Pomodoro อ่านว่า โพโมโดโระ มาจากภาษาอิตาลี แปลว่ามะเขือเทศ ซึ่งมะเขือเทศเป็นผลไม้ชนิดนึงที่มีประโยชน์เยอะมาก ทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใส เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย ช่วยเสริมคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง และยังมีวิตามินเอซึ่งมีส่วนชวยบำรุงสายตาอีกด้วย
แต่บทความนี้แอดมินไม่ได้จะบอกให้ทุกคนไปกินมะเขือเทศเพื่อให้มีสุขภาพดีแล้วการทำงานของเราจะออกมาได้ดี ในบทความนี้ แอดมินจะมาพาพวกเรามาเรียนรู้เทคนิคมะเขือเทศลูกนี้กันว่า จะช่วยให้เรารักษาเวลา และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร?
“มองช่วงเวลางานให้เป็นมะเขือเทศ 1 ลูก”
เปรียบเทียบเรื่องของเวลาเป็นมะเขือเทศ เพราะมะเขือเทศในบทความนี้เกิดจากนาฬิกาเรือนโปรดรูปมะเขือเทศของ Francesco Cirillo อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยผู้คิดค้นเทคนิค Pomodoro Technique ขึ้นมา โดยสิ่งที่เราต้องทำเกี่ยวกับเทคนิคนี้ก็คือ นำ Pomodoro หรือมะเขือเทศของเรา มาแทนช่วงเวลาทำงานที่แสนน่าเบื่อเหล่านั้น ใครก็ตาม แม้กระทั่งแอดมิน ตอนแรกก็คงคิดว่ามันตลกไปหน่อยนะ จะเป็นไปได้เหรอ แต่อยากให้ลองฝืนใจทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกสักหน่อย เพราะวิธีนี้มันได้ผลแน่นอน
“ใครกันบ้าง ที่จะใช้เทคนิคมะเขือเทศนี้ได้ผล?”
เทคนิคมะเขือเทศนี้เป็นเทคนิคที่เหมาะกับคนที่มีสิ่งรบกวนจิตใจในเวลาที่ต้องการจดจ่อกับงานสำคัญสักชิ้น หรือ ต้องการใช้สมาธิกับการคิดอะไรใหม่ๆ แต่ดันต้องมีอะไรบางอย่างเข้ามารบกวนจิตใจจนสมาธิแตกกระเจิง หรือ ตอนที่อยากอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบใจจะขาดแต่ก็ไม่สามารถเพ่งความสนใจไปที่หนังสือได้เลยจริงๆ หรือ บางครั้งการที่เราจมอยู่กับงานเป็นเวลานานๆ เพราะต้องการให้งานเสร็จ แต่ผลงานที่ได้กลับมีคุณภาพต่ำกว่าที่คาดเอาไว้แถมสุขภาพก็ย่ำแย่เพราะเกิดจากการโหมทำงานหนักอีก ปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนเลยใช่ไหม? แม้อาจจะไม่ใช่ตอนนี้ แต่ในอดีตเราก็ต้องเคยเจอกันมาบ้าง
“จุดแข็งของเทคนิคมะเขือเทศคือความเรียบง่าย”
Francesco Cirillo ได้เริ่มพัฒนาเทคนิคมะเขือเทศนี้ขึ้นในช่วงปลายปี 1980 เพราะเขาพบว่าตัวเองมีปัญหากับการบริหารเวลาในตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย และเขาก็ไม่ค่อยมีสมาธิ หรือไม่สามารถจดจ่อกับการทำงานได้ สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขาว้าวุ่นมาก เขาต้องพยายามดึงสติตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับการเรียนหรือการทำงานให้ได้อย่างน้อยสัก 10 นาทีก็ยังดี
จนวันนึงเขาก็พบกับนาฬิกาจับเวลารูปมะเขือเทศในห้องครัว เขาพบว่ามันเป็นแรงกระตุ้นที่ท้าทายอย่างมาก หากนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องการบริหารเวลา และมันทำให้เขาเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับเทคนิคมะเขือเทศมากกว่า 130 หน้า สิ่งสำคัญของเทคนิคนี้ก็คือมันเรียบง่าย และใครๆก็ต้องกินมะเขือเทศลูกนี้ได้ทั้งนั้น
“มะเขือเทศ 1 ลูก = 25 นาที”
สิ่งที่เราต้องทำมันง่ายมากเลย ปกติแล้วเราอาจจะจดรายการสิ่งที่ต้องทำในวันนี้เอาไว้ในสมุดแพลนเนอร์ หรือในมือถือ แล้วรีบทำสิ่งเหล่านั้นให้เสร็จไปเลยแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เทคนิคมะเขือเทศ เขาต้องการให้เราแบ่งงานเหล่านั้น ออกเป็นงานย่อยๆ ให้เหมาะสมกับช่วงเวลา 25 นาที เพราะนี่คือเวลางานทั้งหมดของเรา หรือ อีกนัยนึงมันคือมะเขือเทศ 1 ลูกของเรานั่นเอง
“ให้เวลา 25 นาทีสำหรับการทำงาน และ 5 นาทีสำหรับเวลาพัก”
หากจะอธิบายให้ชัดเจนก็คือ เรามีเวลาในการทำงานครั้งละ 25 นาที เมื่อหมดเวลา 25 นาทีเราต้องพักอีก 5 นาที ก่อนจะเริ่มทำงานใหม่ใน 25 นาทีถัดมา ตั้งเวลาของเราไม่ว่าจะในโทรศัพท์หรือนาฬิกาปลุกก็ตาม ตลอดเวลา 25 นาที ขอให้มุ่งความสนใจไปที่งานนั้นงานเดียวจนกว่าเสียงนาฬิกาจับเวลาจะดังขึ้น เมื่อ 25 นาที หรือมะเขือเทศลูกแรกจบลง ให้จดบันทึกสิ่งที่เราทำเสร็จเอาไว้ แล้วอย่าลืมที่จะมีความสุขกับตัวเองในการพักผ่อนตลอด 5 นาทีของเรา หลังจากผ่านมะเขือเทศไปแล้ว 4 ลูก ให้เพิ่มเวลาในการพักผ่อนมากขึ้นเป็น 15-30 นาที เพื่อรีสตาร์ทตัวเองอีกครั้ง
“เทคนิคมะเขือเทศ จะกลายเป็นอาวุธที่มีค่าได้ก็ต่อเมื่อมีการวางแผนที่ดี”
เทคนิคมะเขือเทศนี้ ต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบเพื่อให้ได้กระบวนการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนที่เราจะเริ่มกระบวนการทำงานตามเทคนิคมะเขือเทศ เราต้องวางแผนการทำงานในมะเขือเทศแต่ละลูกเสียก่อน ด้วยการแบ่งงานใหญ่ๆ ที่ได้รับมอบหมายออกมาเป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่สามารถดำเนินการได้จริง จับรวบงานเล็กๆ น้อยๆ เข้าด้วยกัน เพราะบางงานก็เล็กน้อยเกินกว่าจะใช้เวลาทั้ง 25 นาที เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถจับคู่งานแต่ละงานได้ ก็จะทำให้งานเดินหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือพยายามทำตามแผนที่วางให้ได้ เพราะถ้าผิดช่วงเวลาตั้งแต่ต้น มะเขือเทศลูกถัดไปของเราจะได้รับผลกระทบทั้งหมด
“การพัก 5 นาที หมายถึง การเอาสายตาของเราออกให้ห่างจากทุกหน้าจอ”
การแบ่งสัดส่วนช่วงเวลาทั้งหมดไม่ได้ถูกสร้างมาให้เท่ากัน เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาการทำงานของเรามันเกิดขึ้นโดยที่เราจะต้องจดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยไม่มีการกดเปลี่ยนไปที่ Facebook Twitter หรือ Website เลย เมื่อช่วงเวลาการทำงานในตอนนั้นหมดลงแล้ว สมองของเราก็จะต้องการการพักผ่อนที่อยู่นอกหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็รวมไปถึงมือถือของเราด้วยเช่นกัน อย่าไปแตะต้องมัน แนะนำว่าให้เราลองลุกขึ้น หมุนตัวไปรอบๆ บิดขี้เกียจสักหน่อย หรือ เดินออกไปข้างนอก กินขนม มองนก มองไปนอกหน้าต่าง เราจะพบกับการพักผ่อนที่ช่วยเยียวยาจิตใจของเราได้ดีกว่าการนั่งเล่นมือถือเสียอีก
“เราต้องต่อสู้กับความฟุ้งซ่าน”
ถ้าเราเคยถูกรบกวนหรือเคยโดนขัดจังหวะในขณะที่เรากำลังลื่นไหลไปกับการทำงาน เราจะรู้ดีเลยว่ามันยากแค่ไหนที่จะต้องดึงตัวเองให้กลับมาทำงานนั้นต่ออีกครั้ง หลังจากที่สูญเสียจุดโฟกัสในตอนแรกไปแล้ว สิ่งรบกวนที่ร้ายกาจที่สุดในยุคนี้ก็คือ อีเมล์ ข้อความ หรือ Social Media ต่างๆ ที่พยายามดึงความสนใจของเราไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเราก็ต้องยอมแพ้ให้กับมันแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อดู แทบจะตลอดเวลาว่า เพื่อนของเรา หรือ ใครกำลังพูดถึง หรือ สนใจในเรื่อง หรือ ประเด็นอะไรบ้างในตอนนี้
“คำว่าแป๊บเดียวไม่มีอยู่จริง”
ในขณะที่เรากำลังโทษว่าที่ทำงานไม่ทัน หรือ ทำงานไม่เสร็จตามเวลา ทุกอย่างเป็นเพราะเทคโนโลยี แต่จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า เวลากว่าครึ่งของวันในดารทำงานถูกรบกวนโดยความฟุ้งซ่านที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง นั่นหมายความว่า เราทุกคนต่างหลุดจากโฟกัสด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีอย่างที่เราคิด
ยกตัวอย่างเช่น ความคิดอย่าง “อีเมล์นี้สำคัญเกินกว่าจะรอได้” หรือ “ใช้เวลาไม่นานหรอก ขอเข้า Twitter หรือ Facebook แค่แป๊บเดียว” ซึ่งคำว่าแป๊บเดียวไม่มีอยู่จริง เพราะพอเข้าไปแล้ว มันใช้เวลายาวกว่านั้นเสมอ ทำให้ความคิดของของเราจะเริ่มมีอาการอ้อยอิ่ง เกิดอาการเฉื่อยกับงานที่กำลังทำอยู่ และกว่าที่มันจะสามารถกลับมาให้ความสำคัญ กลับมาที่จุดโฟกัสเดิมได้อย่างเต็มที่ก็กินเวลาเกินไปกว่า 20 นาทีแล้ว ดังนั้นการตามใจตัวเองเพื่อเช็ค Facebook แค่แป๊บเดียว อาจกลายเป็น 20 นาทีของการพยายามกลับมาทำงานอีกครั้งได้
“เทคนิคมะเขือเทศ คือความเรียบง่ายที่สม่ำเสมอมากกว่าสมบูรณ์แบบ”
เทคนิคมะเขือเทศเป็นเหมือนการเริ่มต้นใหม่กับเป้าหมายใหม่ในทุก 25 นาที ซึ่งมันจะท้าทายเราให้ปรับจุดโฟกัสใหม่และจำกัดความฟุ้งซ่านของเราไว้ โดยเราสามารถสร้างระบบทำงานของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความสมบูรณ์แบบในเทคนิคนี้ตั้งแต่แรก เป็นเพียงความเรียบง่ายที่เราสามารถปรับแต่งเองได้ พยายามวางแผนการทำงานให้ไม่แน่นจนเกินไป มันไม่เป็นไรเลยที่จะมีเวลาพักเสียบ้าง
“ขนาดมะเขือเทศขึ้นอยู่กับคนกิน งานก็เช่นกัน ต้องแบ่งงานให้พอเหมาะสำหรับแต่ละช่วงเวลา 25 นาที”
สำหรับงานบางประเภทก็ต้องการขยายเวลาในแต่ละช่วง ลองคิดถึงงานประเภท การเขียนโค้ด การเขียนงาน การแต่งเพลง 25 นาทีเป็นเวลาที่สั้นเกินกว่าจะทำอะไรได้เสร็จ ลองเพิ่มระยะในการทำงาน แต่ต้องไม่ลืมเพิ่มระยะเวลาพักด้วยเช่นกัน การศึกษาของ DeskTime พบว่าการทำงาน 52 นาทีและการพัก 17 นาทีเป็นความช่วงเวลาที่สมดุลที่สุด สำหรับบางคนที่รู้สึกว่ามีแรงต้านหรือความฟุ้งซ่านทางจิตใจมาก จนทำให้เราไม่สามารถจดจ่อกับงานได้เป็นเวลา 25 นาที ให้ลองใช้ช่วงเวลา 15, 10 หรือ 5 นาทีแทน
ผลจากงานวิจัย และประสบการณ์ตรงจากคนที่ลองใช้เทคนิคมะเขือเทศนี้ ทุกคนพบว่าพวกเขามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและเรื่องราวที่น่าประหลาดใจอย่างมาก การทำงานแบบค่อยๆทำไปทีละอย่างช่วยทำให้รู้สึกผิดธรรมชาติ รู้สึกถึงการถึงจุดหมายและได้เริ่มเป้าหมายใหม่ที่รวดเร็ว เพราะความรู้สึกอยากทำงานให้ทัน 25 นาทีนั้น จึงทำให้ความจดจ่อกับงานเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว และมันเพลินจนรู้ตัวอีกทีก็หมด 25 นาทีแล้ว และการบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นและปล่อยให้ตัวเองได้พักจากหน้าจอคอมหรือมือถือ ก็ทำให้พบว่ามันรู้สึกดีกว่าจริงๆ ในตอนเลิกงาน ก็รู้สึกเครียดน้อยลง อาการตาพร่ามัวและตะคริวก็ลดลงตามไปด้วย
“ความสำเร็จของเทคนิคมะเขือเทศ วัดจากความจดจ่อที่เราให้กับงาน ไม่ใช่จำนวนงานที่เราทำได้”
สรรพคุณของเทคนิคมะเขือเทศที่ Francesco Cirillo ได้โฆษณาไว้ ไม่ใช่จำนวนงานที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นประสิทธิการในการทำงานและคุณภาพของงานที่เราได้ต่างหาก เทคนิคนี้มันเหมือนกับมะเขือเทศจริงๆ เพราะมันช่วยให้เราสามารถจดจ่อกับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เรายังคงสดชื่น ราวกับกินมะเขือเทศในทุกๆ วัน สมองของเราได้พักและทำงานออกมาได้อย่างมีคุณภาพ ถ้าเราทำได้ มันก็จะเป็นเหมือนวิตามินทางร่างกายและการทำงานให้กับเรา
บทสรุป
เพราะการทำงานหนักในแต่ละวันเป็นเรื่องที่คนทำงานทุกคนล้วนทนทุกข์อยู่เสมอ อาการหมดไฟหรือสุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่ ก็เป็นผลมาจากการโหมงานหนักในแต่ละวัน สิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้ คือการพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายทุกอย่างให้เสร็จตามเป้า รักษาคุณภาพของงานและประสิทธิภาพของการทำงานไว้ให้ดี โดยที่เราเองอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสุขภาพ ร่างกายของเรากำลังแย่ลงเรื่อยๆ หรือ คุณภาพผลงานของเรากำลังตกต่ำลง
Pomodoro Technique หรือ เทคนิคมะเขือเทศ จึงเป็นอีกทางเลือก ของกระบวนการทำงานที่จะช่วยรักษาเวลาและเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพในการทำงานให้กับเรา โดยที่จะไม่ลืมที่จะรักษาสุขภาพของตัวเราเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน
“เทคนิคนี้ก็เหมือนมะเขือเทศลูกหนึ่ง คนกินเท่านั้นที่จะรู้ว่ามันมีประโยชน์ขนาดไหน?”
The Pomodoro Core Process
References:
The Pomodoro Technique – Beat procrastination and improve your focus one pomodoro at a time
Take It From Someone Who Hates Productivity Hacks—the Pomodoro Technique Actually Works
บทความแนะนำ :
10 mindful minutes – มีสติ อยู่กับตัวเองเพียงแค่ 10 นาที ชีวิตเปลี่ยน