วิธีจับคนโกหก กลายเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญมาก สำหรับคนในยุคนี้ ยุคที่มีความยากที่จะค้นหาความจริง ในความเป็นจริงคงไม่มีใครอยากถูกโกหก และ เรื่องการโกหก หลอกลวง กลายเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องเจออยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ซึ่งเราเองก็อาจจะเป็นได้ทั้งคนที่ถูกโกหก หรือ เป็นคนที่กำลังโกหกคนอื่นก็ได้
“เพราะในแต่ละวัน เราต้องเจอกับเรื่องโกหก และ เราจะโกหกคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกมากกว่าเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศ”
ในหนึ่งวัน เราโกหกกัน ตั้งแต่ 10 ถึง 200 ครั้ง เราจะโกหกกันประมาณ 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้น กับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกภายใน 10 นาที แน่นอนว่าเราจะโกหกคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกมากกว่าเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศ
- คนที่กล้าแสดงออก อาจจะดูเหมือนเป็นคนเปิดเผยใช่ไหม? แต่ความจริงก็คือ พวกเขาโกหกมากกว่าคนที่เก็บตัวและคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเสียอีก
- ผู้ชาย มักจะโกหกเรื่องของตัวเอง มากกว่าโกหกเรื่องคนอื่น ส่วนผู้หญิงเอง ก็จะเลือกที่จะโกหก มากกว่าปกป้องคนอื่นในบทสนทนานั้นๆ
คงไม่มีใคร ที่จะกล้าปฏิเสธแน่ๆว่า “ฉันไม่เคยโกหกเลยนะ” หรือ “ฉันเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์มาก”
เราเองก็อาจจะคิดว่า เราไม่เคยโกหก และ เราเป็นคนซื่อสัตย์มาก ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะบางทีการโกหกก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราคงเคยได้ยินประโยคตลกๆ นี้ในหนังหรือละครบางเรื่องกันบ้างไหม? เช่น “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เพราะคนพูดน่ะ ตายแทน” ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผล ที่ทำให้คนเราเลือกที่จะโกหกหรือเปล่า?
วิธีจับคนโกหก (Spotting a liar)
ถึงเราจะบอกว่า การโกหกส่วนใหญ่เป็นการโกหกที่ดี แต่ในบางครั้ง คนฟังก็ไม่ได้ต้องการคำโกหกเสมอไป หรือ ถ้ามันไม่ใช่การโกหกที่ดีล่ะ คนฟังก็อาจจะกลายเป็นเหยื่อในการได้รับฟังในสิ่งที่ผิด อาจจะทำให้เข้าใจผิดในบางเรื่องได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ เกิดอารมณ์โกรธ เสียใจ หรือ เคียดแค้นได้เลยจากการโกหกเหล่านี้
หรือตัวอย่างที่ฟังดูร้ายแรงกว่านั้น อาจจะเป็นตอนที่เราเชื่อว่าฆาตรกรคนนี้ไม่ได้ฆ่าคนเพราะคำโกหกของเขา จนเรา หรือ คนใกล้ตัวกลายเป็นเหยื่อคนต่อไปนั้นแหละ เราถึงจะเข้าใจและรู้ว่าเราโดนโกหกเข้าแล้ว
ดังนั้น วิธีจับคนโกหก น่าจะเป็นวิธีการ หรือ ทักษะที่ดูเข้าท่าสำหรับการเปลี่ยนเหยื่ออย่างเราให้เป็นผู้ล่าแทนในเรื่องนี้ แล้วมันจะดีแค่ไหนล่ะ? ถ้าในตอนที่เราฟังคำพูดของสามีคุณตอนเขากลับบ้านช้าแล้วบอกคุณว่าเลิกงานดึก แต่จริงๆเขาแอบไปเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่นมา แล้วคุณรู้ได้ในทันทีเลยว่าเขาโกหก หรือ จับคำโกหกของเพื่อนๆ ในที่ทำงาน หรือ แม้กระทั่งคำพูดโกหกของหัวหน้าเราเองได้
คำโกหก อาจจะมีมูลค่าสูงกว่าพันล้านดอลลาร์
ถ้าให้เราลองประเมินราคาหรือมูลค่าของคำโกหก บางคนอาจจะบอกว่าราคา 12 บาทเท่ากับการโกหกว่าไม่ได้ขโมยน้ำอัดลมในร้านสะดวกซื้อ หรือ คำโกหกอาจจะมีค่าเท่ากับ 100 บาท ตอนเราแอบหยิบสมุดสักเล่มและปากกาสักด้ามจากร้านเครื่องเขียนแล้วบอกว่าไม่ได้ทำ
ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา เคยเกิดการฉ้อโกงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เมื่อมีคนสามารถใช้คำโกหกหลอกลวงขโมยเงินไปได้มากกว่า 997 พันล้านดอลลาร์ แน่นอนว่าอาชญากรรมครั้งนี้ไม่ใช่ตัวเงินที่เสียไป แต่รวมถึงความมั่นคงของชาติที่สูญเสียไปด้วยเช่นกัน
ในบ้านเราก็มีตัวอย่างมากมายเช่นกัน ขอยกตัวอย่างคดีโกหก หนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ของมหกรรมการต้มตุ๋น นั่นก็คือ คดีแชร์แม่ชม้อย ของนางชม้อย ทิพย์โส อดีตพนักงานขององค์การเชื้อเพลิง ที่หลอกลวงให้นำเงินมาลงทุนซื้อรถขนน้ำมัน ในปี 2527 หลอกคนให้ไปร่วมลงทุนด้วยคำโกหก ทำให้มีผู้เสียหาย กว่า 16,000 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4.5 พันล้านบาท
คำโกหก จะมีพลังก็ต่อเมื่อมีคนเชื่อ
ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังใช่ไหม? มันคือทฤษฎีเดียวกันเลย การโกหกไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำคนเดียวได้ มันคือการทำงานร่วมกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง ในขณะที่ผู้พูดเลือกที่จะพูดคำโกหกเหล่านั้น ผู้ฟังที่ทำหน้าที่ของตัวเองคือฟังและเชื่อคำโกหกเหล่านั้น เพียงเท่านี้การโกหกก็สำเร็จแล้ว
คำโกหก กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมนุษย์
เรื่องของการโกหก เป็นการกระทำที่มีมาตั้งแต่เรายังพูดคำว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่น ทารกแกล้งทำเป็นร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจ เด็กในตอน 1 ขวบเริ่มหัดปิดบังความผิดด้วยการแกล้งร้องไห้เพื่อไม่ให้พ่อแม่สนใจในเรื่องที่ไม่ยอมกินผัก หรือ ตอน 2 ขวบ ก็เริ่มโอ้อวดของเล่นในกล่องที่พ่อกับแม่ซื้อให้ หรือ ตอน 5 ขวบ ก็เริ่มโกหกด้วยการบอกพ่อกับแม่ว่าป่วย เพราะไม่อยากไปโรงเรียน หรือ เริ่มเรียนรู้ที่จะชมแม่ว่าสวยเพื่อให้แม่ซื้อขนมให้กินตอน 9 ขวบ เห็นไหมล่ะว่า เด็กก็สามารถเรียนรู้ที่จะโกหกได้
พอโตขึ้นมาหน่อย เราก็เริ่มโกหกครูว่าเอาหนังสือออกมาทบทวนตอนอยู่ที่บ้าน เลยลืมเอามาเรียนในวันนี้ตอนประถมศึกษา หรือ โกหกว่าทำการบ้านเสร็จแล้วแต่ลืมเอามาตอนมัธยมศึกษา จากงานวิจัยพบว่า ความร้ายกาจของคนเรา ก็คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยจะโกหกแม่ของพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ต่อการคุยกับแม่ห้าครั้ง พอโตขึ้นมาอีกหน่อย คำโกหกที่เราใช้กับพ่อแม่บ่อยๆ ก็คงไม่พ้นคำว่า “ไม่เป็นไร” สินะ
เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “โลกหลังความจริง” เราลองย้อนไปไกลกว่าการเป็นทารกเพิ่งเกิดกันบ้าง จากการศึกษาพบว่า คนมีวิวัฒนาการมาจากลิง เรื่องราวของ “โคโค่” ลิงกอริลล่าเพศเมียที่เกิดในสวนสัตว์ซานฟรานซิสโก โคโค่สามารถเรียนรู้ภาษามือและสื่อสารกับคนผ่านการใช้ภาษามือได้จนกลายเป็นที่รักของคนทั่วโลก ความน่าสนใจอยู่ที่โคโค่มีลูกแมวตัวน้อยที่มันรักและผูกพันมากๆ อยู่หนึ่งตัว วันหนึ่งโคโค่เผลอดึงอ่างล้างมือออกมาจากผนัง และ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาพบ แล้วถามว่าใครทำ โคโค่ เลือกที่จะชี้ไปที่ลูกแมวสุดที่รักของมันแทนที่จะยอมรับว่าตัวเองทำ
“การโกหก ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันของเราไปเสียแล้ว”
การโกหก เป็นการเติมเต็มช่องว่างที่เราขาดไป
ถ้าการเลิกโกหกมันง่ายเหมือนการเลิกกินชานมไข่มุกสักแก้ว เราก็คงไม่มีข่าวอาชญากรรมในโทรทัศน์ให้ดูแล้วแน่ๆ คนเราใช้การโกหกเพื่อมาเติมช่องว่างที่หายไป เช่น การโกหกว่าเราไปรับลูกที่โรงเรียนทุกเย็นเพราะเราอยากดูเป็นพ่อหรือแม่ที่ดี แต่จริงๆ ลูกของเราต้องกลับรถโรงเรียนทุกวัน เป็นต้น คำโกหกจะถูกใช้เพื่อทำให้เราดูดีขึ้น ดูฉลาดขึ้น ดูรวยขึ้น เป็นการทำให้สิ่งที่เราหวังดูเป็นจริงขึ้น เมื่อมีใครบางคนเลือกที่จะเชื่อเรา
“ทุกคนเต็มใจให้สิ่งที่เราต้องการ เมื่อเราให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ”
สามีอาจจะต้องการเพียงการดูแลเอาใจใส่ คำพูดหวานๆ ตอนกลับจากทำงาน และ ผู้หญิงคนอื่นให้เขาในสิ่งที่ภรรยาของเขาทำไม่ได้ เขาจึงเต็มใจที่จะมอบทรัพย์สินเงินทองให้แก่ผู้หญิงคนนั้น หรือ หัวหน้างานที่ออฟฟิศของเราอาจจะเป็นคนไม่เอาไหนตอนอยู่ที่บ้าน เมื่อมาอยู่ที่ออฟฟิศเรากลับทำให้เขารู้สึกมีอำนาจ รู้สึกเก่ง เป็นที่ชื่นชม เขาจึงให้โบนัสกับเรา หรือ เลื่อนขั้นให้เรา เป็นต้น การโกหกที่ประสบความสำเร็จ ก็เหมือนการแลกเปลี่ยนหรือการทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการนั่นเอง
- นักจับโกหก สามารถจับโกหกได้มากกว่า 90% ของการโกหก ในขณะที่คนทั่วไปทำได้เพียง 54% เท่านั้น
คนโกหก มีทั้งนักโกหกที่เก่งและไม่เก่ง คนส่วนใหญ่มักใช้เทคนิคเดิมๆ ที่เคยได้ผลมาใช้ในการโกหกครั้งต่อไป ซึ่งเคล็ดลับในการจับโกหก ก็คือ ลองจับตาดู 2 จุดใหญ่ๆ ที่คนมักใช้ในการโกหกคือ
- การปฏิเสธแบบแสดงความไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งการโกหกในรูปแบบนี้ ผู้โกหกมักจะใช้คำพูดที่เป็นทางการ ในบางครั้งพวกเขาจะเริ่มด้วยการทวนคำถาม ตอบด้วยรายละเอียดที่มากเกินความจำเป็น
- ภาษากาย พวกเขามักจะมองตาเรานานกว่าปกติ ตัวท่อนบนของเขาแทบจะไม่ขยับเลย เราอาจจะคิดว่ารอยยิ้มที่อบอุ่นเป็นสิ่งที่แสดงความจริงใจแต่ผิดถนัด เพราะกล้ามเนื้อแก้ม ปากเราสามารถควบคุมได้ สิ่งที่คุณควรจับจ้องให้เจอความจริง ก็คือ ดวงตา เพราะมันไม่สามารถโกหกได้
“เพราะคนเรามักจะซ้อมการพูดโกหก แต่ไม่ค่อยซ้อมท่าทางโกหก”
การกระพริบตาด้วยจังหวะที่เปลี่ยนไป หันเท้าไปในทิศทางเดียวกับทางออก หาอะไรบางอย่างมากั้นระหว่างตัวเองกับอีกฝ่าย พูดด้วยเสียงที่ทุ้มลง สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของ “คนที่มีแนวโน้มจะโกหก” เราจะตัดสินว่าเขาโกหกเลยไม่ได้ เพราะอาการเหล่านี้เป็นแค่สัญญาณเตือนเท่านั้น เราจะต้องลองมองและฟังให้ชัดขึ้น เราอาจจะถามคำถามที่ยากขึ้น หรือให้เขาเล่าเรื่องจากหลังย้อนกลับมาตอนต้น แต่ขอให้จำเอาไว้ว่า ความก้าวร้าว หรือ ความรุนแรง จะไม่ได้ช่วยในการค้นหาความจริงเลย
ความแตกต่าง ระหว่างคนพูดความจริงกับคนพูดโกหก
คนที่พูดความจริง หรือคนที่บริสุทธิ์ จะกระตือรือร้นในการช่วยคุณหาความจริง จะเข้าข้างคุณเต็มที่ เต็มใจในการทำทุกทาง และเมื่อเขาโดนใส่ร้ายหรือโดนสงสัย เขาจะโกรธ โมโห เดือดดาลมากตลอดเวลา และในตอนสุดท้ายเขาจะเสนอบทลงโทษที่โหดที่สุดให้แก่คนโกหก เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ใช่เขาอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน คนที่โกหก เขาจะลุกลี้ลุกลน มองต่ำ พูดเสียงต่ำลง จะพยายามบอกข้อมูลให้เยอะ แต่เป็นข้อมูลที่ไม่จำเป็น หรือไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถามเท่าไร แน่นอนว่าหลังจากที่เขาพูดทุกอย่างออกมา หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ลองให้เขาเล่าเรื่องจากท้ายมาตอนต้นแล้ว เขาจะทำไม่ได้อย่างแน่นอน
บทสรุป
เราไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าเมื่อไรที่เราเริ่มเป็นเหยื่อของคนโกหกเหล่านั้น และเมื่อไรที่เรากลายเป็นคนโกหกเสียเอง หากการโกหกเป็นการเติมเต็มช่องว่างสิ่งที่เราขาด
ดังนั้นอย่างแรก เราควรหาก่อนว่าเราขาดอะไร? ไม่ใช่แค่เพื่อหลีกเลี่ยงคนอื่นที่เข้ามาหาประโยชน์จากการโกหกหลอกลวงเราเท่านั้น แต่เป็นการหยุดการโกหกของเราเองและทำให้เราอยู่กับความจริงได้ด้วย
ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนมากมายเปิดเผยเรื่องราวของตนเองผ่านช่องทาง ผ่านสื่อต่างๆในโลกออนไลน์กันมากขึ้น แต่ “การเปิดเผยมาก ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์” เพราะในโลกโซเชียลมีเดีย เราทุกคนเลือกที่จะเป็นใครก็ได้ ผ่านการพิมพ์ การถ่ายรูป การถ่ายวิดีโอ ดังนั้นในโลกที่การเปิดเผยทำได้ง่าย กลับกลายเป็นโลกที่ทำให้เราห่างไกลจากความจริงออกมาอีก
หากเราอยากรอดในโลกใบนี้ จงตั้งใจมองให้ชัด และ ฟังให้ได้ยิน ว่าพวกเขากำลังทำอะไร? กำลังพูดอะไร? และสังเกตท่าทางของพวกเขา หรือ การกระทำของพวกเขา เพราะ “มนุษย์ต่อให้ตั้งใจจะโกหก ก็เก็บความลับไม่อยู่ ไม่พูดด้วยปาก ก็ด้วยปลายนิ้ว”
Source: TEDGlobal 2011: How to spot a liar – Pamela Meyer