Therapy Dog Thailand – สุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย เพราะสุนัขเป็นสัตว์ที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข มีงานวิจัยมากมายนำสุนัขฝึกเพื่อนำมาช่วยรักษาและเยียวยาผู้ป่วย กลุ่มเด็กพิเศษ หรือนำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาและทางการได้ยินได้อีกด้วย
เมื่อพูดถึงการทำธุรกิจ โดยทั่วๆ ไป เป้าหมายหลักก็อาจจะมองในเรื่องของการแสวงหารายได้และกำไร แต่ก็มีธุรกิจอีกแบบนึงที่เรียกตัวเองว่า Social Enterprise หรือ วิสาหกิจเพื่อสังคม ที่เขามีเป้าหมายในการทำธุรกิจที่ไม่ใช่แค่แสวงหารายได้และกำไร แต่ยังรวมไปถึงการแก้ปัญหาสังคมอีกด้วย
วิสาหกิจเพื่อสังคม ก็คือ บริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือ นิติบุคคลอื่น ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายสินค้า หรือการบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ และ วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับวิสาหกิจเพื่อสังคมบริษัทแรกของเราอย่าง บริษัท ออลไฟน์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และเรื่องราวของสุนัขนักบำบัด ผ่านบทสัมภาษณ์ของ คุณโอ ศิริวรรณ โอสถารยกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ
บริษัท ออลไฟน์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด
เป็นบริษัทผู้ริเริ่มหลักสูตร “สุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย” หรือ “Therapy Dog Thailand” เพื่อฝึกฝนเจ้าของสุนัขและสุนัขที่มีศักยภาพ ให้กลายเป็น “สุนัขนักบำบัด” ที่ได้มาตรฐานระดับโลกเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Therapy Dog Association Switzerland VTHS ให้นำหลักสูตรมาเป็นแนวทางในการสร้างหลักสูตรให้เหมาะสมและตรงตามความต้องการในปัจจุบันของสังคมไทย
“จัดการกับความคาดหวังก่อนเข้ามาเรียน”
คุณโอ เล่าให้ฟังว่า ออลไฟน์ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 63 ในจังหวะที่โควิด-19 กำลังเข้ามาพอดี แต่โชคดีที่นักเรียนที่เป็นเจ้าของสุนัขไม่ได้มีความหวาดหวั่นในเรื่องของการแพร่ระบาด ทุกคนจึงพร้อมใจในการให้ความร่วมมือ ซึ่งการให้บริการของเราจะแบ่งออกเป็นการอบรมและการบำบัด ซึ่งก่อนเริ่มต้นอบรมจะมีการโทรศัพท์เพื่อพูดคุยเบื้องต้นกับผู้สมัครเข้ามาฝึกก่อนเพื่อให้ความเข้าใจตรงกัน เพราะแต่ละคนที่สมัครเข้ามาเรียนพวกเขาจะมาด้วยความคาดหวัง บางคนก็สมัครเข้ามาเพื่อเอาสุนัขของตัวเองมาทิ้งไว้เลย ซึ่งความคิดแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง
“ประสบการณ์ที่ทำให้เกิดการตระหนักนำไปสู่การริเริ่ม”
คุณโอ เล่าว่าเหตุผลที่เริ่มต้นในเรื่องสุนัขนักบำบัดขึ้นมาเพราะเกิดจากประสบการณ์ตรงของคุณโอโดยตรงเลย เริ่มต้นจากคุณย่าของคุณโอป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งตอนเริ่มป่วยต้องได้รับการบำบัดแต่คุณย่าไม่ยอมให้ความร่วมมือเพราะว่าการบำบัดต้องมีการนำอุปกรณ์เสริมพัฒนาการเด็กมาช่วยในการกระตุ้นสมอง แต่คุณย่าจะรู้สึกว่าเขาโตแล้วทำไมยังต้องเล่นเป็นเด็กๆ อยู่อีก จึงไม่ยอมให้ความร่วมมือในการบำบัดใดๆ เลย
“คนไข้ทุกคนเปราะบางและมีกำแพงในใจ”
โรคสมองเสื่อมจะส่งผลให้อารมณ์ไม่คงที่และแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา จึงต้องได้รับการการดูแลอย่างใกล้ชิดและการบำบัดอย่างเร็วที่สุด เพราะโรคสมองเสื่อมหากไม่ได้รับการบำบัดอย่างทันท่วงทีจะไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาปกติได้อีกต่อไป ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นผู้สูงวัย วัยกลางคน หรือเด็กล้วนมีความอ่อนไหว ความเปราะบางในอารมณ์ และกำแพงในจิตใจกันทั้งนั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้การบำบัดจากคุณหมอ ไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงในใจของคนไข้บางคนไปได้
“หันกลับมามองคนไข้ ว่าทำไมคนไข้ถึงไม่มีความสุข?”
คุณโอที่อยู่ดูแลใกล้ชิดคุณย่าตลอด เริ่มสังเกตเห็นว่าคุณย่าไม่มีความสุข มีอารมณ์อ่อนไหว และต่อต้านการรักษาจากคุณหมอ ทำให้ยาใช้แล้วไม่ได้ผล กายภาพบำบัดก็ช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณโอตระหนักได้ว่าคนไข้สมองเสื่อม ไม่ใช่สมองเขาเท่านั้นที่ต้องการการดูแล แต่หัวใจของพวกเขาก็ต้องการการเอาใจใส่และการดูแลเช่นกัน
ทำไมต้องเป็นสุนัขบำบัด?
คุณโอ เล่าว่าจุดเริ่มต้นมาจากความบังเอิญ ช่วงที่คุณย่ากลับมาบ้าน สมองคุณย่าเสื่อมไปแล้ว บังเอิญว่าสุนัขของคุณโอเข้าไปเล่นกับคุณย่า แล้วได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองจากคุณย่า คือคุณย่ามีการมองไปยังสุนัขตัวนั้น ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาไม่ว่าใครจะทำอะไรพูดอะไร คุณย่าก็ไม่เคยสนใจเลยก็ตาม
“สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เขาไม่เคยตัดสินมนุษย์”
คนเลี้ยงสุนัขทุกคนจะรู้ดีว่าเวลาที่เราเริ่มต้นเลี้ยงสุนัข เราอยู่กับมัน ดูแลมัน ให้ความรักมันเหมือนมันเป็นคนในครอบครัว ถึงขั้นที่บางครั้งเราก็นั่งปรึกษาปัญหาชีวิตกับมันด้วยซ้ำ ความรักตรงนี้ทำให้สุนัขเป็นสิ่งที่เข้ามาเยียวยา คุณโอจึงเริ่มศึกษาลงไปลึกๆ จึงพบว่าการบำบัดโรคสมองเสื่อมสุนัขสามารถช่วยได้ เพราะสุนัขไม่เคยตัดสินว่าใครเป็นใคร ทำให้มนุษย์เวลาที่อยู่กับสุนัขจะรู้สึกมีความสุข อบอุ่น สบายใจในการเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่
หลักสูตรแบบไหนที่นำพัฒนาสุนัขให้กลายเป็นนักบำบัดได้?
หลักสูตรที่ Therapy Dog Thailand ใช้มาจากองค์กรที่มีชื่อเสียงและก่อตั้งมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปีอย่าง Therapy dog association Switzerland ที่มีส่วนเข้ามาสนับสนุนธุรกิจของคุณโอ ในเรื่องการจัดทำหลักสูตรและก่อตั้งธุรกิจนี้ขึ้นมา เพราะ Switzerland เป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เขาจะกังวลทั้งในเรื่องสุนัข เจ้าของสุนัข และคนไข้ เขามีมาตรฐานในการอบรมและมีหลักสูตรชัดเจนในการอบรม มีวิธีคัดกรอง ขั้นตอน และการทดสอบว่าสุนัขที่ได้รับการรับรองควรเป็นคุณลักษณะแบบไหน
“Therapy Dog ไม่ได้ช่วยได้แค่คนสมองเสื่อม”
จากงานวิจัยพบว่า Therapy Dog สามารถช่วยคนได้หลายกลุ่ม เช่นในกลุ่มผู้ป่วยสมองเสื่อม สุนัขสามารถช่วยทำให้ผู้ป่วยทานอาหารได้มากขึ้นส่งผลให้น้ำหนักตัวมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยพูดคุยได้มากขึ้น หรือ ผู้ป่วยความดันที่เมื่ออยู่กับสุนัขนักบำบัดแล้วก็จะมีอัตราการเต้นของหัวใจดีขึ้น มีระดับความดันดีขึ้น ในกลุ่มผู้สูงวัยก็มีการออกกำลังกายได้มากขึ้น มีความสุขมากขึ้นในการใช้ชีวิต
การปรับปรุงหลักสูตรให้เข้ากับคนไทย
เราไม่สามารถใช้หลักสูตรจาก Switzerland ทั้งหมดได้เลย เพราะยังมีในเรื่องของบริบทในการปฏิบัติซึ่งในบ้านเราต่างกับเขาซึ่งมีการปฏิบัติที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น วิธีการกินข้าว การใช้ชีวิต การเลี้ยงสุนัข การยอมรับสุนัขในสังคม เป็นต้น เมื่อนำมาใช้ในไทยจึงต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรเพื่อให้เข้ากับบริบทของคนไทย โดยการเข้าไปคุยกับหน่วยงาน องค์กรหรือมูลนิธิต่างๆ เพื่อเข้าใจบริบทที่สุนัขสามารถเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือได้ เช่น มูลนิธิคนตาบอด คนหูหนวก สภากาชาดไทยที่ดูแลผู้สูงวัย ดูแลเด็ก และกลุ่มดูแลผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า เป็นต้น
“เมื่อส่งสุนัขมาเรียนจนจบแล้ว จะหารายได้อย่างไร”
เมื่อเริ่มต้นดำเนินการสอนสุนัขให้เป็นนักบำบัด แน่นอนว่าต้องมีคนเข้าใจผิดไปว่ามันคือการเทรนสุนัขมาเพื่อใช้สุนัขในการหารายได้จากการบำบัดคนไข้ แต่เปล่าเลย คุณโอเผยว่าทางองค์กรเองก็ไม่เคยสนับสนุนการหารายได้จากสุนัขนักบำบัด องค์กรรูปแบบนี้ในเมืองนอกส่วนใหญ่จะเป็นสมาคมหรือมูลนิธิด้วยซ้ำ จึงไม่ใช่ที่จะส่งสุนัขมาเรียนเพื่อหารายได้
คุณสมบัติของเจ้าของสุนัข
เจ้าของสุนัข รุ่นเยาวชนจะต้องมีอายุ 14-18 ปี และรุ่นผู้ใหญ่คือ 18-65 ปี เจ้าของจะต้องอยู่อาศัยร่วมกันกับสุนัขตัวที่จะนำมาฝึกไม่น้อยกว่า 1 ปี มีเวลาที่จะเข้ามาเรียนให้ครบตามเวลาที่กำหนด 30 ชั่วโมง โดยจะมีการเรียนทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ขาดได้ไม่เกิน 2 ครั้งหรือ 4 ชั่วโมง จะต้องมีร่างกายและสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคติดต่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับสุนัขเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการฝึกสุนัขบำบัดให้เกิดผลลัพธ์
คุณสมบัติของสุนัข
ในส่วนของตัวสุนัขไม่ได้มีการกำหนดสายพันธุ์ จะเป็นสุนัขจรจัด สุนัขไทย หรือสุนัขพันธุ์ดุ ก็สามารถนำเข้ามาฝึกได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าจะสมารถผ่านในตอนที่ทดสอบภาคปฏิบัติได้หรือเปล่า เพราะสุนัขต้องฟังคำสั่งเบื้องต้นได้ ไม่จำเป็นต้องแม่นยำขนาดต้องได้ทุกคำสั่ง แต่ต้องให้มีรู้เรื่องบ้าง และไม่กลัวการใช้ชีวิตนอกสถานที่ โดยต้องได้รับวัคซีนครบถ้วน และมีสุขภาพแข็งแรง
“ภาคทฤษฎี ถือเป็นกุญแจสำคัญ”
ในช่วงที่อบรมภาคทฤษฎี จะเป็นช่วงการทำความเข้าใจในตัวสุนัขของเจ้าของสุนัข ซึ่งความเข้าใจถือเป็นกุญแจสำคัญในการฝึกสุนัขเลย เจ้าของจะต้องสามารถให้คำสั่งกับสุนัขตัวเองได้ และพาสุนัขไปฝึกในสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยพบมาก่อนให้ได้ ดังนั้นเจ้าของจึงจำเป็นต้องเข้าใจ ปรับตัว และคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เพื่อจะคอยดูแลสุนัขที่ไม่คุ้นเคยกับสุนัขได้
คนส่วนมากเข้ามาเรียนเพราะอะไร?
คุณโอเล่าว่าคนที่เข้ามารับบริการจะแบ่งออกได้ 3 ประเภทหลักๆ คือ
- ชอบทำกิจกรรมร่วมกับสุนัข เจ้าของสุนัขเองมีความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกับสุนัข เหมือนเป็นการหากิจกรรมทำร่วมกัน และเขารู้สึกว่ากิจกรรมนี้สนุก ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของประเภทนี้จะพาสุนัขไปเที่ยว ไปว่ายน้ำ ไปวิ่งตามสถานที่ต่างๆอยู่แล้ว
- มีคนไข้ในบ้าน ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล
- มีอาการเองแล้วอยากใช้สุนัขเป็นตัวช่วย อย่างกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้า ซึ่งทางออลไฟน์เองมีการให้ทุนในการอบรมฟรีสำหรับคนในกลุ่มนี้ด้วย
การคิดค่าใช้จ่ายและรายได้
สำหรับเรื่องค่าใช้จ่าย ราคารุ่นผู้ใหญ่ อยู่ที่ 70,000-80,000 บาท ระยะเวลาเรียนอยู่ที่ 5 เดือน ทุกอย่างในหลักสูตรเป็นการสอนในทุกมิติ การฝึกสุนัขจะดูเหมือนราคาสูงมาก แต่จริงๆ แล้วการเข้ามาเรียนเราไม่ได้เรียนการฝึกสุนัขอย่างเดียวแต่ยังเรียนเรื่องการฝึกใช้ชีวิตด้วย มันเป็นเหมือนการเรียนที่จะใช้ชีวิตกับคนในครอบครัว จะมีความเข้าใจเด็กที่อยู่ในบ้าน คนสูงวัยในบ้าน จะได้เรียนรู้ว่าจะพูดคุยกับใครอย่างไร? วิธีการเลือกการเข้าหาที่ถูกต้อง เราจะอยู่กับคนอย่างไร? ฝึกสุนัขของเราอย่างไรให้อยู่กับคน และช่วยบำบัดคนอย่างไร?
“มันไม่ใช่แค่การฝึกสุนัข มันคือการฝึกคน”
รายได้หลักของออลไฟน์มาจากการอบรม ทางบริษัทไม่มีนโยบายในการหารายได้จากการใช้สุนัขนักบำบัดอยู่แล้ว และงานในประเภทการฝึกสุนัขนักบำบัดเป็นงานประเภทที่ต้องมีตัวอย่างผลลัพธ์ก่อนถึงจะมีคนสนใจเข้าอบรม เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าการใช้สุนัขนักบำบัดเป็นอย่างไร ทางบริษัทจึงมีร่วมมือกับมูลนิธิต่างๆ เพื่อช่วยพวกเขาด้วยการใช้สุนัขนักบำบัด เพื่อใช้สุนัขเป็นองค์ประกอบในการช่วยแก้ปัญหาสังคมในอีกทางนึง
เป้าหมายของออลไฟน์
คุณโอ ได้เล่าว่าในตอนนี้ถ้าพูดถึงเป้าหมายของออลไฟน์จะเป็นเรื่องใหญ่มาก จึงอยากให้มองที่เป้าหมายของ Therapy dog Thailand แทน ซึ่งก็คือการผลักดันให้การใช้สุนัขนักบำบัดเป็นเครื่องมือทางเลือกสำหรับแพทย์ในการบำบัด ดูแลผู้ป่วยหรือคนที่ต้องการ
บทสรุป
การทำงานเพื่อสังคมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะโจทย์ปัญหาของสังคมมีมากมาย การจะเริ่มต้นทำธุรกิจเพื่อสังคมจึงต้องอาศัยความชัดเจนมาก จะทำธุรกิจแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้ เพราะทุกกระบวนการในการทำธุรกิจเพื่อสังคมนั้น ต้องวัดผลได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มีส่วนในการแก้ปัญหาสังคมได้จริง
“เราต้องใช้ใจ ใช้ความคิดบวก ใช้ความสุขในการทำวิสาหกิจชุมชน”
คุณโอ ศิริวรรณ โอสถารยกุล ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท ออลไฟน์ จำกัด
ช่วยแก้ปัญหาสังคม ควบคู่ไปกับการหารายได้ กำไรที่ได้มาส่วนนึงก็นำไปหมุนเวียนในกิจการ อีกส่วนก็ส่งต่อในรูปแบบของการช่วยเหลือและแก้ปัญหาสังคมต่อไป นี่คือสิ่งที่ทำให้ Social Enterprise หรือ วิสาหกิจเพื่อสังคม อยู่รอดต่อได้ และยั่งยืน
สุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย | The Practical Sustainability วิสาหกิจ “เพื่อน” สังคม
หรือ จะเลือกรับฟังรายการ ในรูปแบบของ Podcast ได้ที่:
ช่องทางการติดต่อ
Tel: +66 627 077 999
Email: contact@therapydogthailand.org
LINE: @tdogt
Website: https://www.therapydogthailand.org/donation
Facebook: Therapy Dog Thailand สุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย
สนับสนุนโดย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.)