Active Listening เรื่องของการฟัง ถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะคนในยุคนี้ฟังกันน้อยลง ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการสื่อสารและการทำงานร่วมกันได้ การฟังจึงถือเป็นทักษะสำคัญที่คนทำงานควรมี เพราะการฟังด้วยใจ หรือ การฟังอย่างตั้งใจ จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจส่ิงที่อีกฝ่ายนำต้องการนำเสนอได้
เมื่อมีคนพูดก็ต้องมีคนฟัง ในการฟังเรื่องราวของคนอื่นจากการพูดคุยในสถานการณ์ปกติเป็นเหมือนการรับข้อมูลเฉพาะมาแบบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่ในบางครั้งเพื่อฟังใครบางคนพูดในเรื่องที่เราอยากรู้ เราอาจจะต้องยอมเสียเงินหลายบาทเพื่อแลกกับข้อมูลนั้นมา เช่นการเข้าไปอบรม ฟังการบรรยาย เป็นต้น แล้วเราจะทำอย่างไร? ให้การฟังของเรานั้นคุ้มค่า ครบถ้วน และได้รับผลประโยชน์มากที่สุด?
หนังสือ Active Listening Techniques เล่มนี้ช่วยได้ ในหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณใช้การสื่อสารแบบเห็นหน้ากันได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำความเข้าใจปฏิกิริยาของผู้คนให้ดีขึ้นและถ่ายทอดข้อความของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Nixaly Leonardo เป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เธอได้สร้างหนังสือที่เป็นเหมือนเครื่องมือในการฟังชิ้นนี้ขึ้นมาในชื่อ Active Listening Techniques เพื่อช่วยให้ทุกคนที่ไม่ว่าจะเป็นคนพูดหรือคนฟังก็ตาม สามารถกระตือรือร้นและเพลิดเพลินไปกับการฟังคนอื่นพูด และที่สำคัญมันไม่ใช่แค่เป็นประโยชน์ต่อคนฟังเท่านั้น ในบริบทคนที่กำลังพูดอยู่เมื่อได้รับการฟังอย่างตั้งใจก็จะเป็นเหมือนการได้รับเกียรติและให้ความเคารพอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ช่วยลดปัญหาของการสื่อสารที่ผิดพลาดหรือเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้เยอะเลย เครื่องมือและวิธีการในหนังสือเล่มนี้จะช่วยทำให้ทุกคนตั้งใจฟังกันและกันมากยิ่งขึ้น
“การฟังอย่างกระตือรือร้น เป็นวิธีที่ดีกว่าและง่ายกว่าวิธีอื่นๆ ในการสื่อสาร”
คอนเซ็ปต์ของการฟังอย่างกระตือรือร้นอาจจะฟังดูง่าย แต่ค่อนข้างท้าทายและเป็นเรื่องทางเทคนิคที่แตกต่างจากการฟังในชีวิตประจำวัน การฟังอย่างกระตือรือร้น หมายถึง การตระหนักรู้อย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่ผู้อื่นพูด ฟังด้วยร่างกายและจิตใจที่จดจ่อ ตอบสนองต่อข้อความของพวกเขาที่กำลังส่งมาถึงเรา การฟังอย่างกระตือรือร้นจะช่วยให้เราเข้าใจข้อความของผู้พูดและทำให้พวกเขารู้สึกดีที่ยังมีเราเป็นผู้ฟังอยู่ได้
“การสื่อสารที่ถูกบิดเบือนในยุคดิจิทัล”
เราอนุญาตให้ผู้อื่นแสดงอารมณ์และความคิดเห็นได้อย่างอิสระผ่านการฟังอย่างกระตือรือร้น บางทีคุณอาจจะประสบปัญหาหรือเกิดความเข้าใจผิดจากการสื่อสารผ่านข้อความทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นโพสต์บทความในโซเชียลมีเดียหรือจากอีเมล์ที่ทำงาน การฟังอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวข้องกับการเข้าถึงผู้อื่นโดยเข้าใจความต้องการของพวกเขา การเรียนรู้ทักษะนี้จะทำให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริงและลดความเสี่ยงที่เกิดจากการบิดเบือนของการสื่อสารออกไปได้
การฟังอย่างกระตือรือร้น ถือเป็นการผสมผสานระหว่าง การวิเคราะห์ การไตร่ตรอง และการฟังเฉยๆ ซึ่งการฟังในแต่ละแบบนั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- การฟังแบบคิดวิเคราะห์ เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามที่สุด เพราะมันเกี่ยวข้องกับกระบวนการการส่งสารที่ต้องใช้การตัดสินเข้ามาช่วยในการคำนวณว่าอะไร คือจุดประสงค์ของข้อความเหล่านี้ที่ได้ยิน อะไรเป็นความจริง และอะไรที่เป็นแค่ความคิดเห็นของผู้พูด เมื่อรวบรวมข้อมูล ประมวลผล และยกระดับความคิดเห็นแล้ว ต่อไปคุณจะสามารถรับฟังบทสนทนาต่อจากนั้นได้อย่างมีวิจารณญาณ
- การฟังอย่างไตร่ตรอง ในประเภทนี้มันเกี่ยวข้องกับการใช้คำพูดของคุณเพื่อทำในสิ่งที่คุณได้ยินมา การฟังแบบไตร่ตรองไม่ได้กำหนดให้คุณต้องวิเคราะห์หรือตัดสินคำพูดของผู้พูด แต่ให้ผู้พูดรู้ว่าคุณได้รับและเข้าใจข้อความของเขาแล้ว
- การฟังเฉยๆ ตามชื่อของมันเลย การฟังรูปแบบนี้ไม่ต้องดำเนินการใดๆในบริบทของผู้ฟังเลย น่าเศร้าที่มันคือประเภทการฟังที่พบบ่อยที่สุด คนส่วนใหญ่ฟังอย่างเฉยเมย สนใจเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องพูดเท่านั้น
“คุณไม่สามารถฟังใครและทำอย่างอื่นในเวลาเดียวกันได้อย่างแท้จริง เพราะหากคุณทำได้ แปลว่าคุณแค่ฟังเฉยๆ”
การฟังเฉยๆ หมายความว่า คุณให้ความสนใจกับเสียงของใครบางคนโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะตอบข้อความนั้น ผู้ฟังที่กระตือรือร้นคือคนที่ดีที่สุดที่คุณต้องการให้มีในกลุ่มผู้ชมของคุณ พวกเขาใช้ทักษะการฟังที่จำเป็นในการตีความข้อความ ตัดสินอารมณ์ของผู้พูด และสังเกตการแสดงออกทางร่างกายของผู้พูด พวกเขายังมีส่วนร่วมในการฟังแบบไตร่ตรองเพื่อช่วยให้ผู้พูดรู้สึกว่ายังมีเขาที่ได้ยินอยู่อีกด้วย
“ไม่มีใครสื่อสารได้ดีตั้งแต่ในการพูดครั้งแรก และเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนเคยพลาดในเรื่องนี้”
การฟังอย่างกระตือรือร้นนั้นมีค่ามากสำหรับผู้พูด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พูดแล้วจะมีผู้ฟังที่กระตือรือร้นในการจะฟัง ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังที่กระตือรือร้นเพราะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้นในที่ทำงาน แต่อย่าลืมว่าไม่มีใครเกิดมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารได้เลยตั้งแต่แรก ให้ยอมรับบทสรุปนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ นักสื่อสารที่ดีทุกคนล้วนเคยล้มเหลวมาก่อนทั้งนั้น
“ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากขึ้น เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะสื่อสารได้ดี”
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญและจะช่วยคุณให้พ้นจากปัญหาส่วนตัวและปัญหาทางอาชีพมากมาย ประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ทุกคนเคยอยู่ในจุดที่รู้ต้องการจะบอกอะไรบางอย่างกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือหุ้นส่วน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะต้องบอกอย่างไร? ผู้คนจำนวนมากใช้ความเงียบในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งมันกลับทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก
“การฟังอย่างกระรือร้นเป็นองค์ประกอบของเรื่องความเห็นอกเห็นใจ”
ความเห็นอกเห็นใจ เป็นกุญแจสำคัญในการเป็นผู้ฟังที่ Nixaly Leonardo กล่าวไว้ว่าความเห็นอกเห็นใจเป็น “ความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของบุคคลอื่นและจินตนาการว่าเป็นอย่างไร? เมื่ออยู่ในจุดเดียวกันกับพวกเขา” หากปราศจากความเห็นอกเห็นใจ เราจะได้ยินแต่คำพูดของอีกฝ่ายแล้วผ่ายไปเฉยๆ เราไม่เข้าใจพวกเขา ทำให้เราไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาได้
“โดยทั่วไปเมื่อผู้คนรู้สึกว่าคุณได้ยินและเข้าใจ พวกเขามักจะโกรธกับสิ่งที่คุณทำน้อยลง”
การฟังยังช่วยให้วิจารณ์เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาได้ง่ายขึ้น ลองนึกภาพเจ้านายที่คอยฟังเสมอทุกสิ่งที่คุณต้องพูด การกระทำของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เพียงแต่สนใจที่จะได้ผลลัพธ์ แต่ยังสนใจถึงการเติบโตทางอาชีพของคุณและความเป็นอยู่ที่ดีของคุณด้วย หากหัวหน้าแบบนี้วิจารณ์งานของคุณอย่างสร้างสรรค์ คุณจะไม่รู้สึกแย่กับเขาเลยสักนิด เพราะการที่เขารับฟังคุณมาตลอดมันพิสูจน์แล้วว่าเขาทำไปเพราะหวังดีกับคุณจริงๆ
การพัฒนาความสามารถในการจัดการอารมณ์ที่รุนแรงของคุณในระหว่างการโต้เถียงก็เป็นข้อดีอีกอย่างของการฟังอย่างกระตือรือร้น คุณสามารถใช้เทคนิคการสื่อสาร 2 อย่างนี้ในการจัดการอารมณ์เชิงลบของคุณได้
- การตีความ : เมื่อคุณตีความความสิ่งที่ได้รับฟังมา แล้วคุณอธิบายให้ผู้พูดฟังว่าคุณเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดในเชิงนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะ หากการตีความของคุณไม่ถูกต้อง ผู้พูดจะมีโอกาสที่จะแก้ไขความเข้าใจของคุณและคุณจะได้รับข้อความที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
- ภาษากาย : ภาษากายเป็นวิธีการสื่อสารใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำพูด เมื่อผู้ฟังใช้ภาษากาย เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย ท่าทาง และการสบตา ทำให้ผู้พูดรู้สึกสำคัญ ในทางกลับกันเมื่อผู้พูดใช้สัญลักษณ์ภาษากาย มันจะเสริมสร้างความหมายของข้อความที่พวกเขาพยายามจะสื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เมื่อคุณใช้การตีความและใช้ภาษากายร่วมกัน คุณจะช่วยให้ผู้พูดรู้สึกเข้าใจและเข้าถึงคุณมากขึ้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาจะพอใจกับการโต้ตอบของคุณมากยิ่งขึ้นด้วย
“หากคุณรู้สึกว่าการฟังให้ดีเป็นเรื่องยาก ให้มองไปที่อุปสรรคของคุณและกำจัดให้หมด”
มีหลายเหตุผลที่คนไม่ฟังอย่างตั้งใจเท่าที่ควร การค้นหาเหตุผลเหล่านี้จะทำให้คุณตระหนักได้และช่วยให้คุณกลายเป็นคนเห็นอกเห็นใจมากขึ้น นักเขียน Richard West และ Lynn Turner ได้จัดกลุ่มอุปสรรคในการได้ยินที่ดีออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
- เสียงทางกายภาพ ที่เกิดจากเสียงภายนอก เช่นการเปิดประตู
- เสียงทางสรีรวิทยา ที่เกิดจากการเจ็บป่วย ความบกพร่องทางชีวภาพ หรือปัญหาข้อต่อ
- เสียงเชิงความหมาย จากความยากลำบากในการทำความเข้าใจคำพูดของผู้พูดเนื่องจากศัพท์แสงที่ใช้หรือการใช้ไวยากรณ์ที่ไม่เหมาะสม
- เสียงทางจิตใจ ที่เกิดจากปัจจัยทางจิตใจและอารมณ์
ทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถทำหน้าที่เป็นตัวสร้างความเครียด ทำให้ยากต่อการโฟกัสที่การสนทนา พยายามระบุคนที่คอยกีดขวางคุณอยู่เสมอ
“คนส่วนใหญ่เลื่อนดูโซเชียลมีเดียบ่อยกว่าการโต้ตอบแบบตัวต่อตัว ถ้าฟังดูเหมือนคุณก็คือคนเหล่านั้น อาจถึงเวลาที่จะลดการใช้โทรศัพท์ของคุณและเพิ่มการสื่อสารแบบตัวต่อตัวเป็นสองเท่า”
ในการติดต่อกับคนที่ดูเหมือนวอกแวกหรือดูเหมือนไม่มีสมาธิในการสนทนา คุณอาจต้องพูดถึงความต้องการทางอารมณ์ก่อน ให้เริ่มด้วยการฟังพวกเขาพูดถึงตัวเอง จะทำให้จิตใจของพวกเขาปลอดโปร่ง แล้วใช้ความเห็นอกเห็นใจและภาษากายเพื่อแสดงว่าคุณมีความกระตือรือร้นอย่างแท้จริงและสนใจในสิ่งที่พวกเขาพูด หากคุณไม่สามารถสงบเสียงรอบตัวได้ การเงียบเสียงทางจิตใจก็ไม่สำคัญ เทคโนโลยีเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้คุณไม่สามารถสงบเสียงรอบตัวได้และทำให้คุณบกพร่องในการโต้ตอบแบบตัวต่อตัว
ฝึกฝนทักษะการสื่อสารของคุณให้กลายเป็นผู้ฟังที่กระตือรือร้นมากขึ้น
ทุกครั้งที่เราติดต่อกับผู้คนเป็นโอกาสที่จะเพิ่มหรือทำร้ายความภาคภูมิใจในตนเอง มุมมอง หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ดังนั้นเราจึงควรปรับปรุงความสามารถในการสื่อสารของเราด้วยการทำความเข้าใจตนเองให้ดี เข้าใจถึงอคติที่ตัวเรามีและจัดการกับอารมณ์เชิงลบให้เป็น และนี่คือเคล็ดลับและวิธีการที่จะทำให้คุณทำมันได้สำเร็จ
- ท้าทายการบิดเบือนของคุณ : คุณสามารถท้าทายการบิดเบือนของคุณได้ด้วยการจดจ่อไปที่ความเชื่อเชิงลบโดยอัตโนมัติที่เกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาหนึ่งและตัดสินใจปรับความเชื่อเหล่านั้นให้สอดคล้องกับความเป็นจริงให้ทันที ใช้ความเห็นอกเห็นใจในการรับรู้เมื่อคุณมีปฏิกิริยาเชิงลบเกิดขึ้น
- จัดการความคาดหวังของคุณ : เราทุกคนมีความคาดหวังเกี่ยวกับคนรอบข้าง เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการโดยเฉพาะสิ่งที่ไม่สมจริงเพื่อเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น
- ฝึกสติ : สติต้องรับรู้ถึงเสียง ความหมาย และผลกระทบจากเสียงเหล่านั้น การฝึกสติช่วยให้คุณได้อยู่กับปัจจุบันและกลายเป็นผู้ฟังที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังช่วยให้เราตระหนักว่าไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันต่ออารมณ์เชิงลบและความเครียด ทัศนคติที่ไม่ตัดสินจะทำให้เราเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น
- ฝึกการควบคุมตนเองทางอารมณ์ : การรับมือกับอารมณ์ที่รุนแรงสามารถเบี่ยงเบนความคิดของคุณและทำให้คุณเสียสมาธิ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบเหล่านี้ได้โดยการฝึกตัวเองให้ตั้งใจว่าจะจัดการกับความรู้สึกอย่างไร
“เราต้องให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ”
การโน้มน้าวใจเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลังและใช้ได้กับทุกคน หากคุณต้องการให้คนอื่นให้ความสนใจ สิ่งที่คุณต้องทำคือให้ความสนใจกับคนอื่นก่อน การให้ความต้องการของผู้อื่นมาก่อนความต้องการของคุณจะทำให้พวกเขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ เราทุกคนล้วนมีความต้องการที่จะเห็นและได้ยิน หลายคนไม่รู้สึกว่าพวกเขากำลังได้รับความต้องการเหล่านี้ ลองนึกภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณกลายเป็นคนที่กอบกู้พวกเขา
บทสรุป
การฟังอย่างกระตือรือร้นเป็นเพียงวิธีการฟังที่เกี่ยวข้องกับการใช้สมาธิในการมีส่วนร่วมเมื่อข้อความถูกส่งผ่านและมีบุคคลที่กำลังพูดกับคุณ คุณสามารถฝึกฝนการเป็นผู้ฟังที่ดีได้โดยการรู้จักอุปสรรคของตัวเอง อะไรก็ตามที่คอยขัดขวางความกระตือรือร้นในการฟังของคุณ ทำให้คุณไม่สามารถมีสมาธิไปกับการฟังได้ ให้คุณทำความคุ้นเคยกับมันและฝึกที่จะอดทนในสถานการณ์ที่เป็นอุปสรรคเหล่านั้น
นอกจากนี้ การเริ่มการสนทนาแต่ละครั้งต้องมีวัตถุประสงค์ เราสามารถเริ่มบทสนทนาจากอะไรก็ได้ตั้งแต่การผ่อนคลายไปจนถึงการเจรจาข้อตกลง แต่คุณต้องเลือกมันอย่างเหมาะสม ทำความเข้าใจคู่สนทนาที่คุณต้องการสื่อสาร หากคุณต้องการสิ่งไหน ให้หยิบยื่นสิ่งเหล่านั้นให้พวกเขาก่อน แล้วพวกเขาจะตอบแทนมันให้กับคุณกลับมาเอง
“คนที่สามารถฟังผู้อื่นได้อย่างกระตือรือร้น จะรู้วิธีที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดในการพูดกับผู้อื่น”