The 4-Day Week รูปแบบการทำงานที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานของคนทำงาน เพราะรูปแบบเดิมๆ วิธีการทำงานเดิมๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปแล้ว
เมื่อเราเข้าสู่วัยทำงาน ก็จะมีกติกาในเรื่องเวลาของการทำงาน ที่เข้าใจตรงกันว่า หากไม่ใช่งานอิสระ หรือ ธุรกิจส่วนตัวที่ทำให้เราได้เป็นเจ้านายตัวเองแล้ว การทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ก็คือเรื่องปกติ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องโชคดีด้วยซ้ำ เพราะก็ยังมีหลายคนที่ทำงานถึง 6 วันต่อสัปดาห์ หรือ บางคนอาจจะทำงานแทบทุกวันก็ยังมี ซึ่งสำหรับเรื่องของเวลาของการทำงานเหล่านี้ เรายึดถือกันจนมันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปเสียแล้ว ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์และ 8 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ มันช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงที่สุดแล้วจริง เหรอ?
“เมื่อเรื่องของเวลาในการทำงาน ยังคงใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลงานของพนักงาน”
ยังมีอีกหลายองค์กร เอาเรื่องของเวลาในการทำงาน เช่น ตรงต่อเวลา ไม่ขาด ไม่ลา ไม่สาย ของพนักงานมาเป็นตัววัดผลและประเมินผลงานของพนักงานประจำปี ซึ่งการทำแบบนี้ อาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ การวัดผลแบบนี้ ไม่ได้สอดคล้องกับประสิทธิภาพที่แท้จริงที่พนักงานคนนั้นๆ ส่งมอบผ่านผลงานของพวกเขาให้กับองค์กร
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น ในองค์กรทั้วๆ ไป เราคงเคยเห็นคนที่มาทำงานตรงต่อเวลา ไม่เคยขาด ไม่เคยมาสาย แต่ปรากฏว่าผลงานของเขาอาจจะธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น เมื่อพวกพนักงานเขารู้ว่าองค์กรวัดผลเขาเรื่องนี้ เขาก็แค่มาทำงานแล้วก็กลับบ้านให้ตรงเวลาก็เท่านั้นเอง เพราะองค์กรให้ความสำคัญเรื่องของเวลาเข้างาน แทนที่จะให้นำ้หนักเรื่องผลงาน นั่นจึงเป็นเหตุทำให้องค์กรเหล่านี้ มีแต่พนักงานที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามเป็นจำนวนมาก
“ยุคของ Time-Based กำลังจะหมดลงแล้ว ตอนนี้มันควรต้องเป็น Productivity-Based มากกว่า”
เพราะยุคนี้ในการแข่งขันในโลกของการทำงาน เรื่องของเวลาไม่ได้แปรผันตรงกับคุณภาพของผลงานเสมอไป คุณภาพของผลงานขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ความใส่ใจกับเวลาที่มีให้เรื่องงานชิ้นนั้นๆ มากกว่า ดังนั้นใครก็ตามที่ใช้ว่าเท่ากันแต่สามารถสร้างคุณค่าผ่านผลงานออกมาได้ดีกว่า หรือ มากกว่า ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
Flexible Work Arrangements (FWA) หรือ รูปแบบการทำงานแบบมีเวลายืดหยุ่น จึงกลายเป็นคอนเซ็ปต์ของการทำงานที่มีการพูดถึงและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รวมไปถึงช่วงที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับโควิด 19 นี้ ซึ่งรูปแบบของการทำงานแบบ FWA ที่ตอนนี้เราเห็นกันได้ชัดเจนในยุคนี้ก็คือ การทำงานแบบ Remote Work หรือ Work From Anywhere คือ ทำงานที่ไหนก็ได้เป็นต้น
“The 4-Day Week: How the flexible work revolution can increase productivity, profitability and well-being, and help create a sustainable future”
หนังสือเล่มนี้ เขียนโดย Andrew Barnes และ Stephanie Jones พวกเขาพูดถึงการทำงานแบบมีเวลายืดหยุ่น หรือ Flexible Work Arrangements (FWA) สำหรับ แนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ที่กำลังเข้ามาปฎิวัติโลกของการทำงานในอนาคตอันใกล้นี้
เมื่อการทำงานทุกวันนี้ กำลังกลายเป็นปัญหาของพนักงานและองค์กร
หากการทำงานยังคงดำเนินไปอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ สิ่งที่เราจะได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ พนักงานมีปัญหาสุขภาพจิตในปริมาณที่สูงขึ้น ทำให้องค์กรต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลจิตใจพนักงานที่เกิดความเครียดและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตที่เกิดจากการทำงานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น พนักงานส่วนใหญ่ที่ทำงานอย่างหนักกลับไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ สำหรับองค์กรเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเสียเงินไปจำนวนมากแต่มันเปล่าประโยชน์ในเมื่อพนักงานไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพในการทำงานได้เนื่องจากเกิดความเครียดและมีปัญหาสุขภาพจิตในการทำงาน นอกจากนี้การศึกษาในปี 2020 ที่ทำการศึกษาพนักงานชาวอเมริกัน จัดทำโดย Healthcareers.co เปิดเผยว่าพนักงานที่มีเงินเดือนสูงจะมีประสบการณ์เคยมีความเครียดสูงเกี่ยวกับการทำงานมาก่อน
“ช่วงเวลาทำงานแทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่ทำให้คนทำงานมีสังคม”
ในปี 2017 มีการสำรวจพนักงานประจำมากกว่า 2,000 คน พบว่า 79% ของพนักงานทั้งหมด ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการทำงานตลอด 37-40 ชั่วโมง ที่พวกเขาทำงานต่อสัปดาห์ โดย 54% ของพนักงานทั้งหมด พวกเขามาทำงานเพราะต้องการตั้งหน้าตั้งตารอที่จะเจอเพื่อนร่วมงาน เพื่อมาพบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หรือ คุยโทรศัพท์ หรือ หาอ่านข่าวเรื่อยเปื่อยระหว่างทำงาน ถึงแม้ว่าการมาทำงานดูจะเป็นเรื่องเหนื่อยหน่ายและสร้างความเครียดสะสมในแต่ละวัน แต่ที่ทำงานกลับเป็นที่เดียว ที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีสังคม เพราะพวกเขาไม่มีเวลาและพลังงานมากพอที่จะหาสังคมจากที่อื่นๆ
“พนักงานออฟฟิศจะมีประสิทธิภาพในการทำงานแค่ 1.5 – 2.5 ชั่วโมง จาก 8 ชั่วโมงของเวลาทำงานทั้งหมด”
Andrew Barnes ได้ไอเดียการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นี้ ในตอนที่เขาอยู่บนเครื่องบิน ระหว่างเดินทาง เขาได้อ่านงานวิจัยของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเกี่ยวกับระยะเวลาที่พนักงานจะมีประสิทธิภาพในการทำงานในแต่ละวัน มันทำให้เขาเริ่มตั้งสมมติฐานในทิศทางเดียวกับงานวิจัยนั้นว่า ถ้าให้พนักงานได้มีวันหยุดทุกสัปดาห์อาจจะทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วมมากขึ้น และอาจจะเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์ในการทำงานได้อีกด้วย แต่มันเป็นเพียงแค่สมมติฐาน เขาจึงต้องการหาทางที่จะทดสอบมันเพื่อยืนยันความคิดนี้
“Perpetual Guardian ได้มีการดำเนินการให้พนักงานทำงานแค่ 4 วันต่อสัปดาห์แล้ว”
Andrew ต้องการทดสอบสมมติฐานของเขาและดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรบ้าง เขาได้รับความยินยอมจากผู้บริหาร Perpetual Guardian องค์กรที่เขาทำงานอยู่ให้สามารถทำการทดลองนี้กับคนในองค์กรได้ พวกเขาทำงานวิจัยกันตลอด 2 เดือน และผลลัพธ์ที่ได้มันวิเศษมาก ถึงขั้นที่ทำให้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ กลายเป็นนโยบายของ Perpetual Guardian ไปเลย
The 4 Day Week ไม่ใช่ Gig Economy
เมื่อนายจ้างเริ่มเข้าถึงรูปแบบทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ พวกเขามักจะพูดว่ารูปแบบนี้มันมีอยู่ตั้งนานแล้ว มันคือ Gig economy หรือ รูปแบบการจ้างงานแบบครั้งคราว รับจ้าง ทำเสร็จ ส่ง แล้วจบไป ตัวอย่างเช่น งานพาร์ทไทม์ หรือ งานฟรีแลนซ์ เป็นต้น
Gig Economy เป็นคำที่ถูกพูดขึ้นโดยอดีตบรรณาธิการชาวนิวยอร์ก Tina Brown โดย Gig economy มาจากสหรัฐอเมริกา ก่อนช่วงปลายปี 2000 ระบบนี้ถูกใช้ในวงดนตรีและนักดนตรีอิสระ ตัวอย่างเช่น พวกวงดนตรีแจ๊สมักใช้คำว่า “gotten a gig” หรือ “ได้กิ๊ก” ในตอนที่พวกเขาถูกจ้างให้ไปร้องเพลงตามสถานบันเทิงต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป Gig ยังหมายถึงการทำงานแบบฟรีแลนซ์หรืองานอิสระได้อีกด้วย อย่างเช่นการ ขับ Uber หรือ การเปิดบ้านให้เป็นโฮสเทล เป็นต้น
เพราะการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ กับ Gig economy ไม่เหมือนกัน จึงจำเป็นที่จะต้องแยกความแตกต่างระหว่าง 2 สิ่งนี้ให้ชัดก่อน สำหรับคนที่ทำงานในรูปแบบของ Gig Economy พวกเขาจะไม่ได้รับสวัสดิการอะไรเลยจากองค์กร แต่สำหรับการทำงานแบบ 4 วันต่อสัปดาห์พวกเขาก็ยังคงได้รับสวัสดิการทุกอย่างเหมือนเดิม
การทำงานทั้งสองแบบเป็นการให้เวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นเหมือนกัน จึงทำให้คนส่วนใหญ่สับสนในความเหมือนและความต่างของทั้ง 2 แบบนี้ สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือพนักงานที่ทำงานรูปแบบ Gig Economy จะสูญเสียสิทธิทุกอย่างที่พวกเขาควรได้รับจากการทำงานเช่น สวัสดิการ ประกันสังคม สิทธิรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่พนักงานที่ทำงานแบบ 4 วันต่อสัปดาห์ พวกเขาจะยังคงได้สิทธิในสวัสดิการพวกนั้นทั้งหมด หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
“Gig Economy คือ รูปแบบการทำงานที่ขึ้นอยู่กับเรา”
พนักงานที่ทำงานรูปแบบ Gig Economy พวกเขาจะได้เงินก็ต่อเมื่อพวกเขาทำงาน จะเลิกทำเมื่อก็ได้ ถือว่าจบงานก็จบกัน นอกจากนี้ตลอดการทำงาน พวกเขายังต้องดูแลรักษาตัวเอง เข้าถึงการรักษาพยาบาลด้วยตัวเอง และจ่ายเองทุกกรณี พวกเขาไม่ค่อยได้รับเงินสนับสนุนการเพิ่มทักษะเท่าไร ยิ่งถ้าเราทำงานฟรีแลนซ์ การเพิ่มทักษะเป็นสิ่งที่เราต้องขวนขวายเอง จ่ายเอง และพยายามเอง การศึกษาทั้งหมดขึ้นอยู่กับเรา ไม่มีใครมานั่งสนใจว่าเราจะเป็นมืออาชีพได้หรือไม่ เพราะคนที่เขาว่าจ้าง เขาดูแต่งานที่เขาจะได้รับเท่านั้น
“การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ คืองานประจำที่ได้ลดชั่วโมงการทำงานให้น้อยลง”
The 4-Day Week หรือ การทำงานแบบ 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นการทำงานประจำแบบปกติเพียงแค่ลดชั่วโมงการทำงานลง หมายความว่า นายจ้างยังคงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องของการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ วันหยุดพักผ่อน เงินบำเหน็จ บำนาญ และ สวัสดิการต่างๆ นายจ้างยังคงต้องจ่ายภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่ง แตกต่างจาก Gig Economy ที่นายจ้างบางราย มักจะคอยหาวิธีในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี
The 4-Day Week Policy – ทำให้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ กลายเป็นนโยบายหลักขององค์กร
ในหนังสือเล่มนี้ ได้นำเสนอวิธีการ ที่จะเปลี่ยนจากองค์กรที่ทำงาน 5 หรือ 6 วันทำงาน ให้กลายเป็น การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ดังต่อไปนี้
1. นำเสนอ The 4-Day Week Policy ให้กับองค์กร : ต้องพยายามชักจูงด้วยความจริงที่หนักแน่น หาข้อมูลเชิงคุณภาพที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นประโยชน์กับองค์กรมาเสนอ เช่น งานวิจัยและการสำรวจที่เชื่อถือได้มาให้นายจ้างดู แสดงให้พวกเขาเห็นว่า “การพัฒนาที่มีคุณภาพ” มีความหมายกับพนักงานและองค์กรมากขนาดไหน?
2. ถึงเวลาที่ต้องปรึกษาทนาย : เพราะในการเปลี่ยนแปลงเรื่องของเวลาการทำงาน หากเราจะทำการทดลอง ก็ต้องแน่ใจว่าการทดลองใช้ หรือ การนำไปใช้อย่างเต็มรูปแบบของ The 4-Day Week Policy อยู่ภายใต้กฎหมายการจ้างงานกำหนด
3. การมีส่วนร่วมของพนักงาน : นโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานจะต้องถูกออกแบบมาโดยต้องให้พนักงานได้มีส่วนร่วมด้วย เพราะนายจ้างชอบคิดเสมอว่าพวกเขาฉลาดในการตัดสินใจในสิ่งต่างๆ แต่หากขาดการมีส่วนร่วมของพนักงานในองค์กร การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ก็จะไม่สามารถเดินหน้าไปต่อได้
“พนักงานต้องการรู้ว่าวันที่พวกได้หยุดเป็นของขวัญ ด้วยความคาดหวังว่าพวกเขาจะสร้างผลลัพธ์ 100% ในเวลาเพียง 80% ได้”
4. สื่อสารและแจ้งการเปลี่ยนแปลงของนโยบายให้ชัดเจน : สิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับพนักงานทุกคน พวกเขาจึงควรได้รับรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของนโยบายนี้อย่างชัดเจน พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องทำงาน 4 วันต่ออาทิตย์ แต่พวกเขาสามารถเลือกทำงาน 5 วันต่ออาทิตย์ก็ได้โดยตัดทอนชั่วโมงการทำงานในแต่ละวันให้สั้นลง
5. รับฟังความเห็นและผลลัพธ์จากพนักงาน : สิ่งที่องค์กรควรทำก็คือ ให้อิสระแก่พนักงานในการชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่อาจขัดขวางประสิทธิภาพในการทำงาน รับฟังผลลัพธ์ในมุมมองของพนักงานเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข
6. ทดลองก่อนนำมาใช้จริง : สิ่งสำคัญสุดท้าย ก็คือ ทำการทดลองใช้รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์และวิเคราะห์ผลลัพธ์ก่อนจะนำมาใช้จริง ควรได้รับความช่วยเหลือจากนักวิจัยภายนอกเพื่อวิเคราะห์ระดับประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเป็นกลาง
การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ให้ผลลัพธ์ดีกว่าที่หลายๆ คนคิด
ลองคิดภาพคู่รักสักคู่ที่อยู่ในองค์กรแล้วพวกเขาได้รับอนุญาตให้มีเวลาการทำงานอย่างยืดหยุ่นดูสิ พวกเขามีเวลาให้กับสิ่งอื่นๆมากมาย พวกเขาสามารถตัดสินใจมีลูกได้โดยที่ไม่ต้องหยุดงานด้วยซ้ำ นี่เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมและภาวะการเจริญพันธุ์ที่ทำให้คนไม่อยากมีลูกได้ แล้วคุณลองคิดดูว่าหากมันแก้ปัญหาข้อนี้ไปได้เลย สิ่งเหล่านี้จะเกิดประโยชน์ต่อขนาดไหนสังคม
“การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมและสังคมได้”
พนักงานไม่ต้องไปทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์อีกต่อไปแล้ว หมายถึงจำนวนรถที่น้อยลงบนท้องถนน การลดมลพิษจากท่อไอเสียรถ หรือการที่ถนนโล่งทั้งๆ ที่ปกติการจราจรติดขัดตลอด นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมให้กับพนักงานอีกด้วย องค์กรสามารถถามและขอความเห็นพนักงานของพวกเขาเกี่ยวกับการใช้วันหยุดไปกับการอุทิศตัวเองเป็นจิตอาสาสมัครในการทำเรื่องดีๆ โดยทางบริษัท Perpetual Guardian ก็ได้ใช้วิธีนี้กับพนักงานของพวกเขาเช่นกัน เช่น การให้พนักงานใช้เวลาว่างที่เพิ่มขึ้นมาในการอุทิศตัวเองให้กับงานอาสาเพื่อช่วยเหลือสังคม เป็นต้น
“การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่งผลทำให้พนักงานรู้สึกอยากตอบแทนองค์กร และสังคมถึงสิ่งที่พวกเขาได้รับโดยไม่ต้องบังคับ”
การมีช่วงเวลาสำหรับการพักผ่อน หรือการได้ทำอะไรสักอย่างที่รักโดยออกให้ห่างจากงาน หมายถึงการลดความเครียดต่อการทำงานเช่นกัน พวกเขารู้สึกว่าควบคุมความเครียดที่มีในการทำงานได้ และสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกด้วย เมื่อพนักงานรู้สึกสบายใจและมีความสุขมากยิ่งขึ้นในการทำงาน พวกเขาจะตอบแทนองค์กรโดยองค์กรไม่ต้องร้องขอให้ตั้งใจทำงาน สร้างผลงานที่ดี หรือผลลัพธ์ที่มีคุณภาพเลย เพราะพวกเขาจะให้มันกับองค์กรด้วยตัวเขาเองเป็นการตอบแทน
“อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของการนำการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มาใช้ ก็คือการต่อต้านอย่างไร้เหตุผลของหัวหน้า หรือ ผู้นำองค์กร”
ในทุกการเปลี่ยนแปลง หลายๆ ครั้ง เรามักจะช้าต่อการปรับตัวเสมอ กลุ่มคนขี้ระแวงจะปฏิเสธมันและเชื่อในสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เดิมๆ จนกระทั่งเริ่มเห็นว่าทุกคนทำกันมากมายแล้ว เขาถึงทำตาม แต่พอถึงตรงจุดนี้มันก็ช้าเกินไปแล้ว
ดังนั้น หากไม่มั่นใจ อย่างน้อยก็ลองใช้รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นี้ ลองกับทีมงานบางกลุ่มในองค์กรก่อนก็ได้ ลองทำในกลุ่มเล็กๆ ก่อน เพื่อดูผลลัพธ์ก่อนที่จะตัดสินว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสมต่อองค์กรของเราหรือไม่ เพราะทุกองค์กรมีความแตกต่างกัน เราอาจจะต้องปรับแต่งรูปแบบของการทำงานตามที่โจทย์ธุรกิจของเราและพนักงานของเรา เพื่อให้มันเหมาะสมที่จะสามารถนำมาเป็นนโยบายในการทำงานขององค์กรของเราได้ เพียงแค่เราลดเวลาทำงานลง แต่ก็ยังคงจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานของเรา 100% เหมือนเดิม เพื่อให้ได้คุณภาพการทำงาน 100% แบบนี้ ไม่ดีกว่าเหรอ?
บทสรุป
“ประสิทธิภาพของพนักงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพขององค์กร เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร”
เรื่องของการทำงานแค่ 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นการขับเคลื่อนอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในโลกของการทำงาน หลักๆ เลย ก็คือเราต้องเข้าให้ถึงสมการ 100-80-100 ซึ่งก็คือ องค์กรจ่ายเงิน 100% ทำงานใช้เวลาเพียงแค่ 80% แต่ประสิทธิภาพในการทำงานได้ 100% องค์กรต้องให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน โดยพนักงานสามารถเลือกได้ว่าพวกเขาจะหยุด 1 วันเพื่อทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ หรือทำงาน 5 วัน เช่นเดิมแต่ชั่วโมงในการทำงานน้อยลงก็ได้ โดยตัวเลือกนี้จะเป็นของพนักงานทุกคน ดังนั้น อย่าปล่อยให้รูปแบบการทำงานเดิมๆ ทำลายประสิทธิภาพของพนักงานในองค์กร ทั้งๆ ที่ เราเองก็รู้วิธีแก้ไขอยู่แล้ว