ทำไมองค์กรต้อง มี Growth Mindset? ก่อนที่จะมาหาคำตอบ ลองกลับมาดูภาพในที่ทำงานของเรา หรือ สถานการณ์ที่เราเห็นในองค์กรบ่อยๆ มีอะไรบ้าง ที่เป็น Fixed Mindset อาทิเช่น พนักงานไม่กล้าแสดงความคิดเห็น หรือ ไม่กล้านำเสนอไอเดียดีๆ ให้กับทีม หรือ ให้กับหัวหน้า
หรือ พนักงานบางคนมีอาการเฉื่อยชา ทำงานเหมือนกับไร้เป้าหมาย หรือ พนักงานบางคนไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆ เขาเลือกที่จะทำแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย เพราะกลัวว่า หากทำไปแล้วจะมีความผิดพลาดตามมา แล้วจะมีผลต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของพวกเขา
หรือ พนักงานบางคนขาดความคิดสร้างสรรค์ หรือ พนักงานบางคนคิดว่าตนเองไม่เก่ง หรือ มีข้อจำกัดเยอะ ผลที่ตามมาก็คือ ไม่สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ หรือ เลือกที่จะทำแค่พอผ่าน เป็นต้น
อาการจากตัวอย่างเหล่านี้ เป็นผลพวงมาจาก ตัวพนักงานเองที่ขาด Growth Mindset และ ตัวองค์กรเองก็ขาดการส่งเสริมวัฒนธรรม Growth Mindset เช่นเดียวกัน
“ระดับของความสุขและความสำเร็จของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นในอาชีพการทำงาน หรือ เรื่องส่วนตัว ล้วนมีผลมาจากมุมมองและทัศนคติของเราทั้งสิ้น”
เราจึงจะเห็นได้ว่า หากพนักงานเอง (ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย หรือ ลูกน้อง) มีกรอบความคิดที่เป็นลบ หรือ เป็น Fixed Mindset ผลที่ตามมาก็ ตามตัวอย่างอาการที่เราพบได้บ่อยๆ ในที่ทำงาน และในระยะยาว หากองค์กรมีพนักงานที่เป็น Fixed Mindset เป็นจำนวนมาก บวกกับวัฒนธรรมที่เป็น Fixed Mindset อีกด้วย บริษัทนี้คงจะไปไม่รอดได้อย่างแน่นอน
อีกสาเหตุนึงก็คือ บริษัทหรือองค์กรมองแต่ผลลัพธ์ที่อยากได้มากจนเกินไป โดยให้รางวัลและเลือกตอบแทนกับพนักงานหรือหน่วยงานที่ทำสำเร็จเท่านั้น หรือ มองพนักงานหรือหน่วยงานที่ทำผิดพลาดเป็นกลุ่มคนไร้ประสิทธิภาพ หรือ ไร้ความสามารถ การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการส่งเสริมให้เกิด Fixed Mindset ในองค์กรอย่างแท้จริง
ดังนั้น การน้นการวัดผลในเชิงผลลัพธ์ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งทำให้วัฒนธรรมขององค์กร หรือ บริษัท กลายเป็น Fixed Mindset เร็วขึ้นเช่นกัน ผลที่ตามมา พนักงานจะถูกกดดันให้ทำงานหนัก เครียด ทำงานด้วยความหาวดระแวง ไม่กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ ขาดความสุขในการทำงาน ไม่สามารถผลิตผลงานดีๆ ออกมาได้ ใครที่มีหนทางไปต่อ ก็จะเลือกที่จะออกจากบริษัท หรือ องค์กรแบบนี้
“วัฒนธรรมแบบ มี Growth Mindset คือ การสนับสนุนพนักงานในเรื่องความตั้งใจและความพยายาม”
องค์กรต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ การทดลองทำสิ่งใหม่ของพนักงาน ไม่ว่าการเรียนรู้นั้น หรือ การทดลองทำสิ่งใหม่ๆ นั้นอาจจะมีปัญหา หรือ มีความผิดพลาดบ้างก็ตาม การทำแบบนี้จะเป็นการสนับสนุนให้พนักงานกล้าลอง กล้าคิดนอกกรอบ ส่งเสริมทัศนคติแบบ Growth Mindset และ ความคิดสร้างสรรค์ เพราะพนักงานจะไม่กังวลว่าจะถูกตำหนิ หากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นในเรื่องของงาน
ตัวอย่าง องค์กรระดับโลกอย่าง Microsoft ซึ่งก็เคยประสบปัญหาภายในมาก่อนเช่นกัน ในราวๆ ปี 2015 ที่ Microsoft หลายๆ หน่วยงานทำงานแบบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ทะเลาะเบาแว้งกัน ไม่มีความเป็นนำ้หนึ่งใจเดียวกัน อันเนื่องมาจากการมี Fixed Mindset มากจนเกินไปทั้งจากในระดับบุคคล จนลามไปถึงวัฒนะรรมองค์กร จนต้องทำให้ Staya Nadella (Microsft CEO) ต้องล้างบางสิ่งเหล่านี้ด้วยการ ประกาศ กำหนดวัฒนธรรมขององค์กรซะใหม่ ให้มีทิศทางเดียวกันทั้งหมด โดยมีการอ้างถึง วัฒนธรรมองค์ที่เป็น Growth Mindset
“ทุกคนสามารถพัฒนาและเติบโตได้ ศักยภาพในตัวทุกคนสามารถเพาะบ่มสร้างขึ้นมาได้”
Staya Nadella เริ่มด้วยความเชื่อที่ว่า การส่งเสริมให้ทุกคน กล้าที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน กล้าที่จะผิดพลาดในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และ เปิดรับแนวคิด แนวทางใหม่ๆ จากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนร่วมงาน หรือ จากลูกค้า หรือ จากคู่ค้า เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Growth Mindset เพื่อให้เป็นวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรในอนาคต
จะเห็นได้ว่า จากการวางรากฐานวัฒนธรรมองค์กรของ Microsoft จากแนวคิดของ Staya Nadella ในวันนั้น ทำให้ Microsoft ยังคงครองความเป็นบริษัทยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากจนมาถึงวันนี้
นอกจากนี้ ยังมีผลจากการศึกษาของ Carol Dweck ผู้เขียนหนังสือ Mindset: The New Psychology of Success (2007) เกี่ยวกับ Growth Mindset ในที่ทำงาน เธอพบว่า องค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบ Growth Mindset
65% ของพนักงาน บอกว่า บริษัท มีการสนับสนุนให้พนักงานกล้าลองทำในสิ่งใหม่ๆ และ
49% ของพนักงานยังบอกอีกว่า บรรยกาศในบริษัทส่งเสริมเรื่องการสร้างนวัฒกรรมใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
47% ของพนักงาน รู้สึกว่า บรรยากาศการทำงานเป็นทีมดีมาก เพราะมีเพื่อนร่วมงานที่มีความน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้
และ 34% ของพนักงานรู้สึกว่าเขาภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จขององค์กร และ พร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อองค์กร
จากผลการสำรวจ รวมไปถึงตัวอย่างองค์กรอย่าง Microsoft เราจะเห็นได้ว่าองค์กร หรือ ในที่ทำงานที่ มี Growth Mindset น่าทำงานด้วยมากแค่ไหน?
แล้วเราจะเริ่มต้นสร้าง Growth Mindset ในที่ทำงาน ของเราได้อย่างไร?
“ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนควรมีโอกาสได้ลองผิดลองถูกบ้าง”
ลองนึกถึงองค์กรที่เป็นแบบ Fixed Mindset พนักงานคงไม่กล้าที่จะทำในสิ่งใหม่ เพราะกลัวพลาด กลัวถุกวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหาย เลยทำให้พนักงานไม่กล้านำเสนอไอเดียใหม่ๆ ไม่กล้าที่จะคิด ไม่กล้างที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ส่วนนึงปัญหาเรื่องเหล่านี้ ก็มาจากผู้นำ ที่เป็น Fixed Mindset ด้วย พวกเขาไม่ชอบอะไรที่ใหม่ๆ อะไรที่ไม่คุ้นเคย ชอบออกคำสั่ง มากกว่าชอบให้ลูกน้องมานำเสนอ ผลที่ตามมา พนักงานทำงานไป อยู่ไปแบบหวดระแหว่ง ห่อเหี่ยวไร้แรงกระตุ้นเชิงบวกในการทำงาน
ถ้าผู้นำเปิดโอกาส สร้างพื้นที่ให้พนักงานได้หมดความกังวลในเรื่องควาผิดพลาด หมายถึงผิดได้ แต่ต้องเรียนรู้ว่าผิดแล้ว จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป ไม่ใช่กลัวผิดโดยไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ๆ อีกเลย หรือ ส่งเสริมให้พนักงานได้มีโอกาสนำเสนอไอเดียใหม่ๆ และผู้นำก็ต้องสนับสนุนให้พนักงานลองทำไอเดียใหม่ๆ นั้นไปลงมือทำด้วยเช่นกัน หากทำแบบนี้ได้ พนักงานก็จะมีคลายความกดดัน และ ความเครียดออกไปได้เยอะเลย แถมอาจจะได้ไอเดียดีๆ ที่นำมาช่วยเหลือบริษัทได้อีกเพียบ
“ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนกล้าที่จะให้คำแนะนำกันและกัน”
ลองนึกถึงองค์กรที่เป็นแบบ Fixed Mindset พนักงานคงไม่กล้าที่จะแนะนำ หรือ ติชมใครๆ ในเรื่องของการทำงานแบบซึ่งๆ หน้า เพราะกลัวว่าหากทำไปแล้วจะกลายเป็นปัญหาทะเลาะเบาะแว้งตามมา เราจึงเห็นคนแอบบเอาเรื่องคนอื่นไปนินทาลับหลังกันเต็มไปหมด ยิ่งนินทามากๆ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกนำไปแก้ไข แล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไร?
ไม่ว่าพนักงานจะระดับไหน ผู้นำต้องส่งเสริมให้ทุกคนเปิดใจ เปิดโอกาส รับฟังคำแนะนำจากกันและกัน โดยการแนะนำ หรือ ติชมกันและกัน ต้องเป็นแบบหวังดีอยากให้เพื่อนร่วมงานดีขึ้นจริงๆ ไม่ได้มาจากการประสงค์ร้าย หรือ ต้องการประจาน หรือ ให้ร้ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การทำแบบนี้จะทำให้ต่างคนต่างก็มีโอกาสในการพัฒนา แก้ไข ปรับปรุงจุดบกพร่องของตนเอง และ เป็นการช่วยทำให้บรรยากาศการทำงานเป็นทีมดีขึ้นอีกด้วย
“ส่งเสริมให้มองความทุ่มเทและความพยายาม มากกว่าไปมองที่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียว”
สำหรับผู้นำ นอกเหนือจากการให้คำแนะนำ หรือ คำติชม ผู้นำก็ควรจะต้องแสดงอออกถึงความจริงใจ และ ให้กำลังใจกับทีงานในเรื่องของ ความทุ่มเทและความพยายาม ของพวกเขาด้วย อย่าไปมอง หรือ เน้นเรื่องผลลัพธ์ จนทำให้พนักงานต้องรู้สึกกดดัน หรือ เครียดมากจนเกินไป
เพราะอย่าลืมว่า ยิ่งเอาตัววัดที่เป็นตัวเลขมาวัดมากเท่าไร ยิ่งทำให้พนักงานไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำอะไรนอกกรอบ นั่นจะเป็นการทำให้พวกเขาต้องอยู่ในวังวนของ Fixed Mindset ต่อไป
ถึงตรงนี้ เราคงเข้าใจมากขึ้น และเห็นแล้วว่า เรื่องของ Fixed Mindset มีผลต่อคน และ องค์กรอย่างไร? และการ มี Growth Mindset สามารถช่วยเหลือทั้งในระดับพนักงาน และ องค์กรได้อย่างไรอีกด้วย
ดังนั้น ถ้าอยากให้องค์กร หรือ อยากให้หน่วยงานชองเราน่าทำงาน และ น่าอยู่มากกว่านี้ เราก็ต้องช่วยกันสร้างวัฒนธรรม Gorwth Mindset ในองค์กรกัน
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ Growth Mindset และ Fixed Mindset สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
Growth Mindset และ Fixed Mindset คือ อะไร? และมีผลต่อตัวเราอย่างไร?
Fixed Mindset ที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยในการทำงาน หรือ ในที่ทำงาน
9 วิธี ในการสร้างและพัฒนา Growth Mindset สำหรับคนทำงาน