Tim Cook ผู้นำอัจฉริยะ CEO คนปัจจุบันของ Apple บุคคลที่ในอดีตหลายคนมองว่าเขาไม่สามารถนำพา Apple ไปในจุดที่ดีเหมือนดังที่ Steve Jobs เคยทำได้ แต่ในวันนี้เขาได้พิสูจน์แล้วว่า เขาทำได้ดีกว่า และ สามารถทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้
“เป็นแชมป์ว่ายากแล้ว การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า“
ในโลกของฟุตบอล คำพูดนี้ ถือว่าเป็นเรื่องจริง ยกตัวอย่าง เรื่องราวของทีมลิเวอร์พูล ทีมเก่าแก่ของอังกฤษที่มีอายุกว่า 125 ปี และเป็นทีมที่มีแฟนบอลชาวไทยติดตามเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา (2019-2020) เพิ่งได้แชมป์สูงสุดของประเทศอังกฤษ หรือ แชมป์พรีเมียร์ลีกไป แต่กว่าจะได้แชมป์สูงสุดของประเทศครั้งนี้ ลิเวอร์พูล ต้องรอมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี เพราะครั้งสุดท้าย ที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์สูงสุดของประเทศ คือ ในฤดูกาล 1989-1999 โน่น
ยุคที่เฟื่องฟู ของทีมลิเวอร์พูล คือ ช่วงปี 1970-1980
เป็นช่วงที่มีผู้จัดการทีมที่ชื่อ บิลล์ แชงคลี และ บอบ เพลสลีย์ โดยทั้งสองคนเป็นผู้ที่ทำให้ทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 11 ครั้ง และยังสร้างความสำเร็จให้กับทีมในยุคนั้นด้วยการกวาดถ้วยรางวัลรายการยูโรเปียน (การแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่สุดของยุโรป) มากถึง 7 ใบ
แต่หลังจากนั้น ผลงานของลิเวอร์พูล ก็ลุ่ม ดอนๆ โดยเฉพาะการแข่งขันในประเทศ ไม่สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างเดิมเหมือนในอดีต จนกระทั่งถึงฤดูกาลที่แล้ว กับการนำทีมโดยผู้จัดการทีมเยอรมัน ที่ชื่อ เจอร์เกน คล็อปป์
“การทำทีมฟุตบอล ก็คล้ายๆ กับการทำธุรกิจ“
เพราะต่างก็มีเป้าหมาย มีความคาดหวัง มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน หากธุรกิจประสบความสำเร็จในระดับที่ต้องการแล้ว ก็ยิ่งอยากประสบความสำเร็จสูงขึ้นไปอีก ความคาดหวังที่สูงมาก ก็จะกลายเป็นความกดดันอย่างมหาศาลให้กับผู้นำและทีมบริหารของบริษัทหรือองค์กร
แต่ความกดดันที่กล่าวมานั้น จะหนักขนาดไหน หรือหนักแค่ไหน?
เราจินตนาการดูว่า ถ้าเราต้องมารับช่วงต่อ มาเป็นผู้จัดการทีมต่อจาก เจอร์เกน คล็อปป์ เราจะรู้สึกอย่างไร? หรือ หากต้องมารับไม้ต่อจากองค์กรยักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เราจะมีความกังวล และ เครียดมากแค่ไหน?
“และ ถ้าองค์กรที่ว่านี่คือ บริษัท Apple บริษัทฯ ที่อดีตมีผู้นำ ที่ยิ่งใหญ่อย่าง Steve Jobs เราจะรับมือ รับไม้ต่อสร้างความสำเร็จให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้อย่างไร?”
เมื่อบริษัทประสบความสำเร็จสูงมากๆ ภายใต้ผู้นำที่เก่ง ฉลาด และมีความสามารถสูงมาก แล้วความสำเร็จของบริษัทฯ จะยั่งยืนต่อไปได้อย่างไร?
บริษัทฯ จะหาใคร หรือจะเลือกใครดี ที่จะมาทดแทนคนที่จากไป? ผู้นำคนใหม่ ควรต้องทำอย่างไร หากจะต้องมารับตำแหน่งที่ท้าทายแบบนี้?
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นต่อจากนั้นคือ หลังจากผู้นำเก่งๆ ต้องจบวาระไป ผู้นำคนถัดไป หรือ หลายคนถัดจากนั้นที่ได้รับเลือกเข้ามา ทำไมถึงไม่สามารถทำความสำเร็จได้มากกว่าเก่า หรือ ได้เท่าเก่า?
คำถามเหล่านี้ คือ ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในเรื่องของ Succession Planning เป็นสิ่งที่หลายองค์กร ต้องเจอ และ เป็นความท้าทายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะในยุคที่การ disruption เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
“คำตอบ หรือ ทางออก อาจจะไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว“
แต่เราสามารถเรียนรู้หลักคิด วิธีการคิด และ ตัวอย่างของการลงมือทำจริงได้จาก คนที่ประสบความสำเร็จ และ ทำได้จริงมาแล้ว จากตัวอย่างเรื่องราวของ Tim Cook ผู้นำอัจฉริยะ CEO คนปัจจุบันของ Apple บุคคลที่ Steve Jobs เป็นคนเลือก และ เป็นคนที่สามารถทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จสูงกว่าเดิมหลายเท่ามากกว่าในยุคของ Steve Jobs เสียอีก
หนังสือ Tim Cook – The Genius Who Took Apple to the next level เขียนโดย Leander Kahney หรือ ฉบับแปล ภาษาไทย คือ Tim Cook – อัจฉริยะผู้พาแอปเปิลสู่อนาคตใหม่ ผู้เรียบเรียงคือ คุณ ชัชวนันท์ สันธิเดช ได้ทำการแปลและเรียบเรียงเนื้อหาเรื่องราวของ Tim Cook ออกมาให้อ่านง่ายและสนุกไปกับความเป็นมาไปไปของ Apple ตั้งแต่ หลังจากที่หมดยุคของ Steve Jobs และ ภายใต้การนำของ Tim Cook
“อย่ายอมอยู่ใต้เงาของใคร จงปลดปล่อยศักภาพของตัวเองออกมาให้โลกนี้ได้ประจักษ์”
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ คุณชัชวนันท์ ได้กล่าวเอาไว้จากหนังสือเล่มนี้
แอดมิน ได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว มีหลายเรื่องที่ไม่เคยทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ Apple หรือ Steve Jobs และยังได้บทเรียน ที่เป็นประโยชน์มากมายหลายเรื่องเลย อาทิเช่น
“Be true to who you are”
Tim Cook กล้าเปิดเผยตัวตนของตัวเองว่าเขาเป็นเกย์ เชื่อว่าหากเป็น CEO บริษัทอื่นๆ อาจจะ คงไม่กล้าทำแบบนี้แน่นอน แต่การที่ Tim Cook CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple กล้าเปิดเผยตัวตนของตนเองในด้านนี้ กลับได้รับความชื่นชมจากผู้คนมากมายในสังคม
ทำให้สังคมเปิดกว้างยอมรับเพศที่แตกต่างได้มากยิ่งขึ้น และ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนที่กำลังต่อสู้เพื่อสิทธิความเท่าเทียมในสังคม นี่คือ สิ่งที่ Tim Cook มองแล้วว่าคุ้มค่ามาก ที่จะเป็นตัวของตัวเอง
“Diversity is important”
Tim Cook เชื่อว่า ความหลากหลายและความเท่าเทียม ส่งผลดีต่อธุรกิจ เขาสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการจ้างงานโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ สัญชาติ เพศสภาพ หรือ รสนิยมทางเพศแบบใด มีการปรับตำแหน่งให้ผู้หญิง และคนผิวสี ขึ้นมามีบทบาทในตำแหน่งที่สำคัญในองค์กรมากขึ้น หรือ การสนับสนุนในเรื่องการศึกษา
นอกจากนี้ยังอีกเรื่องนึงที่ Tim Cook ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้พิการ ผ่านสินค้าทุกตัวของ Apple ซึ่งสินค้าทุกตัว เช่น iPhone iMac iPad หรือ Apple Watch ที่ผลิตออกมา ต้องผ่านการออกแบบมาให้คนที่มีความบกพร่องทางร่างกายสามารถ รวมไปถึงคนตาบอด หรือ หูหนวก ต้องสามารถใช้งานได้ด้วย
“Learn to take risks”
Tim Cook กับการเลือกทำงานกับบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย ในตอนที่ Tim Cook ตัดสินใจร่วมงานกับ Apple ในตอนนั้นบริษัทฯ กำลังอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ ใกล้ล้มละลาย Tim Cook ในปี 1998 ตอนนั้นเขาถูกจ้างเข้ามาเป็นรองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการนานาชาติ เขาเข้ามายกเครื่องระบบการผลิตและะจัดจำหน่ายของบริษัทฯ ใหม่ทั้งหมด เพียงระยะเวลาแค่ 7 เดือน เขาสามารถทำให้อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือจาก 30 วัน เหลือเพียง 6 วันได้
และ นอกจากนี้ได้ช่วยชีวิตบริษัทฯ ด้วยการว่าจ้างบริษัทภายนอกมาช่วยผลิตมากขึ้นเรื่อย เพื่อต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของ Apple ผลที่ตามมาทำให้ บริษัทฯ ซึ่งขาดทุนมโหฬารกว่าพันล้านเหรียญในปี 1997 สามารถพลิกมาเป็นกำไรได้อีกครั้งในสิ้นปี 1998 เรื่องนี้ ถือเป็นอีกตัวอย่างให้เห็นว่า วิกฤติก็สามารถพลิกเป็นโอกาสได้เสมอ อยู่ที่เรามองว่ามันคืออะไร?
“Admit when your are wrong”
Tim Cook เองก็ทำผิดพลาดในหลายๆ เรื่อง ซึ่งเขาก็ยอมรับ และ หลายเรื่องก็ได้มีกล่าวเอาไว้ในหลายช่วง หลายตอนในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งแรกหลังการตายของ Steve Jobs เรื่องการจ้างคน เช่น เขาว่าจ้างคนที่คิดว่ามีคุณสมบัติดีและเหมาะสมเข้ามาทำงาน แต่ปรากฏว่าทำงานกับบริษัทฯ ไม่ได้ หรือ การไล่คนที่เคยสำคัญต่อองค์กรออก
หรือในเรื่องของความผิดพลาดในการเปิดตัวครั้งแรกของ Apple Maps ซึ่ง New York Times ได้กล่าวเอาไว้ว่า เป็นความน่าอับอายที่สุด เป็น software ที่ใช้ประโยชน์ได้น้อยที่สุด นับตั้งแต่ Apple เคยผลิตออกมา เรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า ผู้นำก็มีสิทธิที่จะตัดสินใจผิด หรือ ทำผิดได้เสมอ แต่หากจะเป็นผู้นำที่ดี เมื่อรู้ว่าผิดแล้ว ก็ต้องแก้ไข และกล้าที่จะรับผิดชอบกับผลที่ตามมาด้วย
“Create your new way of innovation”
มีหลายคนในอดีตบอกว่าเมื่อหมดยุคของ Steve Jobs คงเป็นเรื่องยากที่ Tim Cook หรือ ไม่ว่าใครก็ตามจะสามารถสร้างความสำเร็จในแบบของ Steve Jobs ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างนวัตกรรม ในยุคของ Tim Cook เขาเปิดตัว Apple Watch ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ตัวแรกๆ ในยุคของเขา กลายเป็นสินค้าที่มีผู้สวมใส่มากกว่า 40 ล้านคน สร้างรายได้มากมายให้กับ Apple
ว่ากันว่า แค่ธุรกิจของ Apple Watch อย่างเดียวก็มีมูลค่าใหญ่กว่าธุรกิจนาฬิกาอย่าง Rolex แล้ว นอกจากนี้ยังมี AirPods และเร็วๆ นี้ จะออก HomePods ตามมาอีก เอาเป็นว่า ถึงแม้ว่านวัฒกรรมในยุคของ Tim Cook อาจจะไม่สามารถเทียบกับความล้ำในยุคของ Steve Jobs ได้ แต่ในเรื่องยอดขายและกำไร สามารถทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทฯ ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้
ในหนังสือเล่มนี้ ยังนำเสนอในอีกหลากหลายแง่มุมของ Apple ภายใต้การบริหารของ Tim Cook ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนขององค์กร ผ่านค่านิยม 6 ประการของบริษัท
- การเข้าถึงได้ เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
- เรื่องการศึกษา เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศใด เพศสภาพใด อายุ เชื้อชาติ สัญชาติใดก็ตามควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกัน
- เรื่องสิ่งแวดล้อม โดย Apple ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ผ่านการออกแบบและการผลิตสินค้า
- เรื่องความเป็นหนึ่งเดียวและความหลากหลาย โดย Apple มีความเชื่อว่า ความหลากหลาย จะเป็นการสร้างนวัตกรรม
- เรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดย Apple ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นโดยให้ปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของลูกค้าทุกคน
- เรื่องความรับผิดชอบต่อคู่ค้า โดย Apple ให้ความสำคัญในเรื่องการให้ความรู้ สนับสนุนความเท่าเทียมในการจ้างงาน และ ให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ใครควรอ่านหนังสือเล่มนี้?
สำหรับหนังสือเล่มนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำหรับผู้บริหาร หรือ เจ้าของกิจการ หรือ แม้กระทั่งคนทำงาน ได้เห็นถึงกระบวนการคิด วิธีการคิด รวมไปถึงวิธีการปฏิบัติของบุคคลสำคัญระดับโลก ที่เราทุกคนสามารถนำแบบอย่างมาประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับบริบท หรือ งาน หรือ ธุรกิจที่เราทำได้
ราคา และ หาซื้อได้ที่ไหนบ้าง?
หนังสือเล่มนี้ ราคาปรกติ 350 บาท กับ 340 หน้า เนื้อหาอ่านง่าย อ่านสนุก แบบวางไม่ลง นอกจากนี้จะทำให้เราเข้าใจ Apple ในยุคนี้ และ เข้าใจมุมมองของผู้บริหารระดับโลกแบบ Tim Cook ว่าเขารับมือกับความคาดหวัง และ ความกดดันได้อย่างไร และ เขาทำอย่างไรให้บริษัทฯ สามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าตำนานอย่าง Steve Jobs
และนี่ก็คือ เรื่องราวแบบฉบับย่อ ของ Tim Cook ผู้นำอัจฉริยะ ผู้พาแอปเปิลสู่อนาคตใหม่
หนังสือเล่มนี้ สามารถหาซื้อได้จากร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปได้ หรือ สามารถสั่งซื้อผ่านทาง SE-ED Online Shopping (มีส่วนลด 10% ให้อีกด้วย) ได้ที่นี่ : https://m.se-ed.com/Detail/Tim-Cook/9786160838882