสนอแนวคิดใหม่ อย่าลืมถามความคิดเห็นและเปิดโอกาสให้ทีมได้แสดงความเห็นของพวกเขา การรับฟังและแสดงให้เห็นว่าคุณนำคำแนะนำไปใช้จริง จะทำให้ทีมรู้สึกมีคุณค่าและพร้อมจะทำงานร่วมกับคุณอย่างเต็มใจ
บทสรุป
สำหรับ Storytelling for Leader การใช้ทักษะ Storytelling ในการนำทีมเป็นทักษะที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน การเล่าเรื่องไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือในการสื่อสาร แต่ยังเป็นวิธีการสร้างความเข้าใจ ความเชื่อใจ และแรงบันดาลใจที่แท้จริง เรื่องราวที่มีพลังสามารถทำให้ทีมของคุณรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ความสำเร็จ และพร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อเป้าหมายร่วมกัน
การใช้ 6 เทคนิคที่กล่าวถึงในบทความนี้จะช่วยให้คุณสร้างเรื่องเล่าที่ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจในทีม แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและความไว้วางใจในฐานะผู้นำให้คุณได้อีกด้วย:
- เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ใช้เหตุผลควบคู่กับอารมณ์
- ทำให้เรื่องราวมีความเป็นมนุษย์
- เล่าเรื่องให้เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
- ใช้การเล่าเรื่องเชิงกลยุทธ์
- แสดงความถ่อมตนและเปิดใจรับฟัง
การเล่าเรื่องที่ดีจะช่วยให้ทีมของคุณเติบโต แข็งแกร่งขึ้น และก้าวข้ามทุกความท้าทายไปด้วยกัน
บทความแนะนำ
Leaders Eat Last | 10 บทเรียนสำคัญ ของ Simon Sinek ที่ผู้นำควรรู้