A Plastic Ocean หนังที่นำเสนอความความโหดร้าย และผลกระทบที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง แต่ผลกรรมกลับไปตกอยู่ภายใต้มหาสมุทรที่ไม่ได้มีส่วนข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย
ตัวหนังเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องมีบท หรือนักแสดงที่เป็นดาราดัง เพราะทุกคนที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ล้วนทำจริง พูดจริง แม้ไม่มีกล้องถ่ายอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ยังคงทำอยู่เช่นเดิม ทุกอย่างที่สื่อออกมาผ่านหนังเรื่องนี้ไม่มีคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ ไม่มีสเปเชียลเอฟเฟคส์ มีเพียงความจริง ที่มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมิอาจตระหนักถึงปัญหาใหญ่ที่พวกเขาร่วมกันก่อรวมไปถึงอันตรายจากขยะพลาสติกที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
เรื่องย่อ
หนังสารคดี A Plastic Ocean เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ เครก ลีสัน (Craig Leeson) ที่ต้องการออกตามหาวาฬสีน้ำเงิน และถ่ายมันด้วยตัวเองสักครั้ง ความฝันวัยเด็กของเขาถูกเติมเต็มในอีก 40 ปีต่อมา หลังจากที่เขาได้ลองทำอาชีพนักข่าว นักทำหนัง และนักผจญภัย เขาคิดว่าสิ่งที่เขาควรทำคือทำตามความฝันของเขาเสียที
“มันดูเหมือนรถไฟขนสินค้า หรือยานอวกาศขนาดใหญ่ที่เดินทางไปเรื่อยๆ”
ในวันที่ความฝันของเขาถูกเติมเต็ม เขาเดินทางไปถึงศรีลังกาและได้พบกับมันจริงๆ วาฬในฝันของเขาที่เขาเคยมองมันผ่านนิตยสารเท่านั้น แต่วันนี้ มันไม่ได้ว่ายอยู่ท่ามกลางน้ำใสสะอาดเหมือนในนิตยสาร มหาสมุทรที่ควรจะเป็นสีน้ำเงินน่าค้นหา บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
“มันแย่มากพอมองไปที่นั่น นับเป็นประสบการณ์ดำน้ำที่แย่ที่สุดเลยก็ว่าได้”
หนึ่งในตากล้องของเครกพูดขึ้น หลังจากที่เขาได้ดำน้ำลงไปถ่ายภาพใต้น้ำ สิ่งที่เขาพบมันไม่ใช่น้ำที่ใสสะอาด มันไม่ใช่เสน่ห์ของมหาสมุทรที่เขาเคยหลงใหล ตอนนี้มีเพียงเศษพลาสติก คราบน้ำมันจากแพ กากใยต่างๆที่มนุษย์นักท่องเที่ยวต่างทิ้งไว้
“สัตว์ทุกชนิดควรได้อยู่ในมหาสมุทรที่ใสสะอาด ไม่ใช่กากเดนพวกนั้น”
ตากล้องของเขาพูดถูก เครกคิดเช่นเดียวกันกับเขา พอมองไปยังมหาสมุทรตอนนี้ ไม่ต่างจากกองขยะดีๆนี่เอง ทั้งที่เขามองจากบนเรือยังเห็นขยะมากมายลอยอยู่บนผิวน้ำเกลื่อนกลาด มันจึงทำให้เขาเริ่มคิดถึงก้นทะเล หรือลึกลงไปในมหาสมุทร จะต้องมีขยะมากมายขนาดไหนที่ไม่ได้ลอยมาให้เราเห็นเช่นนี้
“ทะเลเป็นสนามเด็กเล่นของฉัน”
ทันยา สตรีทเตอร์ (Tanya Streeter) นักดำน้ำสาวผู้สามารถทำลายสถิติการดำน้ำโนลิมิตของผู้ชาย ในระดับ 525 ฟิต หรือระดับที่เรือดำน้ำในสงครามโลกครั้งที่ 2 สามารถดำลงไปได้ เธอเล่าว่าตั้งแต่เด็ก เธอของเล่นหรือสไลด์เดอร์ในสนามเหมือนกับเด็กคนอื่น ทะเลเป็นสนามเด็กเล่นเดียวที่เธอมี แต่ตอนนี้สนามเด็กเล่นของเธอเปลี่ยนไป และมนุษย์นั้นเองที่เป็นต้นเหตุ
“ทำไมของที่ใช้แล้วทิ้งถึงเป็นของที่ย่อยสลายไม่ได้”
ทันยาเริ่มก้าวเข้าสู่การตั้งคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับมหาสมุทรของเธอ ขยะมากมายที่ลอยอยู่บนพื้นน้ำที่เธอรัก ล้วนเป็นพลาสติก ไม่ว่าจะแบบชิ้น แบบเศษ ตลอดจนเล็กเป็นอนุภาคของพลาสติกที่หากมองแบบผิวเผินก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ พลาสติกเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้แล้วทิ้ง ปัจจุบันมีการผลิตพลาสติกมากกว่าศตวรรษที่ผ่านมา และอัตราการเพิ่มขึ้นของมันยังพุ่งสูงขึ้นทุกปี มีการคาดคะเนว่าพลาสติกจะถูกผลิตเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตามจำนวนประชากรบนโลกที่เพิ่มขึ้น ข่าวร้ายก็คือมันไม่ได้ย่อยสลายไปแต่มันยังคงอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ ลอยอยู่เช่นนี้ไปตลอด และแน่นอนเหล่าสัตว์ทะเลที่ไม่รู้เรื่องก็รับมันไป
“ปลาวาฬจะอ้าปากกินน้ำกว่า 7,500 ลิตร เพื่อกินปลาตัวเล็กๆ แล้วพ่นน้ำออกมา ที่แย่คือแยกไม่ออกระหว่างปลาตัวเล็กกับพลาสติก”
ไมโครบีดส์ (Microbeads) คือชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของพลาสติกในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ยาสีฟัน น้ำยาทำความสะอาด และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งหลังจากเราใช้แล้วทิ้งมัน มันจะไหลจากแม่น้ำเล็กๆ สู่มหาสมุทร สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอนุภาคพลาสติกชิ้นเล็กๆที่ลอยอยู่เต็มมหาสมุทร แล้วเหล่าสัตว์ทะเลที่น่าสงสารก็กินมันเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
“ปลาทุกตัวที่จับได้ มีพลาสติกอย่างน้อย 5-7 เม็ดอยู่ในท้อง”
พลาสติกอาจจะไม่ได้ลอยให้คุณเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะเมื่อมันลงสู่ทะเล มันจะสลายตัวกลายเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วสัตว์ก็จะกินมันเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นอาหาร เมื่อสะสมพลาสติกในท้องเยอะเข้า แน่นอนว่ามันไม่สามารถย่อยพลาสสติกเหล่านี้ได้อยู่แล้ว มันจะตายในที่สุด
“ในตอนที่เหล่าทิ้งพลาสติกไป เราอาจจะคิดว่ามันพ้นมือเราแล้ว แต่เปล่า มันไม่มีทางพ้น”
เรือสำรวจตุยไต ได้ลงพื้นที่สำรวจมหาสมุทรโดยการจับปลามาผ่าท้องดูและมันเป็นไปตามคาด ปลาเหล่านี้มีเม็ดพลาสติกอยู่ในท้อง เมื่อสัตว์ทะเลรับพลาสติกเข้าไป สารเคมีจะถูกส่งไปสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อและทั่วตัวของมัน และเมื่อคนกินมันเข้าไป คนก็จะรับช่วงต่อสารเคมีเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายอีกทีหนึ่ง
“ใช้พลาสติกจุดไฟทำอาหาร 3 ครั้งต่อวัน”
หมู่บ้านในฟิจิ ใช้พลาสติกเป็นเชื้อเพลิงในการทำอาหาร เครกถึงกับน้ำตาไหล ตอนที่ควันจากพลาสติกลอยมาเข้าตาเขา แต่คนในหมู่บ้านกลับใช้มันเป็นเรื่องปกติ โดยบอกว่าพวกเขาชินแล้ว เขาใช้มันเช่นนี้ทุกวัน วันละ 3 ครั้งในการทำอาหารหรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะพลาสติกเป็นสิ่งที่หาง่ายในหมู่บ้าน และมันฟรี
พาทาเลต (phthalate)
พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เครกไม่แปลกใจเลย ที่คนในหมู่บ้านล้วนเป็นโรคเกี่ยวกับปอดหรือโรคมะเร็ง ภายในควันจะมี สารกลุ่มพาทาเลต (phthalate) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้พลาสติกมีความโปร่งใส ยืดหยุ่นและทนทาน สารเคมีชนิดนี้เป็นสารอันตรายที่มีคุณสมบัติรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ หรือให้เข้าใจง่ายๆก็คือ มันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการหลักของมนุษย์
Note: สารกลุ่มพาทาเลต (phthalate) เป็นสารเคมีทีใช้เป็นสารเจือปนหรือพลาสติไซเซอร์ (Plasticizers) ทีเติมลงไปในโพลิเมอร์หรือการผลิตพลาสติกในกลุ่มโพลิไวนิลคลอไรด์ (พลาสติก PVC) เพือทําให้พลาสติกมีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่มนั่นเอง
“ไม่มีใครรู้ว่ามีพลาสติกอยู่ในมหาสมุทรเท่าไร? แต่ทุกคนรู้ว่ามันเพิ่มมากขึ้นตลอด”
จากการสำรวจแพลงตอนในมหาสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน เขาพบว่าสารทาเลตเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิมในอัตราที่น่ากังวล สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าพลาสติกที่ทุกคนทิ้งลงไป มันได้กระจายสู่สิ่งแวดล้อมเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว
“นกทะเลเป็นเหมือนกองทัพนักวิทยาศาสตร์”
นกทะเลเป็นสัตว์ที่หาอาหารโดยการเดินทางไกลกว่าพันกิโลเมตรแล้วนำอาหารกลับมาป้อนให้แก่ลูกนกที่รังของมัน ที่เกาะลอร์ด ไอซ์แลนด์ เป็นหนึ่งในบ้านของนกทะเล ดร.เจนนิเฟอร์ เลเวอร์ส ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับนกทะเล ด้วยความที่มันเดินทางไกล ภายในท้องของมันจึงเหมือนกับผลงานแห่งการสำรวจสิ่งแวดล้อมจากทั่วโลก
“จากการวิจัยพบไมโครพลาสติก 234 ชิ้น ภายในท้องนก 1 ตัว”
จากการศึกษาของเธอ เมื่อเธอพบนกทะเลในสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เธอจะลองสอดสายยางลงไปในกระเพาะของพวกมัน ใส่น้ำเข้าไปจนเต็ม เพื่อดันให้พวกมันอ้วกเอาสิ่งต่างๆในท้องออกมา เธอพบว่าส่วนใหญ่ที่ออกมาล้วนเป็นคราบน้ำมัน พลาสติกตั้งแต่อนุภาคเล็กๆ จนไปถึงขนาดใหญ่อย่างไฟแช็ค และเมื่อเธอลองผ่าท้องศพนกทะเลที่ตายอยู่ริมชายหาด เธอพบขยะพลาสติกกว่า 234 ชิ้นจากนกเพียงตัวเดียว ซึ่งนี่ยังไม่ใช่จำนวนมากที่สุดที่เธอเคยเจอด้วยซ้ำ
“ทั่วโลกใช้พลาสติก 2 ล้านชิ้นต่อนาที”
เหล่าพลาสติก 2 ล้านชิ้นต่อนาที ไม่ใช่ทุกชิ้นที่ถูกจัดการอย่างถูกวิธี จำนวนมากเป็นอาหารของสัตว์ อย่างเช่น เต่า โลมา นก และปลาวาฬ จากการสำรวจในอสินารา ตอนเหนือของซาร์ดิเนีย ศาสตราจารย์คริสติน่า ฟอสซี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษนิเวศวิทยา เธอพบเต่าทะเลมีปัญหาด้านการลอยน้ำอย่างผิดปกติ เกิดก๊าซในกระเพาะของมันเนื่องจากมันกินขยะพลาสติกเข้าไปเป็นจำนวนมาก และพบสารพิษจากพลาสติกในชิ้นส่วนเนื้อของโลมาใกล้ชายฝั่ง
“ที่ทิ้งขยะขนาดเท่า 200 สนามเทนนิส”
มะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ สโมกกี้ เมาน์เทน วัน กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ส่งออกขยะไปยังมหาสมุทรเนื่องจากมันเคยเป็นแหล่งทิ้งขยะกว่า 2 ล้านเมตริกตัน นานกว่า 40 ปี แม้ตอนนี้จะปิดตัวลงไปแล้ว แต่ยังมีพลาสติกถูกพัดลอยขึ้นมาจากน้ำเกิน 1,500 ตันต่อวัน บริเวณนี้มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 2,000 ครอบครัว โดยพวกเขาอยู่ร่วมกับแมลงวันและมีโรคเกี่ยวกับปอดกันเป็นปกติ บางคนไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เกิดมาเก็บขยะขาย หาเงินกินไปวันๆเท่านั้น
“ที่นี่เคยเป็นที่ที่ดี แต่หีบห่อพลาสติกทำลายสวรรค์ของพวกเรา”
ตูวาลู ไม่มีที่ว่างให้พลาสติกอีกต่อไปแล้ว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการขุดปะการังออกไป ทำให้เกิดเป็นหลุมขนาดกว้างเกิดขึ้น เรียกว่า “บ่อยืม” แต่ไม่มีใครเคยเอามันมาคืน บ่อยืมเคยมีน้ำใสสะอาด มีสัตว์น้ำมากมาย แต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยขยะ และสารพิษ ครอบครัวที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ 5 ครอบครัว 30 คน มี 5 คนในนี้เป็นมะเร็ง ไม่ต้องถามหาสาเหตุเลย มันอยู่หน้าบ้านพวกเขานั้นเอง
“ขวดนมเด็ก กระบอกน้ำ อาหารกระป๋อง ไปจนถึงขวดน้ำที่ให้นักกีฬารุ่นเยาว์”
ปัจจุบัน 92.6% ของเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป มีค่า BPA ในร่างกายสูงขึ้นอย่างเห็นได้ เนื่องจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีสาร BPA เข้าไปอย่างไม่รู้ตัว เช่น ขวดนม ขวดน้ำพลาสติก กล่องบรรจุอาหาร เป็นต้น ทางที่ดีเท่าที่เป็นไปได้ เราไม่ควรบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีพลาสติกหุ้ม เพราะมันทำให้สารพิษเข้าสู่ร่างกายของเราเอง
BPA (Bisphenol A)
สารเคมีประกอบหนึ่งในวัตถุที่เรียกว่า โพลีคาร์บอเนต (Poly-carbonate – Plastic) มีผลต่อการสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท ความทรงจำ การเรียนรู้ ฮอร์โมนการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ เด็กมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนและไฮเปอร์แอคทีฟ นอกจากนี้อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ ยิ่งสะสมในร่างกายมากเท่าใดก็จะยิ่งไปลดศักยภาพการทำงานของร่างกายมากขึ้น
“ทั้งๆ ที่มันมีค่า แต่ทำไมถึงเอามันไปทิ้ง?”
ทุกคนรู้ว่าพลาสติกเป็นสิ่งที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ แต่จากจำนวนพลาสติกทั้งหมด มีเพียง 7% เท่านั้นที่ถูกนำไปรีไซเคิล หรือได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี อีก 93% ถูกทิ้งลงถังขยะ ส่งต่อไปยังโซนขยะ บ้างก็ลอยอยู่ตามมหาสมุทร บ้างก็ถูกทับถมจนเกิดเป็นมลพิษ
นอกจากจะมีการนำพลาสติกไปรีไซเคิลแล้ว ปัจจุบันกองทัพสหรัฐยังมีการร่วมมือกับบริษัท ไพโรเจเนซิส จากมอนทรีออล เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการกำจัดพลาสติกโดยไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เยอรมณีเป็นประเทศแรกที่มีการออกกฎหมายให้บริษัทที่ทำการผลิตพลาสติกต้องรับผิดชอบพลาสติกที่บริษัทตนเองผลิตอย่างถูกวิธี และยังมีเทคโนโลยีตู้รีไซเคิล ที่หากนำพลาสติกมาใส่ตู้จะได้เครดิตเป็นมูลค่า 25% ของราคาขายพลาสติกเหล่านั้น
The Plastic Bank
“เราสามารถหารายได้ไปพร้อมๆ กับการป้องกันการทิ้งขยะลงทะเล”
ธนาคารพลาสติก องค์กรที่สามารถเปลี่ยนขยะพลาสติกให้กลายเป็นเงินดิจิทัล โดยเป้าหมายของ The Plastic Bank คือ ต้องการลดจำนวนขยะพลาสติกในแม่น้ำและทะเล ด้วยการรณรงค์ให้คนจนที่ไม่มีรายได้หรือรายได้น้อย มาร่วมกันเก็บพลาสติกที่เป็นขยะ และทำเงินกับมันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำรงชีพ The Plastic Bank กำเนิดขึ้นที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อปี 2013 โดย David Katz และ Shaun Frankson
สิ่งที่ได้เรียนรู้
จากหนัง A Plastic Ocean ชี้ให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ไกลไปจากการดำเนินชีวิตของเราเลย เราแค่มองข้ามมันไปเพราะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องรับผิดชอบ เราไม่ใช่คนที่โยนขยะทิ้งไปในมหาสมุทร สัตว์น้ำ ระบบนิเวศไม่ได้พังเพราะเรา มนุษย์มักคิดแบบนี้กันเสมอ แต่ความจริงแล้วเมื่อคุณเริ่มใช้พลาสติก และทิ้งพลาสติกจำนวนหนึ่งลงในถังขยะ พลาสติกเหล่านั้นสามารถทำลายมหาสมุทรและฆ่าสัตว์ทะเลได้มากกว่าจำนวนชิ้นพลาสติกที่คุณทิ้งลงไปกว่า 100 เท่า 1000 เท่า
“ถ้ามีขยะพลาสติกอยู่ในห่วงโซ่อาหารของโลมา มันก็จะอยู่ในห่วงโซ่ของมนุษย์เช่นเดียวกัน”
ในการสำรวจชิ้นเนื้อของปลาโลมา เราพบสารเคมีและอนุภาคพลาสติกขนาดเล็ก (Microplastic) ที่แทรกซึมอยู่ภายใต้เนื้อเยื่อของพวกมัน แน่นอนว่าตามห่วงโซ่อาหารแล้ว ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และคนที่กินปลาใหญ่ก็คือมนุษย์อย่างเรา ถ้าปลาใหญ่รับสารพิษเหล่านั้นเข้าไป เราเองก็รับจากปลาใหญ่มาด้วยเช่นกัน
“ทิ้งขยะตรงไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่หลังบ้านของฉัน”
ความคิดแบบนี้ควรหมดไปเสียที จะทิ้งขยะตรงไหนก็ได้ ที่ต้องไม่ใช่พื้นที่บ้านของฉัน ไม่ส่งผลกระทบถึงฉัน และไม่ทำให้ฉันเดือดร้อน แม้ความคิดเช่นนี้จะเห็นแก่ตัวมาก แต่ต้องยอมรับเลยว่าใช่ คนจำนวนมากคิดเช่นนี้ แต่ต่อให้คุณจะเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดไหน ขยะที่คุณทิ้งไปไม่มีวันพ้นหน้าบ้านคุณ วันต่อไปที่คุณเดินไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร คุณอาจจะได้พบขยะที่คุณทิ้งไปเมื่อปีหรือสองปีแล้วในอาหารที่คุณกำลังจะกิน และคุณจะไม่มีวันรู้ได้เลย จนกว่าคุณจะมีความผิดปกติกับร่างกายเพราะรับสารเคมีจากมันมากเกินไป มหาสมุทรมันใกล้ ใกล้พอๆกับหน้าบ้านหรือหลังบ้านคุณได้เลย
“เราไม่มีทางเก็บขยะพลาสติกที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรได้หมด แต่สิ่งที่เราทำได้คือหยุดทิ้งมันซะตั้งแต่วันนี้”
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถล่องเรือไปตามมหาสมุทร ใช้เครื่องมือช่วยเก็บขยะ หรือเป็นหนึ่งในทีมดำน้ำ ลงไปเก็บขยะตามก้นทะเลได้ สิ่งที่เราทำได้มันไม่ใช่ว่าไม่มี ในชีวิตประจำวันเราสามารถเลือกที่จะบริโภคได้ เลือกที่จะใช้ เลือกที่จะทิ้งได้ มันขึ้นอยู่กับการบริโภคและการทิ้งของคุณ ว่าคุณต้องการช่วยโลกหรือทำลายโลก
“การได้รู้นำไปสู่การใส่ใจ และการใส่ใจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง”
หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย หลังจากอ่านบทความนี้จนจบ คุณอาจจะไปดูหนังเรื่องนี้ และคุณจะเป็นคนที่ทราบถึงเป็นปัญหาในเรื่องพวกนี้แล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความใส่ใจในเรื่องนี้แค่ไหน คุณเห็นถึงความสำคัญของมันแค่ไหน และคุณสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวตรงนี้ได้แค่ไหน แม้ในตอนนี้คุณคนเดียวอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มาก แต่ถ้าคุณแนะนำให้คนอื่นรู้ด้วยถึงปัญหาเหล่านี้ ในอนาคตพวกคุณอาจจะค้นพบว่ามหาสมุทรและสัตว์ทะเลกว่าร้อยกว่าพันชีวิต ถูกช่วยไว้โดยพวกคุณ
บทสรุป
ในโลกใบนี้ ปกคลุมด้วยผืนน้ำมากกว่าผืนดิน สัตว์ทุกตัวในระบบนิเวศล้วนมีส่วนทำให้โลกใบนี้สมบูรณ์และสมดุลมากยิ่งขึ้น เห็นก็จะมีเพียงแต่มนุษย์ ที่เป็นผู้โดยสารเดียวบนโลก ที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม กอบโกยประโยชน์จากโลกได้มากอย่างไม่หยุดหย่อน แต่น้อยเหลือเกินที่จะตระหนักรู้ว่าเราไม่ควรเอาแต่ได้ เราต้องเป็นผู้ให้ ผู้ดูแล ผู้รักษา และในตอนนี้เราต้องเป็นผู้แก้ไขระบบนิเวศที่พังไปเพราะเราเสียที
“ปัญหาเรื่องนี้มันใหญ่ก็จริง แต่เราเองก็เป็นมันคนร่วมก่อ ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มที่ตัวเรา”
A Plastic Ocean Official Trailer | A Plastic Ocean