Why we love, why we cheat – เมื่อความรักทำให้คนตาบอด ทำให้บางคน สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้องก็ตาม
เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนต้องเคยมีสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” กันมาก่อนทั้งนั้น
อาจจะเป็นรักแรกตอนเราออกไปเจอเพื่อนข้างบ้านสมัยอนุบาล แอบดอกกุหลาบไปวางไว้บนโต๊ะรุ่นพี่ตอนม.ปลายในวันวาเลนไทน์ หรือแอบรักเพื่อนร่วมงานที่ได้มีโอกาสไปสัมมนาร่วมกัน สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากสิ่งมหัศจรรย์อย่างความรัก ที่ไม่เคยเลือกเวลา ไม่เลือกคน ไม่เลือกสถานที่หรือไม่ได้สนใจเลยว่าคุณจะเป็นใคร เพราะเมื่อจะรัก มันก็คือความรัก
ความรักคืออะไร?
เป็นคำถามที่แม้แต่วิลเลียม เชกสเปียร์ กวีและนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกก็เคยถามด้วยเช่นกัน การนิยามให้คำว่าความรักของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันตามมุมมอง ความคิด และประสบการณ์ บางคนที่ความรักกำลังเบ่งบานอาจจะคิดว่าความรักคือสิ่งที่ทำให้โลกที่หม่นหมองของเขาดูสดใส ในทางกลับกันคนที่เพิ่งจบความสัมพันธ์และเป็นการจบที่ไม่ดีเท่าไร อาจจะมองว่าความรักเป็นสิ่งแย่ๆในชีวิต ที่เขาอยากตัดทิ้ง อย่างไรก็ตาม โลกของเราก็เป็นแบบนี้ มีทั้งด้านดีและไม่ดีปะปนกันไป สิ่งที่เรารู้ก็คือ “ความรักเป็นสิ่งที่พิเศษ”
อย่างที่ จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ นักเขียนบทละครชาวไอริชผู้โด่งดังได้กล่าวไว้ว่า
“ความรัก คือการที่เรามองเห็นความแตกต่างระหว่างหญิงสาวคนหนึ่งที่เรารักกับผู้หญิงคนอื่น”
เมื่อคุณเริ่มตกหลุมรักใครคนหนึ่ง คุณจะเห็นแค่เขา เพราะคุณเองเลือกมองแค่เขาคนเดียว คุณจะมองเห็นข้อด้อยของเขา แต่มันจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปในทันที คุณจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างเขากับคนอื่นๆ ซึ่งคุณจะมองว่ามันแสนวิเศษ ไม่เกินจริงเลย ถ้าจะพูดว่า “ความรักทำให้คนตาบอด”
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเรามีความรัก?
ความรักไม่ได้ทำให้คนที่คุณรักเป็นคนพิเศษเท่านั้น มันยังทำให้คุณเป็นคนพิเศษด้วยเช่นกัน คุณจะมีความสุขเป็นพิเศษ อารมณ์ดีเป็นพิเศษ โลกของคุณก็จะดูพิเศษกว่าปกติเช่นกัน ความรักจะสร้างความกระหายให้กับเรา แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีนะ ความกระหายก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะมันสร้างแรงจูงใจให้เราในการทำสิ่งดีๆเพื่อคนคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นความกระหายในการจะรักใครมันไม่ใช่แค่เรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องของอารมณ์ด้วย เพราะคุณไม่ได้ยินดีแค่การนอนกับเขา แต่คุณจะยินดีที่จะคุยโทรศัพท์กับเขา กินข้าวกับเขาหลังเลิกงาน ยืนรอเป็นชั่วโมงเพื่อได้เจอหน้าเขาไม่กี่นาที
คุณคิดถึงคนรักของคุณเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเวลาในช่วงกลางวันและกลางคืน?”
“ทั้งวันทั้งคืน ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงเขาได้เลย”
ทำไมต้องเป็นคนนี้?
ในตอนที่คุณมีความรัก คุณมองหน้าคนที่คุณรักแล้วถามตัวเองในใจไหมว่าทำไมถึงเป็นคนนี้ล่ะ? ผู้ชายหรือผู้หญิงมีตั้งมากมายบนโลกเลยนะ การตกหลุมรักนั้นต้องอาศัย จังหวะเวลา ความใกล้ชิด ความน่าค้นหา คุณจะสามารถตกหลุมรักใครสักคนได้จากสามสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกมันจะช่วยเพิ่มสารโดปามีนหรือสารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และความรู้สึก กระตุ้นให้คุณรู้สึกตกหลุมรักใครบางคนได้
เมื่อมีความรัก สมองจะถูกกระตุ้นราวกับคุณใช้โคเคนเลยล่ะ
Helen Fisher นักมนุษยวิทยาและนักวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ชาวอเมริกันเล่าว่า เธอตัดสินใจทดลองโดยสแกนสมองของผู้ทดลอง ขณะที่พวกเขาดูรูปคนรักของเขา แน่นอน เธอพบว่าสมองมีปฏิกิริยาอย่างมากเมื่อพวกเขาดูรูปคนรักของพวกเขา และความจริงที่น่าประหลาดใจคือ สมองของพวกเขาถูกกระตุ้นพอๆกับสมองของใครสักคนที่เพิ่งใช้โคเคนมาเลยล่ะ
“ถ้าคุณชวนใครสักคนไปนอนกับคุณคืนนี้แล้วเขาปฏิเสธ มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ถ้าสารภาพรักใครสักคน แล้วเขาปฏิเสธ มันจะฆ่าคุณ”
ดูไม่เกินจริงเลยกับการที่บอกว่าความรักฆ่าคนได้ เพราะมนุษย์เราล้วนอยู่เพื่อความรักกันทั้งนั้น เรามีเพลง หนัง ละคร รูปวาด และกลอนมากมายที่ล้วนเกี่ยวกับความรัก แสดงให้เห็นถึงการหมกหมุ่นกับความรักของมนุษย์ที่ไม่มีจุดจบ ถ้าคุณแค่แค่ต้องการนอนกับเขา มันเป็นเพียงอารมณ์ที่ต้องการสืบพันธุ์ของมนุษย์ แต่ถ้าคุณต้องการความรักจากเธอ มันคืออารมณ์ ความรู้สึก และสิ่งนี้แหละ ที่สามารถเปลี่ยนโลกที่แสนสดใสของคุณให้หม่นลงราวกับตายทั้งเป็นได้เลย
ความต้องการทางเพศ ความรักโรแมนติก ความผูกพัน
เฮเลนเผยว่าเธอได้ศึกษาเกี่ยวกับความรัก โดยการแบ่งระบบสมองเป็น 3 ส่วนด้วยกัน
- ความต้องการทางเพศ ซึ่งส่วนนี้มนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีอยู่แล้วเป็นธรรมชาติ เป็นความปรารถนาทางระบบประสาทที่ยากจะต้านทานได้ของมนุษย์ มันจะทำให้เรารู้สึกกระหายที่จะหาคู่และสืบพันธุ์ เหมือนกับเวลาที่เราหิวแล้วต้องหาอะไรกินให้ได้นั้นแหละ
2. ความรักโรแมนติก แน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวกับความชื่นชม ความปิติยินดีที่ได้รู้สึกรัก หรือโลกสีชมพูที่คนพูดกันบ่อยๆ หรือบางครั้งเราก็เรียกมันว่าความหมกหมุ่นในระยะแรก เพราะไม่ใช่ทุกคู่ที่จะมีความรักให้กันไปตลอด แต่ทุกคนยังอยู่ด้วยกันได้เพราะข้อถัดไป
3. ความผูกพัน มันเกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกสงบและปลอดภัยที่จะอยู่กับใครสักคน และเรารู้สึกถึงความสัมพันธ์ในระยะยาว ที่ไม่ใช่แค่นอนด้วยกัน คบกัน แล้วเจอคนใหม่ก็เลิก
“เราสามารถรักคนได้มากกว่าหนึ่งคนในเวลาเดียวกัน”
ถ้าเรากำลังพูดถึงวิทยาศาสตร์ มันได้แน่นอนที่เราจะรักใครหลายคนในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าทางศีลธรรมคงไม่ใช่สิ่งที่ดีนักที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งระบบสมองของเราทั้ง 3 ส่วนก็ไม่ได้ไปพร้อมกัน เพราะบางครั้งส่วนแรกที่เป็นส่วนความต้องการทางเพศอาจจะเริ่มทำงานก่อน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมบางคนถึงเริ่มตกหลุมรักกันจากการมีเพศสัมพันธ์กัน หรือบางครั้งระหว่างที่สมองส่วนที่ 2 และ 3 ทำงานเพื่อเราอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง แต่สมองส่วนแรกกลับไม่ทำงานเอาเสียเลย สมองของคุณจะทำงานหนักมากเพื่อหาทางออกของเรื่องนี้ที่จะทำให้ตัวคุณเองมีความสุขที่สุดราวกับเราจับระบบสมองทั้ง 3 ส่วนมาชั่งแล้วเลือกเลยล่ะ
SSRI หรือ ยารักษาอาการซึมเศร้า
อย่างที่บอกว่าทุกอย่างบนโลก ถ้ามีประโยชน์ก็ต้องมีโทษ ถ้ามีข้อดีก็ต้องมีข้อด้อย ความรักเองก็เช่นกัน แม้มันจะทำให้คนรู้สึกดีได้มากมาย ทำให้คนเรามีความสุขมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในทางกลับกัน มันก็สามารถฆ่าใครบางคนให้ตายทั้งเป็นได้อย่างเลือดเย็นได้เช่นกัน มีการออกใบสั่งมากกว่า 100 ล้านใบทุกปีในประเทศสหรัฐอเมริกา
SSRI เป็นยาต้านความเศร้า ซึ่งยาตัวนี้จะไปเพิ่มเซโรโทนีนในสมอง เซโรโทนีนมีหน้าที่ในการความรู้สึกเจ็บปวด ความหิว ความอิ่ม ความอยากอาหาร การนอนหลับ อารมณ์ทางเพศ และความรู้สึกสุขสงบ ช่วยระงับความโกรธและความก้าวร้าว สิ่งที่แย่ก็คือเมื่อใช้ยาตัวนี้เป็นจำนวนมาก มันจะไปยับยั้งสารโดปามีน (ที่ทำให้คุณตกหลุมรักใครสักคน) และความต้องการทางเพศของคุณด้วย
“มนุษย์ฆ่าเพื่อความรัก และตายเพื่อความรัก”
บทสรุป
ความรักกับชีวิตมนุษย์เป็นของคู่กันอยู่แล้วในการดำเนินชีวิต แต่ทุกอย่างต้องเดินทางไปอย่างพอดี เพราะถ้ามากเกิน เราอาจจะถลำไปจนมันกัดกินเราไปทั้งตัว หรือถ้าน้อยไปมันคงไม่มีเรื่องพิเศษๆเกิดขึ้นให้คุณได้เข้าถึงคำว่ารักแน่ๆ ยังยืนยันว่า “ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม”
ผลข้างเคียงต่างหากที่น่ากลัว อย่างน้อยวันไหนที่คุณมีความรัก โปรดรักษามันไว้ดีๆ ไม่ใช่แค่รักษาความรักและคนที่คุณรักเท่านั้น แต่รวมถึงรักษาตัวคุณเองด้วย
“การรักตัวเอง ก็เป็นความรักที่สวยงามเหมือนกันนะ”
….
เนื้อหาของบทความ เรียบเรียงมาจาก TED conference ในหัวข้อ “Why we love, why we cheat” นำเสนอโดย Helen Fisher
Anthropologist Helen Fisher takes on a tricky topic – love – and explains its evolution, its biochemical foundations and its social importance. She closes with a warning about the potential disaster inherent in antidepressant abuse.