
Why You Think You’re Ugly ทำไม? เพราะอะไร? เราถึงมักชอบคิดว่าตัวเราเองไม่สวย หรือ ดูไม่ดี อะไรกันแน่ที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้น?
ทุกคนเคยสงสัยกันบ้างไหม? ว่ามาตรฐานความงาม หรือ Beauty Standard เป็นเกณฑ์ที่สร้างขึ้นจากใคร คนคนนั้นมีความรู้เรื่องความสวยงามมากขนาดไหนกันถึงได้มีสิทธิ์มาตัดสินความสวยงามของผู้อื่นได้โดยที่ไม่มีใครกล้าบอกว่าเขาเสียมารยาทเลยสักนิด ใครก็ตามที่ดูแล้วน่าเชื่อถือพอที่ทุกคนจะยึดแนวความคิดเรื่องความสวยงามของเขาได้ เกณฑ์นั้นที่เขาสร้างขึ้นมาอาจจะส่งผลดีต่อใครและส่งผลร้ายต่อใครก็ได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะหาสิ่งเหล่านี้ คุณควรถามตัวเองก่อนว่า ทุกวันนี้คุณเองก็ยึดมาตรฐานความงามในการตัดสินผู้หญิงที่เดินสวนกันว่าสวยหรือขี้เหร่ใช่หรือไม่?
“เด็กสาวผิวสีใฝ่ฝันจะมีผิวขาวและผมตรงยาว”
Melissa Butler ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำอย่าง THE LIP BAR ที่กระจายสินค้าขายอยู่ในร้านค้าเป้าหมายในสหรัฐอเมริกากว่า 400 แห่ง เธอเล่าให้ฟังในการบรรยาย TEDxDetroit นี้ว่าครั้งหนึ่งในตอนเป็นเด็ก สิ่งที่เธอได้ยินเสมอเลยก็คือเด็กผู้ชายมักจะบอกว่าเธอไม่เห็นผิวขาวเลย ก้นเธอก็แบน เธอเคยฟันห่างและผมหยิกกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งเหล่านั้นทำอะไรเธอไม่ได้เลยสักนิด เพราะไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรสำหรับเธอแล้วเธอก็ยังคิดว่าตัวเองน่ารักอยู่ดี

“ฉันเบื่อกับการให้ความสำคัญกับมาตรฐานความงามเพียงมิติเดียว”
เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เธอได้เปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองเพื่อเปลี่ยนมุมมองด้านความงามและมาตรฐานความงามหรือ Beauty Standard ที่ทุกคนให้ความสำคัญกันหนักหนา รวมถึงการเปลี่ยนมุมมองความคิดที่เรามีต่อคนที่แตกต่างออกไปจากเรา ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกหรือลึกลงไปยังจิตใจภายในก็ตาม ในตอนที่เธอกำลังหัดทำลิปสติกอยู่ในครัว ตอนนั้นเป็นตอนที่เธอกำลังหงุดหงิดอย่างที่สุดกับการที่ความงามของผู้หญิงถูกมองและตัดสินจากมุมเดียว ผู้หญิงทุกคนถูกมองเพียงแค่ว่าพวกเธอมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความงามที่คนส่วนใหญ่ตั้งไว้หรือไม่เท่านั้น
“ลองกดเข้า Google แล้วค้นหาคำว่า “Beauty” ดูสิ”
คำถามคือมาตรฐานเหล่านี้ถูกสร้างมาจากใครกัน หากคุณกำลังสงสัยว่ามาตรฐานความงามนี้มีอะไรบ้าง คุณลองกดเข้า Google แล้วค้นหาคำว่า “Beauty” ดู สิ่งที่คุณจะพบก็คือผู้หญิงผิวขาว รูปร่างผอมบาง และดูอ่อนเยาว์เต็มไปหมด ดังนั้นคนส่วนใหญ่กำลังจะบอกว่าหากผู้หญิงคนไหนไม่ได้มีคุณสมบัติตามนี้แปลว่าพวกเธอไม่สวยงั้นหรอ? เราเสพมันเข้าไปในจิตใจแล้วเราก็เผลอคิดไปว่าแบบนั้นคือความสวยงามจริงๆ เมื่อเราเดินไปบนท้องถนนเราจะเริ่มคิดว่า “ว้าว คนนั้นสวยจัง” ซึ่งเธอคือผู้หญิง ขาว ผอม อ่อนเยาว์นั้นเอง
“ฉันต้องมีความสุขแน่ๆ ถ้าฉันสวยแบบเธอ”
ความเชื่อนี้จะถูกต่อยอดไปอีกว่าผู้หญิงที่เพรียบพร้อมครบครันตามมาตรฐานความงามจะต้องมีคนรักที่ดี มีเงินทองมากมาย ประสบความสำเร็จในชีวิต และเมื่อเรากลับมามองตัวเองเรากลับคิดว่า “ตายแล้ว นี่เราขาดไปหลายอย่างเลย” หรือ “อิจฉาจัง ฉันไม่มีอะไรแบบเธอเลยสักนิด” ฉันต้องมีความสุขเหมือนเธอแน่ๆ ถ้าฉันสวยแบบเธอ
คุณปฏิเสธลำบากใช่ไหม เพราะคุณเองก็เคยคิดแบบนี้ตอนเดินผ่านผู้หญิงคนอื่นบนท้องถนนหรือห้างสรรพสินค้าสักแห่ง
“เราเริ่มมองหาว่าเรามีอะไรไม่พอ”
สิ่งที่แย่ที่สุดของการมีความเชื่อเรื่องมาตรฐานความสวยงามตามคนส่วนใหญ่ คือเรานำมาตรฐานนั้นมาตัดสินตัวเอง แล้วหาสิ่งที่เราต้องเปลี่ยน สิ่งที่เรายังขาดไปหรือสิ่งที่เรายังมีไม่พอ เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังแปลกแยกและไม่เข้าพวก เมื่อคุณเริ่มเชื่อในเรื่องมาตรฐานความสวยงาม มันเป็นจะเป็นเหมือนการเผยแผ่ศาสนาเลยทีเดียว เพราะความเชื่อนี้ของคุณจะถูกส่งต่อไปยังคนรอบตัวของคุณอย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ หรือเพื่อนที่ทำงานของคุณอย่างรวดเร็ว ถ้าฉันไม่สวย เธอก็ไม่สวยเหมือนกัน
“คุณค่าที่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์”
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กผู้หญิงมักถูกปลูกฝังว่าต้องสวย ต้องดูดี น่ารัก ถึงจะเป็นที่รักของคนรอบข้าง คุณค่าของเราถูกผูกโยงไว้กับภาพลักษณ์ การแต่งงาน หรือการมีลูกจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเธอสวย ที่น่าแปลกใจคือต่อให้เธอเป็นคนเก่ง เป็น Working Woman เป็นหัวหน้าคน ปกครองคนในทีมมากมาย เป็นเจ้าของธุรกิจ ประธานบริษัท หรือเป็นคนมีอำนาจ รู้ไหมคนก็ยังจะถามว่าเธอคนนั้นสวยไหมล่ะอยู่ดีนั้นแหละ
“การที่เราถักผมเปียหรือไม่ ไม่ได้บ่งบอกว่าเด็กคนนั้นจะสอบได้ที่หนึ่งหรือที่โหล่”
คุณค่าที่ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์เป็นสิ่งที่คุณพบได้ในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา นักการเมือง หรือนักเรียน หากคุณจะเคยเห็นข่าวนี้ผ่านตามาบ้าง รัฐลุยเซียนาไม่อนุญาตให้เด็กผู้หญิงไปโรงเรียนเพียงเพราะเธอถักผมเปีย การถักผมเปียเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมความงามของแอฟริกันและแอฟริกันอเมริกันมาอย่างยาวนาน การที่เราถักผมเปียหรือไม่ ไม่ได้บ่งบอกว่าเด็กคนนั้นจะสอบได้ที่หนึ่งหรือที่โหล่ กระโปรงที่ใส่ตอนเล่นเทนนิสไม่ใช่อุปสรรคในการชนะแกรนด์สแลม และสีสูทที่ใส่ ต่อให้มันจะเป็นสีชมพูแสนหวานก็ไม่สามารถศักยภาพการทำงานของผู้ใส่ได้
“ผู้ชายอยากแต่งงานกับคนที่เหมือนแม่ของเขามากพอๆ กับที่เขาเกลียดความคิดนี้”
แม้จะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากแต่ผู้ชายส่วนใหญ่มักมีความต้องการลึกๆที่อยากจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ดูเหมือนแม่ของพวกเขา และพวกเขาก็เกลียดความคิดนี้เข้าไส้เลยด้วย พวกเขาไม่ค่อยยอมรับกันเท่าไรเมื่อใครบางคนพูดว่าผู้ชายคิดแบบนี้พวกเขาจะส่ายหัวทันทีเลย แต่สิ่งที่ต้องยอมรับเลยคือแม่คือแบบอย่างของความสวยงามของเราโดยกำเนิด ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเกิดที่ประเทศกาน่า คุณก็จะเห็นความสำคัญของต้นขาใหญ่ๆ เพราะนั่นเป็นมาตรฐานความสวยของผู้หญิงกาน่า แต่มันจะแตกต่างกันทันทีถ้าคุณโตมาในสหรัฐฯ
“พวกเธอทำทั้งหมดไปเพียงเพื่อการมีชีวิตที่ดี”
70% ของผู้หญิงในเลกอส ไนจีเรีย เลือกที่จะไปฟอกสีผิว แม้การฟอกสีผิวจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งสูงมากเลยก็ตาม หากคุณยังคิดถึงผลกระทบที่รุนแรงกว่าการยอมเสี่ยงเป็นมะเร็งเพื่อแลกกับผิวขาวไม่ออกละก็ ลองมองรอบตัวคุณดู อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับพรีเซ็นเตอร์ผิวขาว ผู้หญิงรูปร่างใหญ่รู้สึกไม่มีค่า ผู้หญิงรุ่นใหญ่รู้สึกว่ากาลเวลาไม่ได้พรากแค่ความเยาว์วัยของพวกเธอ แต่พรากคุณค่าของพวกเธอไปด้วย หญิงชนเผ่าพื้นเมืองรู้สึกว่าไม่มีใครต้องการพวกเธอ
“นี่เป็นประเด็นที่ไม่เลือกเพศและวัย”
แม้ในประเด็นของมาตรฐานความงาม ผู้หญิงดูเป็นเพศที่ได้รับผลกระทบจากมันมากที่สุดก็จริง แต่ประเด็นนี้มันไม่ได้จำกัดเพศว่ามันจะโจมตีแค่ผู้หญิงเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น CEO บริษัทชั้นนำ 500 อันดับแรกของโลกมักตัวสูง เพราะความสูงเชื่อมโยงกับอำนาจ การที่พวกเขาสูงทำให้พวกเขาดูน่าเกรงขามขึ้น ในขณะที่หากเขาเตี้ย คนจะบอกว่าเขาดูไม่มีราศีหรือโหวงเฮ้งในการเป็น CEO เอาเสียเลย
“มาตรฐานความสวยงามที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น”
ประเด็นความสวยงามนี้มันไม่ได้หยุดอยู่ที่คุณ มันเหมือนโรคระบาดหรือโรคติดต่อด้วยซ้ำ ลูกหลานของเรากำลังเติบโตขึ้นมาอย่างคนที่มองไม่เห็นคุณค่าตัวเอง และใช้ความคิดเห็นของคนอื่นมาตัดสินว่าพวกเขามีค่าหรือเปล่า พวกเขาโตขึ้นมากับกระแสการซื้อผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่แสนอันตราย การฉีดผิว การทำศัลยกรรมพลาสติก คุณรู้ไหมว่าศัลยกรรมที่ก้นและต้นขามีคนตัดสินใจทำเพิ่มมากขึ้นถึง 4,200% เมื่อนับสถิติตั้งแต่ปี 2000 เลยนะ นี่ไม่ใช่สถิติน้อยๆเลย
“บทเรียนที่สำคัญคือจงรักทุกอย่างที่เป็นตัวเอง”
หากถามว่าการนั่งมองความเป็นไปและคนมากมายดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองตรงตามมาตรฐานความงามที่ใครก็ไม่รู้เป็นคนตั้งขึ้นมาสอนอะไรกับเรา แน่นอนว่าหากคุณรู้จักตัวเอง ยอมรับตัวเอง และรักทุกอย่างที่เป็นตัวเองได้มากพอ คุณจะเป็นเหมือนเด็กหญิง Melissa ที่ไม่สนใจคำพูดของเด็กผู้ชายพวกนั้นเลยและเธอยังคงคิดว่าเธอยังน่ารักอยู่ดี สิ่งสำคัญที่คุณจะได้จากบทเรียนนี้เลยคือการรักทุกอย่างที่เป็นตัวเอง ซึ่งหมายถึงอย่าเอาความคิดของคนอื่นมาตัดสินคุณค่าของตัวเราเอง
บทสรุป
ลองนึกถึงปัจจัยที่ทำให้เรารู้สึกแตกต่างจากคนอื่นเสียก่อน อย่าง Social Media ที่เอาเข้าจริงคุณต้องอยู่ให้ห่างมันเสียหน่อย เพราะมันเป็นตัวทำลายประสาทดีๆนี่เอง การไปซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอาง เป็นกิจกรรมที่ผลักคุณเข้าหากระแสสังคมเต็มๆ หรือการที่คุณไปบ้านคุณยาย แล้วคุณยายบอกว่า “หลานอ้วนขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่เจอกันนะ” คุณยายพูดอะไรที่แย่มากเลยใช่ไหม คุณก็แค่ตัดออกไป ไม่ใช่การตัดขาดความสัมพันธ์กับคุณยายนะ แต่ตัดสิ่งที่เธอพูดออกจากหัวไปซะ
คุณต้องเตรียมตัวสู้เพื่อตัวคุณเอง กลับบ้านไปแล้วส่องกระจก พินิจพิจารณามองตัวเองในทุกส่วน สำรวจตัวเองอย่างตั้งใจ แล้วดูความยิ่งใหญ่ของตัวคุณ ยอมรับภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกและรักมันให้มากๆ และเมื่อคุณเดินออกจากบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้อย่าลืมส่งต่อการยอมรับและความรักให้แก่คนอื่นๆด้วย
“ขอสนับสนุนทุกคนให้เห็นคุณค่าในตัวเองและคุณค่าในตัวคนอื่นไม่ว่าเขาจะเหมือนหรือต่างกับเราอย่างไร ความแตกต่างเป็นสีสันที่น่าค้นหาและยอมรับไม่ใช่แบ่งแยก”
Why You Think You’re Ugly | Melissa Butler | TEDxDetroit
บทความแนะนำ :
Sarah McBride – วุฒิสมาชิกคนแรกของสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้หญิงข้ามเพศ