ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ ทำไมหลายคนถึงมีอาการแบบนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าเขากลัวในเรื่องความผิดหวัง หรือ ความผิดพลาด ที่อาจจะเกิดขึ้น หากเขาตัดสินใจผิด
แน่นอนว่าคงไม่มีใครชอบ และก็คงไม่มีใครอยากจะเจอกับเรื่องของความผิดพลาด หรือ ความผิดหวังอย่างนี้แน่นอน
แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะชีวิตต้องตัดสินใจ ทำให้ทุกคนย่อมต้องเคยผ่านความผิดหวัง และ ความผิดพลาด กันมาแล้วทั้งนั้น
แต่ก็มีบางคน (หรือหลายคน) ที่รับมือไม่ได้ กับความผิดหวังและความผิดพลาด ที่เกิดขึ้น
พอเรื่องความผิดหวังหรือผิดพลาดเกิดขึ้นซ้ำๆ ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้เขาเหล่านั้น หวาดกลัว และ มักเกิดอาการวิตกกังวลทุกครั้งในการเริ่มต้นใหม่หรือเริ่มลงมือทำในส่ิงใหม่ๆ ผลที่ตามมาก็คือทำให้เขากลายเป็นคนที่ขาดความมั่นใจไปเลย
ดังเช่นตัวอย่างของน้องคนนึง โอม โอมเป็นนักบัญชี ทำงานมาเกือบๆ 10 ปี ที่มีอาการกลัวและ ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่
โอมมาปรึกษาผมว่า มีงานใหม่จากบริษัทข้ามชาติชื่อดังมานำเสนอ มาพร้อมกับตำแหน่งที่สูงขึ้นเป็นถึงระดับหัวหน้า ซึ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้น และแน่นอนเงินเดือนก็สูงกว่าเดิมราวๆ 30%
“ข้อเสนอจากที่ใหม่น่าสนใจมากเลยครับ”
“ใช่เลยครับ ข้อเสนอแบบนี้ดีมาก น้องน่าจะตัดสินใจได้ไม่ยากนะครับ”
“ปล่าวเลยครับพี่ ผมตัดสินใจไม่ได้เลยครับ ตอนนี้ผมกำลังสับสนมาก ใจนึงก็อยากจะไป แต่อีกใจก็มีแต่ความกังวลครับ”
“อ้าว ทำไมถึงรู้สึกสับสน หรือ กังวลล่ะครับ?”
“ผมคิดว่า ผมยังไม่มีความสามารถพอครับ ที่จะไปทำตำแหน่งนั้น”
“ผมไม่เคยไปทำงานที่อื่นเลย เคยทำแต่ที่นี่ที่เดียว ผมกลัวว่า ถ้าไปทำที่โน่นแล้วจะไม่ได้รับการยอมรับจากลูกทีมครับ”
“ความรับผิดชอบก็สูงมาก ทางโน้นเขาคาดหวังกับผลงานเอาไว้สูงมาก ผมกลัวว่าจะทำไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ”
“อีกอย่างตำแหน่งนี้ มีเจ้านายเป็นฝรั่ง ผมเองก็ภาษาแค่พื้นๆ กลัวว่าจะสื่อสารกับเขาไม่รู้เรื่องครับ”
“ผมกลัวครับ และผมก็ไม่อยากเสี่ยงอีกแล้ว เพราะเคยทำงานพลาดมาก่อน และก็เคยผิดหวังมาก่อนกับที่นี่ ในอดีตเจ้านายใหญ่ เคยให้โอกาสผมไปทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการมาก่อน แต่ผมทำได้ไม่ดี ทำได้แย่มาก จนทำให้ทุกคนในทีมต้องเดือดร้อน และ พาลไม่ชอบผมไปพักใหญ่”
“แล้วน้องคิดว่า จะตัดสินใจอย่างไร”
“ผมคิดว่าคงจะปฏิเสธเขาไปครับ ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ เพราะผมคงไม่เหมาะกับที่นั่น ที่ปัจจุบันน่าจะดีที่สุดสำหรับผมแล้ว ผมอยู่ที่นี่มาก็จะ 10 ปีแล้ว เข้าใจงานที่ทำดี และ คุ้นชินกับที่นี่เป็นอย่างดี”
“ถ้าผมไปทำที่ใหม่เกิดผมทำพลาดอีก ผมอาจจะตกงานได้ ผมจึงไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงครับ”
“พี่คิดว่าผมตัดสินใจถูกไหม?”
“โอกาส สำหรับบางคนอาจจะมองว่าเป็นอุปสรรค”
ตัวอย่างในกรณีของโอม เขาไม่ได้ตัดสินใจผิดหรอกนะครับ
แต่การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึก และ ประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตของเขา น้องเขาเลือกที่จะอยู่ในพื้นที่ที่เขารู้สึกปลอดภัย และไม่มีความเสี่ยงดีกว่า
“แต่การที่เราต้องการรู้สึกปลอดภัยหรือไม่ต้องการเจอกับความเสี่ยง อาจจะเป็นการตัดอนาคตของเราก็เป็นได้”
เช่น บางทีเจอโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต ก็ปฏิเสธไปซะอย่างงั้น ด้วยเหตุที่กังวลไปก่อนว่า ถ้าไปทำแล้ว จะพลาดเหมือนในอดีตอีก ก็กลัวจะเสียใจ ก็เลยเลือกที่จะไม่ไปซะดีกว่า
เรื่องของความกลัวที่เกิดจากอดีตที่เคยผิดหวัง อาจจะทำให้เราเสียโอกาส หรือ อาจจะเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของเราได้
“แล้วเราจะก้าวข้าม ความกลัว และความกังวลเหล่านี้ได้อย่างไร?”
โอกาสอาจจะมาหาเราเพียงไม่กี่ครั้ง หรือ ถ้าเราปฏิเสธครั้งนี้ไป อาจจะไม่มาหาเราอีกเลยก็เป็นได้
เป็นเพราะทัศนคติและกรอบความคิดของเราที่เป็นแบบ Fixed Mindset นี่แหละ ที่มีปัญหาที่ทำให้เราติดหล่ม หลุดออกจากเขาวงกตของความกลัว และ ความกังวลของเราเองไม่ได้ ดังเช่นอาการของโอม ที่ไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่
ดังนั้น เราจำเป็นต้องพลิกมุมมองกับเรื่องเดิม ด้วยทัศนคติ และ กรอบความคิดที่เป็นแบบ Growth Mindset
ยกตัวอย่างเช่น
“เมื่อต้องเจอกับโอกาสหรืองานที่ท้าทาย” แทนที่จะมานั่งกังวลว่าจะทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดี ให้มองว่านี่คือโอกาสที่จะพาเราไปอยู่ในจุดที่ดีกว่าเดิม และจากนั้น ค่อยๆ เตรียมวางแผน หาวิธีการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า
“เมื่อต้องเจอกับงานที่ยาก หรือ งานที่ไม่ถนัด” แทนที่จะมานั่งบ่นหรือปฏิเสธที่จะไม่ทำ ให้มองว่านี่คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ อาจจะได้ทักษะใหม่ๆ ที่นำพาโอกาสใหม่ๆ มาให้เราก็ได้ และจากนั้นก็ ไปหาคนมาสอน หรือ ไปเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ นี้เพิ่มเติมจากคนที่เขาทำเป็นแล้ว เพื่อที่จะได้นำทักษะเหล่านั้นมารับมือกับงานที่ยากได้
“เมื่อต้องเจอกับความล้มเหลว หรือ ความผิดหวัง” แทนที่จะโทษคนอื่นหรือโยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่น ให้มองว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา ถือเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ เพราะกว่าคนสำเร็จเขาจะสำเร็จออกมาได้ เขาก็ต้องผ่านความผิดพลาด ความล้มเหลวมานับไม่ถ้วน แต่ที่พวกเขาผ่านไปได้ ก็เพราะเขาเรียนรู้จากสิ่งที่เขาได้ทำผิดพลาดไป
“เมื่อต้องเจอกับคำวิพากษ์วิจารณ์” แทนที่จะมานั่งเจ็บแค้นหรือมาหาวิธีแก้แค้นเอาคืน ให้มองว่าเรื่องของคำวิพากษ์วิจารณ์ คือ ของขวัญ เพราะนี่คือข้อมูลชั้นดี ที่เราสามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้อย่างตรงจุด ขอให้หลีกเลี่ยงการมองเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ ให้มองด้วยเหตุผลให้มากกว่า จะได้มองเห็นประโยชน์ของการได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์
ด้วยแนวคิด ด้วยทัศนคติ ด้วยกรอบความคิดที่เป็นแบบ Growth Mindset จึงทำให้ คนเหล่านี้ พวกเขาไม่กลัวต่อปัญหา และ อุปสรรค เลยทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ทักษะในเรื่องของ Growth Mindset สร้างกันได้ เร่ิมต้นได้ง่ายๆ ด้วยการเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง มั่นใจว่าทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ ด้วยการพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ และ การลงมือทำ
และทุกๆ ความผิดพลาด ให้เรียนรู้ บอกกับตัวเองว่าเรากำลังค้นพบหนทางที่ไม่สำเร็จอีกหนึ่งทาง ก็เพียงแค่ลงมือทดลองทำด้วยวิธีการใหม่ เดี๋ยวผลลัพธ์ที่ได้ก็จะดีกว่าเดิม
ทำเพียงเท่านี้ เราก็จะเริ่มกลายเป็นคนที่มีมุมมอง และกรอบความคิดที่เป็น Growth Mindset ได้แล้ว
เรื่องของ Growth Mindset มีประโยชน์มาก สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับในชีวิตการทำงาน หรือ ชีวิตครอบครัวก็ได้
ข้อมูลเพิ่มเติม :
เรื่องของ Growth Mindset และ Fixed Mindset มาจาก หนังสือ Mindset: The New Psychology of Success (2007) ผู้แต่งคือ Carol Dweck มี Version ที่เป็นภาษาไทยด้วย สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำครับ
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Growth Mindset และ Fixed Mindset สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
Growth Mindset และ Fixed Mindset คือ อะไร? และมีผลต่อตัวเราอย่างไร?
Fixed Mindset ที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยในการทำงาน หรือ ในที่ทำงาน
อาการถอดใจ เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในยามที่ต้องเจอกับปัญหา หรือ อุปสรรค